“สามหาว!” กู้จิ่งซีตำหนิด้วยความโกรธ สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า คิดไม่ถึงว่า บุตรบุญธรรมที่ยามปกติรู้ความมีมารยาท ทั้งยังกตัญญูผู้นี้ จะยังมีด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ตนยังไม่ทันตาย ก็กล้ากล่าววาจาเราะร้ายกับผู้อาวุโสแล้ว หากตนตายไป ยังไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะถูกปฏิบัติอย่างไร เขาโกรธไม่เบา มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียง “หากนางเป็นหญิงอสรพิษ ยามนี้ แม่นางหว่านเอ๋อร์ที่พฤติกรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้นี้ ก็คงไม่ได้เหยียบย่างเข้าประตูสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบอย่างไร ก็ได้แต่เลี้ยงไว้ข้างนอก เป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนเท่านั้น เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ว่ายังไม่สำนึก ดูท่าคงเป็นเพราะบทลงโทษเบาเกินไป เช่นนั้นก็เพิ่มอีกห้าแส้แล้วกัน” หากเพิ่มอีกห้าแส้ มิเท่ากับโทษโบยยี่สิบห้าแส้หรือ? ในใจของกู้ซิวหมิงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา มองผู้เป็นบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าท่านบิดาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี คิดจะตีเขาถึงตายเพียงเพราะสตรีนางเดียว ดูท่าความสามารถในการล่อลวงคนของเมิ่งจิ่นเหยาผู้นี้จะมีมากเหลือเกิน ไม่เสียทีที่มีใบหน้าเช่นน
กู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยวางมาดผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ทั้งที่อายุน้อยกว่าบุตรอกตัญญูคนนั้นของเขาด้วยซ้ำ ก็เกิดความรู้สึกไม่สอดคล้องอยู่บ้าง หากไม่สนใจใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงนั้นของนาง ก็ออกจะมีท่าทีของผู้เป็นมารดาอยู่บ้างจริงๆ เขาแอบยกมุมปากอย่างยากสังเกต ซิวหมิงเมื่อต้องมาเจอกับสาวน้อยนางนี้ ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น หลังเงียบไปเป็นเวลานาน ซิวหมิงก็ก้มหัวให้กับเมิ่งจิ่นเหยาเป็นครั้งแรก ขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ หลังโทษกักบริเวณจบลง ลูกอยากหาวันดีรับหว่านเอ๋อร์เข้าจวน ขอท่านพ่อกับท่านแม่โปรดให้ลูกได้สมหวังด้วย” ผู้ฉลาดย่อมปรับตัวตามสถานการณ์ เหตุผลนี้เขารู้ดี เขากับหว่านเอ๋อร์เป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยแล้ว หากนางตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วยังไม่สามารถเข้าจวน เด็กก็จะกลายเป็นลูกนอกสมรส หรือมีโอกาสที่ถูกผู้อาวุโสสั่งให้ดื่มยาแท้งบุตร เพื่อรักษาชื่อเสียงของสกุลกู้ไว้ด้วย เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟัง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขาถามเสียงหนักว่า “ภรรยาเอกยังไม่แต่งเข้ามาก็รับอนุก่อน เรื่องนี้มีเหตุผลหรือ? สกุลที่มีชื่อเสียงทรงอำนาจสกุลใดก็ไม่อาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ ยังไม่ทันแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านก็จะรับอนุ
เมื่อเรื่องราวได้บทสรุป หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถูกส่งกลับบ้าน ส่วนกู้ซิวหมิงถูกคุมตัวไปที่โถงบรรพชน เตรียมลงโทษตามกฎสกุล กู้จิ่งซีเหลือบตามองชุนหลิ่วและบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างครั้งหนึ่ง คนทั้งสองก็เข้าใจในทันที รีบกล่าวรับรองว่า “ท่านโหวโปรดวางใจ เรื่องที่เกิดเมื่อครู่ข้าน้อย จะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่ครึ่งคำเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วออกจากห้องหนังสือไป เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาเห็นดังนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็สาวเท้าตามไป เจ้านายทั้งสองคนจากไปแล้ว ชุนหลิ่วจึงออกจากห้องหนังสือเช่นกัน บ่าวรับใช้เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เขาปิดประตูลงแต่มิได้ติดตามไป เพราะเขาเป็นข้ารับใช้ชาย ที่ทำงานในเรือนหน้าเท่านั้น ออกจากห้องหนังสือ พึ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กู้จิ่งซีก็ชะงักฝีเท้าแล้วสั่งการว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าสั่งให้คนไปรายงานเจ้านายแต่ละเรือนว่า ให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่โถงบรรพชน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอายุมากแล้ว ทำการกระทบกระเทือนไม่ไหว ก็ไม่ต้องแจ้งแล้ว” ชุนหลิ่วพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็ไปจัดการทันที หลังชุนหลิ่วจากไป กู้จิ่งซีถึงได้มองไปยังภรรยาตัวน้อยที่อยู่ด้านข้าง เห็นภร
บรรยากาศในโถงบรรพชนเงียบสงัดจนรู้สึกประหลาด ยังคงเป็นนางจางที่เอ่ยปากทำลายความเงียบงันขึ้นก่อน “ซิวหมิง เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเจ้า เขารักเจ้าที่สุดแล้ว อีกครู่ก็ยอมรับผิดกับพ่อของเจ้าดีๆ แล้วขอให้เขาให้อภัยเสียเถอะ” กู้ซิวหมิงมิได้ตอบกลับ เขากำหมัดแน่น คุกเข่าโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย หากบิดาของเขารักเขาจริง ก็คงไม่ลงโทษเขาอย่างหนักเพื่อบุตรสาวของครอบครัวตกอับนางหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน กู้จิ่งซีสองสามีภรรยาก็มาถึงแล้ว เมื่อนางจางเห็นพวกเขามาถึง ก็เหลือบมองไปทางกู้ซิวหมิงครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องสาม ปกติแล้วซิวหมิงเด็กคนนี้เป็นมีมารยาทและรู้ความ ครั้งนี้แม้จะกระทำเรื่องราวอย่างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำผิด มิสู้ลงโทษเล็กน้อยเป็นการตักเตือน เพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคตก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ด้วยเล่า?” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา นางเฉินก็แอบเหลือบมองนางครั้งหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ในใจ นางดูแคลนต่อความเสแสร้งแกล้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจนี้ พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ ภายนอกชอบทำตัวเป็น ‘คนดี’ แต่ภายในกลับแอบสุมฟืนใส่ไฟ
ความหวังสุดท้ายถูกทำลายอย่างไร้ความปรานี หัวใจของกู้ซิวหมิงร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งในพริบตา ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย ต่อหน้าที่ตั้งป้ายวิญญาณของบรรพชน ภายใต้สายตาจ้องมองของทุกคน เขาต้องรับโทษตามกฎของตระกูล นอกจากความหวาดกลัวต่อกฎของตระกูลที่เกิดจากสัญชาตญาณแล้ว และมีความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงด้วย หลายสิบปีมานี้ เขาเป็นลูกหลานคนแรกในสกุลกู้ที่ได้รับการลงโทษหนักหนาถึงเพียงนี้ วันหน้าเขายังเชิดหน้าอยู่ในสกุลกู้ได้อย่างไร?จากซื่อจื่อที่สูงศักดิ์กลายมาเป็นลูกหลานไม่เอาไหนที่กระทำความผิด ประหนึ่งร่วงจากเมฆลงสู่ปลักโคลน เกียรติยศถูกคนเหยียบย่ำอย่างโหดเหี้ยม ความอัปยศอย่างรุนแรงทำให้เขาเกิดความไม่ยินยอมและความเคียดแค้นอย่างมาก กู้จิ่งซีช่างเป็นบิดาที่ดีของเขาจริง ๆ ไม่แยแสความเป็นความตายของเขาเลย ผ่านไปสักพัก กู้ซิวหมิงถูกบ่าวรับใช้ถอดเสื้อตัวนอก สวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวบนตัว เสื้อผ้าท่อนล่างไม่ได้ถอด จากนั้นก็ถูกบ่าวรับใช้จับนอนคว่ำบนม้านั่งยาวที่ทำด้วยไม้ ผู้ลงทัณฑ์ร่างกำยำที่ดูทรงพลังโบยแส้ใส่แผ่นหลังของกู้ซิวหมิงอย่างไร้ความปรานี จนเกิดเสียงดัง “เพียะ” จากนั้นก็เป็นเสียงร้อง “อ๊าก” โอดครวญข
ส่วนกู้เซวียนอี๋ผู้เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของบ้านใหญ่และกู้เซวียนหลิงผู้เป็นบุตรสาวจากอนุภรรยาของบ้านรองก็หน้าซีดเผือด เดินจากไปโดยที่มีสาวใช้ช่วยประคอง ช่างน่ากลัวจริง ๆ!ท่านอาสามเข้มงวดกับบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวขนาดนี้ หากมีสักวันพวกนางกระทำผิดขึ้นมา โดนแส้โบยหนึ่งทีก็รู้สึกกลัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยี่สิบห้าที หากฟาดลงไปยี่สิบห้าที เกรงว่าแม่นางที่มีร่างกายบอบบางอย่างพวกนางอาจจะขึ้นสวรรค์ไปพบบรรพบุรุษได้เลย หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ภายในหอบรรพชนเหลือเพียงกู้จิ่งซีกับเมิ่งจิ่นเหยาเวลานี้ กู้จิ่งซีเพิ่งนึกถึงภรรยาตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายตน เมื่อเห็นนางหน้าซีดเผือด จ้องมองม้านั่งยาวที่ทำจากไม้เปื้อนเลือดตัวนั้นอย่างตกตะลึงจนตาค้าง เขาก็นึกถึงหลานสาวสองคนที่จากไปโดยต้องให้คนช่วยประคอง แม่นางน้อยผู้นี้อายุมากกว่าพวกนางแค่ปีเดียวเท่านั้น ย่อมตกใจกลัวอย่างแน่นอนกู้จิ่งซียื่นมือไปบดบังสายตาของนางไว้ เมื่อเห็นนางค่อย ๆ หันศีรษะมามองตนจึงถามนางว่า “กลัวหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าอย่างซื่อตรง นางคิดว่าการโดนโบยยี่สิบห้าทีแตกต่างจากการโดนโบยยี่สิบห้าทีของสกุลกู้ราวฟ้ากับเหว นางคิดว่า
โถงโซ่วอันกลิ่นไม้จันทน์ลอยขึ้นบนกระถางธูปที่ทำจากหยก ก่อตัวเป็นควันสีขาวลอยวนอยู่ด้านบนกระถางธูป ราวกับมังกรขาวที่วนเวียนอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมของไม้จันทน์อบอวลอยู่ภายในห้อง ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายเบิกบาน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งพิงตั่งนุ่ม ๆ คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ขยับลูกประคำไม้จันทน์แดงในมือ หลับตาท่องบทสวด เวลานี้เอง เฝิงหมอมอ[1]ที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากู้รีบเดินเข้ามาอยู่ข้างกายนาง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำกล่าว มือที่ขยับลูกประคำก็ชะงักไป นางค่อย ๆ ลืมตาแล้วมองออกไป เห็นบุตรชายเดินมาหานางอย่างไม่ทุกข์ร้อน กู้จิ่งซีเดินมาอยู่หน้าฮูหยินผู้เฒ่ากู้ แล้วประสานมือคารวะนาง “คารวะท่านแม่” “เย่าหลิง นั่งลงสนทนากันก่อนสิ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองที่นั่งด้านล่าง บ่งบอกให้เขานั่งลง เย่าหลิงเป็นชื่อรองของกู้จิ่งซี เป็นนามรองที่ฉางซิงโหวผู้เฒ่าที่ล่วงลับไปแล้วตั้งให้แก่เขา ได้ยินว่าวันที่เขาเพิ่งเกิดนั้น ฉางซิงโหวผู้เฒ่าตั้งนามจริงและนามรองให้เขาไว้เรียบร้อยแล้วเขาเกิดในยามเช้าตรู่ ดวงตะวันลอยขึ้น สายลมอ่อน ๆ เย็นระร
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถามอีกว่า “เวลานี้ซิวหมิงเป็นอย่างไร? หมอว่าอย่างไรบ้าง?” กู้จิ่งซีเอ่ยอย่างสบาย ๆ ว่า “แค่เจ็บจนหมดสติไปเท่านั้น รักษาแผลให้หายก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ท่านแม่โปรดวางใจ” “เช่นนั้นก็ดี ๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ ดวงหน้าเผยให้เห็นความผิดหวังที่ยากจะปกปิดไว้ “เจ้าเด็กซิวหมิงผู้นั้น เมื่อก่อนเป็นเด็กดีรู้ความมากมาโดยตลอด ข้าคิดเสมอว่าเขาเป็นเด็กที่รู้ความมากที่สุดในหมู่เด็กรุ่นหลานทั้งหลาย เหตุใดจึงก่อเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ออกมาได้” เดิมทีตอนที่นางอยากรับเด็กสักคนมาเป็นบุตรบุญธรรมให้กับบุตรชาย บ้านใหญ่มีบุตรชายสองคน กระตือรือร้นมากอยากจะให้เย่าหลิงรับบุตรชายหนึ่งในนั้นมาเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าใหญ่เป็นคนที่ถูกภรรยาจูงจมูก คนอย่างนางจางวางแผนการอันใด นางรู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องกังวลในภายหลัง บ้านรองมีบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่อาจรับมาเป็นบุตรบุญธรรม นางจึงเลือกเด็กสักคนจากในตระกูลสาขา รูปโฉมของซิวหมิงคล้ายคลึงกับบุตรชายอยู่สองสามส่วน ในหมู่เด็กกลุ่มนั้น นางเห็นแวบแรกก็ถูกใจจึงเลือกซิวหมิง เช่นนี้วันหน้าบุตรชายก็จะมีบุ
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร