ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เชื่อเรื่องพระและเชื่อเรื่องพรหมลิขิต ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นพรหมลิขิตที่สวรรค์กำหนดไว้ นึกถึงบุตรชายวัยเกือบสามสิบได้ตบแต่งภรรยาในที่สุด นางก็ไม่สนใจที่จะโกรธหลานชายแล้ว ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้ากับอาเหยามีพรหมลิขิตต่อกัน อายุยี่สิบเก้ากับอายุสิบหก แม้จะต่างวัยกันถึงสิบสามปีก็ไม่อาจขวางกั้นพรหมลิขิตได้”กู้จิ่งซีอ้าปากเล็กน้อย สุดท้ายยังคงกลืนคำพูดกลับไป เขาไม่รู้ว่าเป็นพรหมลิขิตหรือไม่ แต่เขารู้ว่าเขากับแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นฝ่ายเสียหายทั้งคู่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เผลอยิ้มอย่างจนปัญญา “การแต่งงานนี้มักง่ายไปหน่อย เห็นได้ว่าการหมั้นหมายเร็วเกินไปไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ฟังแล้วก็ยิ้มค้าง ก่อนจะตอบกลับว่า “บิดาของเจ้ายังไม่ทันเลือกว่าจะให้หลานคนใดแต่งงานกับอาเหยาก็ล้มป่วยจากไปกะทันหัน เขาให้ความสำคัญกับการแต่งงานนี้มากถึงเพียงนี้ ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อ ฐานะของเขาสูงสุดในหมู่เด็กรุ่นหลานในจวน ทุกคนจึงยอมรับโดยปริยายให้เขาแต่งงานกับอาเหยา แม้แต่ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ถ้าเขาคัดค้านสักหน่อย ข้าจะบอกกับสกุลเมิ่งให้ชัดเจนเพื่อเปลี่ยนตัวค
กู้จิ่งซีกล่าวว่า “ส่งนางกลับไปที่บ้าน ภายหลังค่อยเลือกฤกษ์งามยามดี รับนางมาเป็นอนุภรรยา” เมื่อได้ยินคำกล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็เห็นดีด้วย จึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้งว่า “เป็นความคิดของเจ้า หรือว่าเป็นความคิดของซิวหมิงเล่า?” กู้จิ่งซีแย้มยิ้ม “เป็นความคิดของลูกสะใภ้ท่าน ลูกก็เห็นว่าดีเช่นกัน” “เป็นความคิดของอาเหยาหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็ผ่อนคลายลงบ้าง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก “ช่างเป็นเด็กที่ใจกว้างเสียจริง ไม่ได้สร้างความลำบากเพิ่มขึ้น หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คาดว่าต้องหาเหตุผลมาขัดขวางไม่ให้แม่นางหลี่เข้ามาในตระกูลแล้ว”ผ่านไปสักพัก ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็เอ่ยอีกว่า “ในเมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็หาสตรีดี ๆ สักคนมาเป็นภรรยาเอกให้ซิวหมิงใหม่อีกครั้ง และต้องเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ที่เก่งกาจ สามารถควบคุมซิวหมิงและแม่นางหลี่ผู้นั้นได้ ไว้ภรรยาเอกเข้าตระกูลแล้ว ค่อยเลือกวันรับแม่นางหลี่เข้าจวน”กู้จิ่งซีทำหน้าชะงักไป ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องลำบากหาสตรีนางใดให้เขาแล้วขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ปรายตามองเขา “เจ้าอยากหาสตรีให้เขาเองหรือ
เรือนเวยหรุยเซวียนวันนี้เกิดเรื่องมากมาย ยามเช้ากลับบ้าน เมื่อกลับถึงจวนโหวก็ไปเยี่ยมบุตรชายที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงินผู้นั้นอีกครั้ง และยังไปที่ศาลบรรพชนดูการลงทัณฑ์ เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย [1] เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวถึงค่อยลืมตาขึ้นมาชุนหลิ่วเปิดม่านไข่มุกเข้ามา ก่อนจะยอบตัวคารวะเมิ่งจิ่นเหยา แล้วยื่นเทียบเชิญในมือให้ด้วยความเคารพ “ฮูหยิน นี่เป็นเทียบเชิญที่ส่งมาได้ไม่นานเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยารับเทียบเชิญมาดู เป็นจดหมายเชิญจากเพื่อนสนิทของนาง ซ่งซินหนิงซึ่งเป็นบุตรสาวของหัวหน้าสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน นัดหมายนางให้ไปพบกันที่ร้านฉาหรานในวันมะรืน คิดดูแล้วคงเป็นห่วงนาง อยากรู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง นางปิดจดหมายเชิญ แล้วออกคำสั่งอย่างลวก ๆ ว่า “เจ้าไปที่สกุลซ่ง ฝากคำพูดให้แม่นางซ่งแทนข้าว่าข้าจะไปตามนัด”ชุนหลิ่วได้ยินนางสั่งให้ตนไปจัดการเรื่องราวก็ดีใจ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเอาใจฮูหยินต่อหน้าได้แล้ว ก่อนจะบอกฮูหยินเรื่องซื่อจื่อถูกจับกลับมาเพื่อให้เข้าตาของฮูหยิน ก่อนจะรีบถามว่า “ฮูหยินเจ้าคะ สกุลซ่งใดหรือเจ้าคะ?”“บ้าน
หนิงตงก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยใจแคบไปแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าอิจฉาก็เป็นเรื่องปกติ แต่พวกเจ้าไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับพวกนางหรอก อยู่กับพวกนางอย่างกลมเกลียวกันก็พอ คิดเสียว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเจ้า” หนิงตงพยักหน้า “ฮูหยิน ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ผ่านไปสักพัก นางก็เกิดความกังวลขึ้นมาในจิตใจ “ฮูหยิน ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ต่อไปเกรงว่าจะสร้างความลำบากให้ท่าน” เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นกู้ซิวหมิงอยู่ในสายตาเลย นางยกมุมปากขึ้นมาช้า ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายพลางยิ้มหวานว่า “มีบุตรคนไหนสร้างความลำบากใจให้มารดาบ้าง? คนที่สร้างความลำบากให้มารดาคือบุตรอกตัญญูนะ บุตรอกตัญญูของสกุลกู้ย่อมต้องโดนลงโทษตามกฎของตระกูล” หนิงตงเห็นรอยยิ้มที่แฝงความหมายลึกซึ้งนั้นก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในพริบตา ความกลัดกลุ้มในก้นบึ้งของจิตใจสลายหายไปจนหมด ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบิกบานใจว่า “ข้าน้อยเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย ท่านเป็นมารดาของเขา เขาเจอท่านต้องทำความเคารพเหมือนเด็กรุ่นหลังแต่โดยดี มีเพียงท่านที่ควบคุมเขาได้” “ใช่แล้ว ก็แค่บุตรชายที่โตมาเสียเปล่าเท
“ท่านพี่ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ท่านอยากมองอะไร เหตุใดจำเป็นต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเล่า?” เมิ่งจิ่นเหยาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น หลังจากที่ตื่นตระหนกสักพักก็ใจเย็นลง จ้องมองบุรุษหนุ่มอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นอนเตียงเดียวกันแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นหญิงพรหมจรรย์อะไรอีกอีกอย่าง กู้จิ่งซีใช้การไม่ได้ แค่มองก็คงไม่สึกหรออะไร อย่างมากก็ถอดกันหมดทุกคนแล้วจ้องมองกันและกัน นางยังไม่เคยเห็นบุรุษเปลือยเปล่ามาก่อน กู้จิ่งซีหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บางทีเรือนร่างอาจจะดูดีมากเช่นกัน ก็ถือว่าเป็นการบำรุงสายตา มองของสดใหม่ หากกู้จิ่งซีบังเอิญใช้การได้ขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นก็ตรงใจนางพอดี นางไม่ถูกชะตากับบุตรชายนิสัยไม่ดีที่ได้มาโดยไม่เสียเงิน วันหน้าบุตรอกตัญญูผู้นั้นไม่มีทางกตัญญูมารดาอย่างนางแน่นอน หากมีบุตรของตัวเองได้ก็เป็นเรื่องดีกู้จิ่งซีไม่รู้ว่าแม่นางน้อยขบคิดมากมายถึงเพียงนี้ในชั่วพริบตา ถึงขนาดที่อยากมีบุตรให้เขาแล้ว เมื่อดวงตาส่องประกายสดใสคู่นั้นจ้องมองมาที่ตน แววตาก็แฝงไปด้วยการหยอกล้อ ราวกับรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างแล้ว เขาเกิดความรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากขึ้นมา
เมื่อคำกล่าวนี้ออกมา เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความผิดบาปถาโถมใส่นางอย่างล้นหลาม เห็นกู้จิ่งซีถามอย่างจริงจังถึงเพียงนี้ นางก็ละอายใจไม่หยุด รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขามีโรคที่มิอาจบอกใครได้ แต่นางยังเย้าแหย่เขา นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นไม่ใช่หรือ? การร่วมอภิรมย์ กู้จิ่งซีที่เป็นเช่นนี้จะร่วมอภิรมย์ได้อย่างไร?นางส่ายหน้าติดต่อกัน เอ่ยจากใจจริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการ ท่านพี่ ท่านอย่าคิดเหลวไหลเลย ข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นเช่นกัน พวกเราเป็นอย่างตอนนี้ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียง “อืม” เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน นอนเถิด” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า สายตาอดทอดมองไปยังดวงหน้าหล่อเหลาดวงนั้นไม่ได้ นางถึงขนาดรู้สึกเสียใจ ว่ากันว่าบุตรสาวหน้าตาคล้ายคลึงบิดา บุรุษที่ดูดีเพียงนี้ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสาวได้ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไยสวรรค์ถึงปล่อยให้บุรุษที่หล่อเหลาเพียงนี้เป็นโรคที่มิอาจบอกใครได้? .....เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมา คนร่วมเตียงข้างกายได้ตื่นมานานแล้ว นางยังตื่นไม่เต็มตา ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เลิกผ้าห่มออ
จวนหย่งชางป๋อเป็นตระกูลขุนนางตกอับ แต่เมิ่งจิ่นเหยาผู้เป็นบุตรีคนโตของภรรยาเอกกลับได้ตบแต่งเข้าจวนฉางซินโหวที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ[1] ใครบ้างจะไม่บอกว่าเมิ่งจิ่นเหยาโชคดี?อย่างไรก็ตาม เมิ่งจิ่นเหยากลับไม่คิดเช่นนั้น หากนางโชคดีจริง เหตุใดคู่หมั้นจึงไม่มารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองในวันวิวาห์? แต่ให้คุณชายรองของจวนฉางซินโหวอุ้มไก่ตัวผู้มาที่จวนหย่งชางป๋อเพื่อรับตัวเจ้าสาวแทนเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าไม่สบาย จึงไม่อาจมารับด้วยตนเองทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนนางเห็นกู้ซิวหมิงผู้เป็นซื่อจื่อดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงดี เหตุใดจู่ ๆ ก็ล้มป่วยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น มารับตัวเจ้าสาวไม่ได้กันเล่า? พูดตามตรงคือจวนฉางซินโหวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ ดังนั้นถึงได้ดูแคลนนางเช่นนี้ หากท่านปู่ของนางยังอยู่ ต่อให้ล้มป่วยจริง ตราบใดที่ไม่ถึงขั้นลุกจากเตียงไม่ไหว ก็คงจะมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองการแต่งงานกระชั้นชิดแล้ว แม่เลี้ยงกับบิดาอยากเชื่อมสัมพันธ์กับจวนฉางซินโหว ไฉนเลยจะละทิ้งการแต่งงานดี ๆ ที่กำหนดไว้เมื่อสิบปีก่อนนี้? ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรร
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวของนาง ทุกคนล้วนตกตะลึงไม่หยุดบัดนี้จวนหย่งชางป๋อไม่ใช่จวนหย่งชางป๋อเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว หลังจากที่หย่งชางป๋อผู้เฒ่าเสียชีวิต หย่งชางป๋อคนปัจจุบันมีความสามารถพื้น ๆ ธรรมดา ทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์มีอายุเพียงสิบสองปี ยังไม่ได้เข้ารับราชการ ปัจจุบันยังไม่สามารถตั้งตัวได้ บุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุภรรยาก็มีอายุเพียงสิบสามปีเช่นกัน จวนหย่งชางป๋อตกอับแล้ว แม้กู้ซิวหมิงหลบหนีงานแต่งงาน สกุลกู้ก็ยังจัดพิธีวิวาห์ตามกำหนดการ ตบแต่งเมิ่งจิ่นเหยาเข้าสกุลส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ยอมตามน้ำไป แต่งงานกับกู้ซิวหมิง เป็นฮูหยินของซื่อจื่อที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี แม้สตรีนางอื่นได้รับความรักความโปรดปรานจากกู้ซิวหมิงอีกเพียงใด สุดท้ายก็เป็นได้เพียงอนุภรรยาที่ไม่มีหน้ามีตาเท่านั้น วันหน้าค่อยจัดการในภายหลังทว่าบัดนี้เมิ่งจิ่นเหยากลับบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว?จวนฉางซินโหวมีสามบ้าน บ้านใหญ่กับบ้านรองล้วนเกิดจากอนุภรรยา บ้านสามคือบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งเกิดจากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ หลังจากที่ท่านโหวผู้เฒ่าเสียชีวิตแล้วก็ได้มีการสืบทอดตำแหน่งฉางซินโหวคนใหม่ ฉางซินโหวกู้จิ่งซีม