เมิ่งจิ่นเหยามาถึงห้องเล็กด้านหลังโถงบรรพชน ห้องเล็กแห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้ลูกหลานอกตัญญูที่ถูกกักบริเวณสำนึกผิดในโถงบรรพชนเด็กรับใช้ที่ถูกส่งมาดูแลกู้ซิวหมิงเห็นนางก็งุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแจ้งไปที่ท่านโหว เหตุใดผู้ที่มาคือฮูหยินเล่า?แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรสองสามีภรรยาก็มาถึงกันแล้ว เขาจึงรีบเดินหลายก้าวเข้ามา แล้วคำนับด้วยความเคารพ “คารวะฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “เวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เด็กรับใช้ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อฟื้นแล้วขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียง “อืม” เบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความเบิกบานใจ ชุนหลิ่วก็ฝืนจำใจตามไปด้วยเช่นกันเพิ่งเข้ามาในห้อง กลิ่นยาเหม็น ๆ ก็โชยเข้ามาในจมูก คิดดูแล้วน่าจะเป็นยารักษาบาดแผลเมิ่งจิ่นเหยาย่นจมูกด้วยความอึดอัด เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่ไม่เห็นเงาของสามีที่ได้มาในราคาถูกของนาง เห็นเพียงบุตรชายที่ได้มาในราคาถูกของนางกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง นางงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองชุนหลิ่ว บ่งบอกถึงการสอบถาม ชุนหลิ่วก็มึนงงเช่นกัน นา
“บังอาจ!”เมิ่งจิ่นเหยายังไม่ทันตอบโต้ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากทางหน้าประตู นางเบนศีรษะมองไปก็เห็นดวงหน้าเกรี้ยวกราดของกู้จิ่งซีสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวของชุนหลิ่วไม่ผิดพลาด นางแค่มาเร็วไป เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงก็หดลงฉับพลัน เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นบิดาทำสีหน้าย่ำแย่ สาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็หน้าซีดเผือด ร้องเรียกด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “ทะ ท่านพ่อ” กู้จิ่งซีขมวดคิ้วทำสีหน้าทะมึน มองบุตรชายอกตัญญูที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยสายตาดุดัน โทสะใจพรั่งพรูขึ้นมา ก่อนจะถามเสียงเคร่งขรึมว่า “นางแต่งงานกับบิดาของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า เช่นนั้นบิดาแต่งงานกับคู่หมั้นของบุตรชายก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นกันใช่หรือไม่?” กู้ซิวหมิงส่ายหน้าอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้” กู้จิ่งซีถามอีกครั้งว่า “ผู้เสียหายอย่างนางควรจบชีวิต เช่นนั้นตัวการที่หนีตามคนอื่นไปในวันแต่งงานควรมีชีวิตอยู่หรือ?”เมื่อเห็นกู้ซิวหมิงพูดไม่ออก เขาก็ตำหนิต่อว่า “ขอเพียงเจ้ามีความรับผิดชอบสักนิด เรื่องราวก
“สงบเสงี่ยมสักหน่อย คราวหน้าข้าอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย”ชายหนุ่มทำสีหน้าเรียบนิ่งยามที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่ได้โกรธเลย เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มหวานพลางถามว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะโดนบุตรชายของท่านรังแกหรือ?”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ตอบอะไรเมิ่งจิ่นเหยาไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ นางยิ้มไม่หุบ เอ่ยเสียงดังอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพี่วางใจได้ อาศัยแค่เขารังแกข้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำกล่าว กู้จิ่งซีก็หน้ากระตุก รู้ว่านางไม่อาจทำตัวสงบเสงี่ยมได้เลย เผลอ ๆ อาจจะยังชอบทำเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย มองซิวหมิงเป็นเรื่องสนุก เขาจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ฮูหยิน อยู่ดี ๆ เจ้าไปหาเรื่องเขาเพื่ออะไร?”เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เอ่ยแย้งว่า “ท่านพี่ ข้าหาเรื่องเขาที่ไหนกัน? นี่เป็นเพราะได้ยินว่าเขามีไข้สูงไม่ยอมลดเลยตั้งใจมาดูแลเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”คำกล่าวนี้เอ่ยอย่างสง่างามผ่าเผย กู้จิ่งซีไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว เขามองแม่นางน้อยทำหน้าอ่อนโยนใจดี ราวกับมารดาแสนดีที่ห่วงใยบุตร
หนิงตง ชิงชิวและชุนหลิ่วคอยรับใช้ข้าง ๆเมิ่งจิ่นเหยาถามขึ้นฉับพลันว่า “ชุนหลิ่ว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ทำงานในจวนโหวมานานเพียงใดแล้ว?”ชุนหลิ่วตอบตามความจริงว่า “ปีนี้ข้าน้อยอายุสิบหกแล้วเจ้าค่ะ ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซื้อกลับมาพร้อมกับเซี่ยจู๋ เข้ามาในจวนโหวได้สี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ปีที่แล้วถูกส่งมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องในจวนไม่น้อยเลยสินะ? เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดสิ”ชุนหลิ่วตอบรับ นางย่อมเล่าสิ่งที่รู้โดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย บอกนิสัยของเจ้านายแต่ละคนในจวนหลังจากฟังคำบรรยายของชุนหลิ่วจบ เมิ่งจิ่นเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กู้ซิวหมิงเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสา ได้รับความรักความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง?อ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสาใกล้เคียงกับกู้ซิวหมิงตรงไหนกัน? เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่มีความรับผิดชอบ ประพฤติตนเลวทราม อีกทั้งไม่สำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำผิดเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ผลักความรับผิดชอบให้ผู้เสียหายเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ผู้อื่นชอบหรือไม่นางไ
จวนฉางซิงโหวครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าจวนหย่งชางป๋อมากนัก มีการตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม มีทั้งศาลาและอาคาร สะพานเล็ก ๆ ที่มีสายน้ำไหล มีครบทุกอย่างที่ควรมี สภาพที่เจริญรุ่งเรืองภายในจวนไม่ใช่สิ่งที่จวนหย่งชางป๋อที่ตกอับสามารถเทียบได้เลย จวนหย่งชางป๋อในเวลานี้ทำได้เพียงอาศัยกิจการรากฐานจากบรรพบุรุษมารักษาหน้าตาในฉากหน้าเท่านั้นเมิ่งจิ่นเหยาเดินชมจวนหลังใหญ่ที่หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย นางจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต นอกจากบ้านใหญ่ บ้านรองและโถงโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางล้วนเดินชมทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้คร่าว ๆ แล้ว เมื่อลงมาจากบนสะพานเล็ก เมิ่งจิ่นเหยาเห็นนางจางเดินตรงมาหาก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย หลังจากนั้นนางค่อยเดินไปหานางจาง แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่”ความจริงนางจางก็เห็นนางกับสาวใช้ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ไกล ๆ แล้ว จึงตั้งใจเดินมาหานาง ก่อนจะผงกศีรษะเบา ๆ แล้วถามว่า “ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดอกไม้ภายในสวนนี้เบ่งบานพอดี น้องสะใภ้สามก็มาชมดอกไม้ด้วยหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ถือโอกาสว่าง ๆ เดินเล่นในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวด
เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ท่านพี่เป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก ยุ่งกับงานราชการ จะมาอยู่ในเรือนหลังเป็นเพื่อนสตรีตัวเล็ก ๆ อย่างข้าบ่อย ๆ ได้ที่ไหนกัน?”เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา นางจางก็นึกถึงสามีที่ไม่เอาไหนของตน ได้ตำแหน่งงานว่าง ๆ โดยอาศัยบารมีของครอบครัว อยู่มาหลายปีแล้วก็ไม่เคยสร้างชื่อเสียงอันใด ในขณะที่น้องสามได้รับความชื่นชมจากปวงประชา แต่ก็ไม่ช่วยให้พี่ชายมีอนาคตที่ดี หลายปีที่ผ่านมาสามีก็เอาแต่ดำรงตำแหน่งระดับต่ำว่าง ๆ ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงหลายปีมานี้เขาว่างงานมาก ทุกวันแค่ไปที่ว่าการเพื่อขานชื่อ เวลาที่เหลือถ้าไม่ได้ไปเข้าสังคมอย่างที่อ้างไว้ก็อยู่ที่บ้าน หลายปีก่อนเขายังอยู่เป็นเพื่อนนาง ปัจจุบันนางแก่ชราแล้ว เขาจึงใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในห้องของอนุภรรยาเจ้าเล่ห์เหล่านั้น โชคดีที่นางคุมเข้มมาตลอด ไม่เคยให้ลูกอนุภรรยาออกมาให้ระคายเคืองใจผ่านไปสักพัก นางจางก็ฝืนยิ้มออกมา “น้องสะใภ้สามช่างเข้าอกเข้าใจเสียจริง น้องสามได้แต่งงานกับภรรยาเช่นเจ้า ช่างโชคดีจริง ๆ”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ได้แต่งงานกับภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเช่นพี่สะใภ้ให
พี่สะใภ้น้องสะใภ้เดินเล่นกันอยู่พักใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อยแยกกับนางจาง หลังจากที่รอให้นางจางเดินจากไปไกลแล้ว ชิงชิวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่มีเจตนาร้ายแอบแฝง ท่านต้องระวังตัวหน่อยนะเจ้าคะ”หนิงตงรีบเสริมว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ไม่หวังดี คำพูดทุกคำล้วนแฝงความนัยเอาไว้ทั้งนั้น” เมิ่งจิ่นเหยาปรายตามองเงาหลังของจางซื่อที่ใกล้จะหายลับไปแล้ว ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “อืม สกุลกู้ที่ว่ากันว่าครอบครัวกลมเกลียวก็ไม่นับว่าสงบสุขมากนัก” วิธีการของจางซื่อนั้นคาดเดาได้ไม่ยากเลย ขอเพียงนางต่อสู้กับกู้ซิวหมิงขึ้นมา หากนางพ่ายแพ้ วันหน้าชีวิตย่อมไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นสุขเป็นแน่ หากนางชนะ ซื่อจื่อก็คงจะเปลี่ยนคน ตำแหน่งซื่อจื่อของจวนฉางซิงโหวนั้นเลื่อนลอย กู้จิ่งซีมีโรคที่มิอาจบอกใครได้ ไม่อาจมีบุตรของตัวเอง กู้ซิวหย่วนบุตรชายคนโตของนางจางเป็นหลานชายคนโตของจวนโหว ครอบครองคำว่าคนโตไว้จึงอยู่ใกล้กับตำแหน่งซื่อจื่อมากที่สุด ดังนั้นนางจางย่อมหวังให้นางต่อสู้กับกู้ซิวหมิง หลังจากนั้นก็เป็นเฒ่าประมงที่ได้ผลประโยชน์นางจางวางแผนการได้ดีทีเดียว แ
“เจ้ายังจะบอกว่าไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอีกเหรอ?” ซ่งซินหนิงมองนางอย่างฉุนเฉียวแวบหนึ่ง ขอบตาแดงขึ้นทันที เสียงสะอึกสะอื้นแล้ว “เป็นแบบนี้แล้ว เจ้าหลอกข้าได้ที่ไหน? เจ้าคนสารเลวกู้ซิวหมิงหลบหนีการแต่งงานในวันแต่งงาน จะไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมได้อย่างไร?” เมิ่งจิ่นเหยาจูงนางมานั่งลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “กู้ซิวหมิงหนีการแต่งงานไปแล้ว แต่สกุลกู้ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงาน การแต่งงานถึงยังจัดขึ้นราบรื่นไม่ใช่หรือ” ซ่งซินหนิงสูดจมูก บังคับให้น้ำตากลับไปก่อนจะตอบว่า “การแต่งงานจัดขึ้นราบรื่น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนนอกกุเรื่องเจ้าว่าอย่างไรบ้าง?” แม้เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ก็คาดเดาได้ว่าคนเหล่านั้นปั้นเรื่องของนางว่าอย่างไร จึงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “บอกว่าสกุลเมิ่งเลี้ยงดูบุตรสาวไร้ยางอาย แต่งงานกับบุตรชายไม่ได้ก็จะแต่งงานกับบิดาแทน? เช่นนั้นก็ดีมากเหมือนกัน คนที่โดนนินทาไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีบิดาผู้แสนดีและมารดาเลี้ยงผู้แสนดีของข้าด้วย แม้แต่สกุลก็ไม่สามารถโชคดีรอดพ้นไปได้ ถึงอย่างไรสกุลกู้ก็เลี้ยงดูบุตรอกตัญญูที่ไม่ได้รับการอบร
หลี่หว่านเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือเจ้าคะ?”“จริงแท้แน่นอน”กู้ซิวหมิงพยักหน้า และเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มของนาง เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างขมขื่น ในใจก็ไม่สบายใจอย่างมากหลี่หว่านเอ๋อร์กกล่าวเสียงสะอื้น “พี่ซิวหมิง ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น หากวันใดท่านไม่ชอบข้าแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรแล้วเจ้าค่ะ”กู้ซิวหมิงปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เด็กโง่ ข้าจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร? หากไม่ชอบเจ้า ข้าคงแต่งงานกับเมิ่งจิ่นเหยาตั้งแต่แรกแล้ว ในใจข้า หว่านเอ๋อร์เป็นแม่นางที่ดีที่สุด และใจดีที่สุดในใต้หล้า”เมื่อได้ยิน หัวใจที่กระวนกระวายของหลี่หว่านเอ๋อร์ถึงจะได้รับการปลอบโยน นางจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สง่างามยืนตระหง่านต้านลม นางรู้สึกชอบ ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในวัด แม้ชายหนุ่มจะถูกพิษงูจนหมดสติ แต่ด้วยกริยาท่าทางอันสูงศักดิ์ที่แพร่ออกมาจากร่างกาย และรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่าเป็นพิเศษ จึงทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่กลัวจะสร้างความเดือดร้อน ก็รีบไปหาคนในวัดมาช่วยชีวิตชายหนุ่มภายหลังพบว่าชายหนุ่มเป็นซื่อจื่อของจวนฉางซินโหว แถมยัง
เรือนชิงอวี้เซวียนกู้ซิวหมิงกลับมาจากโถงโซ่วอัน เพิ่งจะเข้าห้อง ก็เห็นร่างที่งดงามโผล่เข้ามาทางตนเอง เขาจึงรีบอ้าแขนกอดคนไว้ แถมยังถอยหลังไปสองก้าวด้วย“พี่ซิวหมิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”แม่นางในอ้อมแขนน้ำเสียงแหบทุ้ม เหมือนกับจะร้องไห้แล้วกู้ซิวหมิงหัวใจกระตุกวูบ และรีบถาม “หว่านเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? ตอนที่ข้าไม่อยู่ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่?หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขอบตาเต็มไปด้วยน้ำตา จนใกล้จะร้องไห้ออกมา ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “พี่ซิวหมิง ข้ากลัวมาก กลัวมากจริง ๆ เจ้าค่ะ” กู้ซิวหมิงทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ จึงตบหลังนางเบา ๆ และปลอบด้วยคำพูดที่อ่อนโยน “หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่? หากมีคนรังแกเจ้า ข้าคนนี้จะเป็นคนจัดการ และลงโทษสาวใช้ที่ไม่มีตาพวกนั้นให้ดีแทนเจ้า”“ไม่ใช่ ไม่มีใครรังแกข้าเจ้าค่ะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากขอบตาทันที และกล่าวด้วยความกังวล “พี่ซิวหมิง ท่านออกไปเมื่อเช้า บอกว่าจะไปคารวะยามเช้าให้ท่านโหวกับฮูหยินที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่นานแล้วก็ยังไม่กลับ
เฝิงหมอมอตกใจ “เช่นนั้นท่านซื่อจื่อจะไม่มีภรรยาเอกได้อย่างไรเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนหายใจเบา ๆ “รอซิวหมิงหมดความหลงไหลที่มีต่อหลี่อี๋เหนียง และค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญของภรรยาเอก ไม่แน่ว่าอาจอยากแต่งภรรยาเอกก็ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้อาวุโสบีบบังคับเขา เขาคงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ทำร้ายแม่นางดี ๆ ที่ไร้ความผิดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคู่รักที่ขุ่นเคืองกันอีก และเขาก็จะยิ่งชื่นชอบหลี่อี๋เหนียงมากขึ้นเรื่อย ๆ การไม่แทรกแซงอะไรจึงจะดีที่สุด”หลังจากเฝิงหมอมอฟังก็ชะงัก นางกลับลืมว่ามีหลี่อี๋เหนียงคนนี้ เพื่อหลี่อี๋เหนียงแล้ว ท่านซื่อจื่อยังกล้าหนีงานแต่งงาน หากบังคับท่านซื่อจื่อแต่งงาน ไม่แน่ว่าอาจจะหนีงานแต่งงานครั้งที่สอง เมื่อมีอีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นชื่อเสียงของจวนฉางซิงโหวจะต้องพังพินาศลงอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปล่อยวางได้แล้ว ตราบใดที่หลานชายรู้ความเป็นพอ อนาคตจะยิ่งรู้ความ และเข้าใจถึงความหวังดีของผู้อาวุโสมากขึ้นด้วย จึงกล่าว “ความรักช่วงเริ่มแรกนั้นร้อนแรงที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะจืดจางลงมาก ตอนนี้เขากับ หลี่อี๋เหนียงอยู่ด้วยกันทั้งเช้าท
กู้ซิวหมิงรีบตอบรับ “หลานจะเชื่อฟังคำสอนของท่านย่าอย่างเคร่งครัดขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าเล็กน้อย และให้เขานั่งลงเพื่อพูดคุยอีกครั้ง หลานชายทั้งสองเหมือนจะกลับไปสมัยก่อน ทั้งพูดคุยและหัวเราะ เข้ากันได้เป็นอย่างดีเวลานี้ เฝิงหมอมอรับยามาแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ยกน้ำเข้ามาอีกหนึ่งอ่าง และทำความสะอาดบาดแผลให้กู้ซิวหมิง จากนั้นจึงใส่ยาให้เขา เมื่อเห็นบาดแผลของเขา ก็รู้ว่าตอนที่เขาโขกศีรษะใช้แรงมากเพียงใด และนั่นไม่ใช่ทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่น้อย หลังใส่ยา กู้ซิวหมิงก็ยังไม่ออกจากโถงโซว่อัน แต่กลับไปโถงพระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ท่องพระคัมภีร์ ส่วนเขาคัดพระคัมภีร์อยู่ด้านข้างและบอกว่าอยากจะคัดเพื่ออธิษฐานให้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พอถึงช่วงกลางวัน กู้ซิวหมิงก็ยังคงไม่กลับ และอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ที่โถงโซว่อันฮูหยินผู้เฒ่ากู้เชื่อในพระพุทธ มักจะกินอาหารมังสวิรัติและท่องบทสวด อาหารกลางวันมื้อนี้แม้แต่เนื้อหมูสับยังไม่มีเลย ล้วนเป็นผักทั้งหมด นางกลัวหลานชายไม่เคยชิน จึงสั่งสาวใช้ “ไปให้ห้องครัวทำอาหารคาวเข้ามาสองอย่าง”กู้ซิวหมิงรีบกล่าว “ท่านย่
หนิงตงตะลึงงัน รีบกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นให้เขาเป็นแบบเมื่อก่อนยังดีกว่าเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาที่จริงแล้วบุ่มบ่ามและโง่เขลาบ้างคงดีกว่า เช่นนั้นก็ง่ายต่อการรับมือ ตอนนี้เป็นเช่นนี้กลับรับมือไม่ได้โดยง่ายแล้วแต่ว่าคนผู้นี้ ผ่านความพ่ายแพ้มามากมาย ท้ายที่สุดก็จะเติบโต แผนการก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ กู้ซิวหมิงก็คงจะเป็นแบบนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกอย่างราบรื่น ตั้งแต่หนีการแต่งงานและถูกจับกลับมาก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำลายความภาคภูมิใจอย่างไม่มีใครเปรียบของเขา ได้เรียนรู้ที่จะอดทน และสวมหน้ากากจอมปลอมเพียงแต่ไม่รู้ว่า กู้ซิวหมิงจะเสแสร้งได้นานถึงเพียงใด......โถงโซ่วอันฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้รู้ว่าก็ซิวหมิงมาแล้ว ก็คิดขึ้นมาได้ในภายหลังว่า ครั้งที่แล้วเขากับซิวเหวินรวมถึงเฉิงจางทะเลาะกันจึงถูกกักบริเวณ และไม่ได้พบกับเขามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ทว่ากลับไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น คงจะเป็นเพราะว่าผิดหวังกับหลานชายผู้นี้ยิ่งนักเฝิงหมอมอเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายของนาง คิดได้ว่าถึงอย่า
เมิ่งจิ่นเหยามองดูแผ่นหลังของกู้ซิวหมิงที่เดินจากไป ดวงตาสงบและลึกล้ำ จนกระทั่งเงาร่างนั้นลับหายไปจากสายตา นางถึงได้เบนสายตากลับมา หันหน้าไปมองบุรุษที่อยู่ข้างกาย พลางถามอย่างสับสนว่า “ท่านพี่ ท่านว่าวันนี้บุตรชายคนโตคนดีของพวกเรากินยาอันใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ?”สีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักเล็กน้อย ถามกลับไปว่า “ฮูหยินคิดว่าเช่นไรเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ได้คิดที่จะแสร้งทำเป็นมารดาที่มีเมตตาอันใดต่อหน้าเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ข้าคิดว่าถ้าเขาไม่กินยาผิด ก็คงถูกผีเข้าเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอโทษข้าจริง ๆ และกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่”เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็เหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย ไม่ได้คัดค้านคำพูดของนางเมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านพี่ ท่านคิดว่าเขากำลังคิดที่จะทำอันใดเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีเงียบงันไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาจะทำอันใดฮูหยินไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่องก็พอแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมา ข้าจะลงโทษเขาด้วยตัวเอง”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ขอเพียงกู้ซิวหมิงไม่มาหาเรื่องนางก่อน นางก็สามารถคิดเสียว่ากู้ซิวหมิง
กู้ซิวหมิงกำลังคุกเข่า ตัวตั้งตรงไม่ขยับเขยื้อน “ท่านแม่ ลูกมีความผิด หากว่าท่านไม่ให้อภัยลูก ลูกก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนขอรับ”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟังก็งงงัน ไม่เข้าใจว่าเขามีแผนร้ายอันใด ขมวดคิ้วอย่างยากที่สังเกตเห็น ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง ก็จะแสดงร่วมกันกับเขา จึงแสร้งยิ้มอย่างอ่อนโยนมีเมตตา และกล่าวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ระหว่างแม่กับลูกมีความบาดหมางกันข้ามคืนเสียที่ไหน? ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดเเล้ว แม่ก็จะอภัยให้เจ้า เรื่องก่อนหน้านี้ก็ให้มันผ่านไปเถิด เจ้ารีบลุกขึ้นเร็วเข้า”“ลูกขอบคุณท่านแม่มากขอรับที่ให้อภัย ก่อนหน้านี้เป็นลูกที่ไม่ดี ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำผิดอีกแล้วขอรับ จะกตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่ให้มาก” กู้ซิวหมิงกล่าวอย่างจริงใจ จนเกือบจะร้องไห้ เมื่อพูดจบก็โขกศีรษะคำนับไปทางเมิ่งจิ่นเหยาอีกสามครั้ง ถึงได้ลุกขึ้นเมิ่งจิ่นเหยาเห็นว่าหน้าผากของเขาเป็นสีแดงแล้ว ก็แอบกล่าวในใจว่า ‘โหดร้ายต่อตนเองมากทีเดียว โขกศีรษะแรงถึงเพียงนี้ จนมีรอยเลือดไหลซึมออกมา’กู้จิ่งซีมองดูบุตรชายด้วยสีหน้าที่ไม่อาจแยกแยะได้ ดวงตาลึกล้ำ จับจ้องอยู่นาน จากนั้นก็กล่าวว่า “ซิวหมิง ในเมื่อเจ้าสำนึ
โถงข้างกู้ซิวหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังรออยู่อย่างสงบผ่านไปไม่นาน เมื่อเมิ่งจิ่งเหยากับกู้จิ่งซีเข้ามา ก็มองเห็นเขาที่ไม่ได้เห็นมาหนึ่งเดือนกำลังนั่งอยู่เมิ่งจิ่งเหยาเหลือบมองเขาโดยละเอียดอย่างเก็บอาการ ก็ไม่รู้ว่าคิดผิดไปหรือไม่ ไม่เห็นเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ราวกับว่าบุตรชายราคาถูกผู้นี้ไม่เหมือนเดิมอยู่เล็กน้อย เหมือนกับว่าสุขุมขึ้น และมีกลิ่นอายแห่งความโง่เขลาน้อยลงกู้ซิวหมิงเห็นพวกเขามากันแล้ว จึงรีบลุกขึ้น คารวะพวกเขาด้วยความเคารพ “ลูกคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ”เมื่อเห็นดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เหลือบมองเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง ดูเหมือนจะสุขุมขึ้นไม่น้อยจริง ๆ กู้จิ่งซีกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงคุยกันเถิด”เมื่อเขาพูดจบ เขาและเมิ่งจิ่นเหยาก็นั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งหลักด้านซ้ายและขวา กู้ซิวหมิงหยิบกระดาษหนา ๆ ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ตนเองวางไว้ที่โต๊ะน้ำชาขนาดเล็กก่อนหน้านี้ขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวเท้ามาข้างหน้า ส่งกระดาษปึกนั้นให้กับกู้จิ่งซี พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ นี่คือคัมภีร์กตัญญูที่ลูกคัดในระหว่างที่สำนึกผิดเรือนชิงอวี้เซวียน คัดไปแล้วหนึ่งร้อยจบ เชิญท่านตรวจ
กู้จิ่งซีเห็นนางจ้องมองมือของตนเองตาปริบ ๆ จึงมองไปตามสายตาของนาง พบว่าตนเองกำลังคีบซาลาเปาน้ำแกงลูกสุดท้ายอยู่ คิดว่านางอยากกิน จึงเอาซาลาเปาวางไว้บนจานของนาง พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยินกินเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจ ก้มหน้ามองซาลาเปาที่อยู่บนจานอย่างงุนงง “ให้ข้าหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีแย้มยิ้ม “เมื่อครู่ฮูหยินมองมือของข้าอยู่ตลอด มิใช่ว่าอยากกินซาลาเปาลูกนี้หรอกหรือ?”สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาชะงักค้าง อันที่จริงคือนางรู้สึกว่ามือของเขาดูดี จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอยู่หลายครั้งหลายครา คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดเอาได้ ความงามทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดจริง ๆ ด้วย จึงรีบกล่าวปกปิดว่า “ข้าเพียงแค่ละโมบเท่านั้นเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่มาก”กู้จิ่งซีไม่ได้คิดอันใดมาก กล่าวแต่เพียงว่า “หากฮูหยินชอบ เช่นนั้นก็กินให้เยอะ ๆ เถิด ถ้าไม่พอ พรุ่งนี้เช้าค่อยให้ห้องครัวทำมาอีก”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้กินอาหารอย่างอื่น กินเหมือนกันทุกวันจะเบื่อเอาได้ ต้องหลากหลายหน่อยถึงจะดีเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซียิ้มพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินจะชอบกินมากสินะ?”เมิ่งจิ่