ชุนหลิ่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองนางแวบหนึ่ง ดูไม่ออกว่านางดีใจหรือไม่ จึงกล่าวอีกว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าเมื่อคืนท่านซื่อจื่อมีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด ท่านโหวถึงได้ไปเยี่ยมเจ้าค่ะ”“ไข้สูง?” เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจแล้วหันไปถามว่า “เช่นนั้นเวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไข้ลดลงแล้วหรือยัง?” ชุนหลิ่วส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยากลอกตา ทันใดนั้นก็เปลี่ยนใจ ไม่อยากเดินเล่นชั่วคราว นางมองไปทางชุนหลิ่วแล้วยิ้มจนดวงตาโค้งพลางกล่าวว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าตามข้าไปที่โถงบรรพชน ดูว่าตอนนี้ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”เมื่อได้ยินคำกล่าว ชุนหลิ่วก็ทำสีหน้าแข็งทื่อ เอ่ยอย่างลังเลว่า “ฮะ ฮูหยิน พวกเราจะไปที่โถงบรรพชนตอนนี้หรือเจ้าคะ?” เช่นนั้นหากท่านโหวเห็นนางก็ต้องทราบว่านางเป็นคนบอกความลับไม่ใช่หรือ? นี่ฮูหยินกำลังกลั่นแกล้งนางอยู่ไม่ใช่หรือไร?เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะคิ้วขมวด ดวงหน้าฉายแววความกังวล ราวกับมารดาผู้มีเมตตาที่เป็นห่วงบุตรชาย ก่อนจะเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “บุตรชายป่วย ข้าเป็นมารดาไม่ไปเยี่ยมแล้วจะวางใจได้อย่างไร?” นางกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ “ชุนหลิ่ว ตอนนี้เ
เมิ่งจิ่นเหยามาถึงห้องเล็กด้านหลังโถงบรรพชน ห้องเล็กแห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้ลูกหลานอกตัญญูที่ถูกกักบริเวณสำนึกผิดในโถงบรรพชนเด็กรับใช้ที่ถูกส่งมาดูแลกู้ซิวหมิงเห็นนางก็งุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแจ้งไปที่ท่านโหว เหตุใดผู้ที่มาคือฮูหยินเล่า?แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรสองสามีภรรยาก็มาถึงกันแล้ว เขาจึงรีบเดินหลายก้าวเข้ามา แล้วคำนับด้วยความเคารพ “คารวะฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “เวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เด็กรับใช้ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อฟื้นแล้วขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียง “อืม” เบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความเบิกบานใจ ชุนหลิ่วก็ฝืนจำใจตามไปด้วยเช่นกันเพิ่งเข้ามาในห้อง กลิ่นยาเหม็น ๆ ก็โชยเข้ามาในจมูก คิดดูแล้วน่าจะเป็นยารักษาบาดแผลเมิ่งจิ่นเหยาย่นจมูกด้วยความอึดอัด เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่ไม่เห็นเงาของสามีที่ได้มาในราคาถูกของนาง เห็นเพียงบุตรชายที่ได้มาในราคาถูกของนางกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง นางงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองชุนหลิ่ว บ่งบอกถึงการสอบถาม ชุนหลิ่วก็มึนงงเช่นกัน นา
“บังอาจ!”เมิ่งจิ่นเหยายังไม่ทันตอบโต้ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากทางหน้าประตู นางเบนศีรษะมองไปก็เห็นดวงหน้าเกรี้ยวกราดของกู้จิ่งซีสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวของชุนหลิ่วไม่ผิดพลาด นางแค่มาเร็วไป เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงก็หดลงฉับพลัน เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นบิดาทำสีหน้าย่ำแย่ สาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็หน้าซีดเผือด ร้องเรียกด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “ทะ ท่านพ่อ” กู้จิ่งซีขมวดคิ้วทำสีหน้าทะมึน มองบุตรชายอกตัญญูที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยสายตาดุดัน โทสะใจพรั่งพรูขึ้นมา ก่อนจะถามเสียงเคร่งขรึมว่า “นางแต่งงานกับบิดาของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า เช่นนั้นบิดาแต่งงานกับคู่หมั้นของบุตรชายก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นกันใช่หรือไม่?” กู้ซิวหมิงส่ายหน้าอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้” กู้จิ่งซีถามอีกครั้งว่า “ผู้เสียหายอย่างนางควรจบชีวิต เช่นนั้นตัวการที่หนีตามคนอื่นไปในวันแต่งงานควรมีชีวิตอยู่หรือ?”เมื่อเห็นกู้ซิวหมิงพูดไม่ออก เขาก็ตำหนิต่อว่า “ขอเพียงเจ้ามีความรับผิดชอบสักนิด เรื่องราวก
“สงบเสงี่ยมสักหน่อย คราวหน้าข้าอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย”ชายหนุ่มทำสีหน้าเรียบนิ่งยามที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่ได้โกรธเลย เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มหวานพลางถามว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะโดนบุตรชายของท่านรังแกหรือ?”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ตอบอะไรเมิ่งจิ่นเหยาไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ นางยิ้มไม่หุบ เอ่ยเสียงดังอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพี่วางใจได้ อาศัยแค่เขารังแกข้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำกล่าว กู้จิ่งซีก็หน้ากระตุก รู้ว่านางไม่อาจทำตัวสงบเสงี่ยมได้เลย เผลอ ๆ อาจจะยังชอบทำเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย มองซิวหมิงเป็นเรื่องสนุก เขาจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ฮูหยิน อยู่ดี ๆ เจ้าไปหาเรื่องเขาเพื่ออะไร?”เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เอ่ยแย้งว่า “ท่านพี่ ข้าหาเรื่องเขาที่ไหนกัน? นี่เป็นเพราะได้ยินว่าเขามีไข้สูงไม่ยอมลดเลยตั้งใจมาดูแลเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”คำกล่าวนี้เอ่ยอย่างสง่างามผ่าเผย กู้จิ่งซีไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว เขามองแม่นางน้อยทำหน้าอ่อนโยนใจดี ราวกับมารดาแสนดีที่ห่วงใยบุตร
หนิงตง ชิงชิวและชุนหลิ่วคอยรับใช้ข้าง ๆเมิ่งจิ่นเหยาถามขึ้นฉับพลันว่า “ชุนหลิ่ว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ทำงานในจวนโหวมานานเพียงใดแล้ว?”ชุนหลิ่วตอบตามความจริงว่า “ปีนี้ข้าน้อยอายุสิบหกแล้วเจ้าค่ะ ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซื้อกลับมาพร้อมกับเซี่ยจู๋ เข้ามาในจวนโหวได้สี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ปีที่แล้วถูกส่งมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องในจวนไม่น้อยเลยสินะ? เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดสิ”ชุนหลิ่วตอบรับ นางย่อมเล่าสิ่งที่รู้โดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย บอกนิสัยของเจ้านายแต่ละคนในจวนหลังจากฟังคำบรรยายของชุนหลิ่วจบ เมิ่งจิ่นเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กู้ซิวหมิงเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสา ได้รับความรักความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง?อ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสาใกล้เคียงกับกู้ซิวหมิงตรงไหนกัน? เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่มีความรับผิดชอบ ประพฤติตนเลวทราม อีกทั้งไม่สำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำผิดเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ผลักความรับผิดชอบให้ผู้เสียหายเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ผู้อื่นชอบหรือไม่นางไ
จวนฉางซิงโหวครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าจวนหย่งชางป๋อมากนัก มีการตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม มีทั้งศาลาและอาคาร สะพานเล็ก ๆ ที่มีสายน้ำไหล มีครบทุกอย่างที่ควรมี สภาพที่เจริญรุ่งเรืองภายในจวนไม่ใช่สิ่งที่จวนหย่งชางป๋อที่ตกอับสามารถเทียบได้เลย จวนหย่งชางป๋อในเวลานี้ทำได้เพียงอาศัยกิจการรากฐานจากบรรพบุรุษมารักษาหน้าตาในฉากหน้าเท่านั้นเมิ่งจิ่นเหยาเดินชมจวนหลังใหญ่ที่หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย นางจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต นอกจากบ้านใหญ่ บ้านรองและโถงโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางล้วนเดินชมทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้คร่าว ๆ แล้ว เมื่อลงมาจากบนสะพานเล็ก เมิ่งจิ่นเหยาเห็นนางจางเดินตรงมาหาก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย หลังจากนั้นนางค่อยเดินไปหานางจาง แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่”ความจริงนางจางก็เห็นนางกับสาวใช้ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ไกล ๆ แล้ว จึงตั้งใจเดินมาหานาง ก่อนจะผงกศีรษะเบา ๆ แล้วถามว่า “ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดอกไม้ภายในสวนนี้เบ่งบานพอดี น้องสะใภ้สามก็มาชมดอกไม้ด้วยหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ถือโอกาสว่าง ๆ เดินเล่นในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวด
เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ท่านพี่เป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก ยุ่งกับงานราชการ จะมาอยู่ในเรือนหลังเป็นเพื่อนสตรีตัวเล็ก ๆ อย่างข้าบ่อย ๆ ได้ที่ไหนกัน?”เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา นางจางก็นึกถึงสามีที่ไม่เอาไหนของตน ได้ตำแหน่งงานว่าง ๆ โดยอาศัยบารมีของครอบครัว อยู่มาหลายปีแล้วก็ไม่เคยสร้างชื่อเสียงอันใด ในขณะที่น้องสามได้รับความชื่นชมจากปวงประชา แต่ก็ไม่ช่วยให้พี่ชายมีอนาคตที่ดี หลายปีที่ผ่านมาสามีก็เอาแต่ดำรงตำแหน่งระดับต่ำว่าง ๆ ที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงหลายปีมานี้เขาว่างงานมาก ทุกวันแค่ไปที่ว่าการเพื่อขานชื่อ เวลาที่เหลือถ้าไม่ได้ไปเข้าสังคมอย่างที่อ้างไว้ก็อยู่ที่บ้าน หลายปีก่อนเขายังอยู่เป็นเพื่อนนาง ปัจจุบันนางแก่ชราแล้ว เขาจึงใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในห้องของอนุภรรยาเจ้าเล่ห์เหล่านั้น โชคดีที่นางคุมเข้มมาตลอด ไม่เคยให้ลูกอนุภรรยาออกมาให้ระคายเคืองใจผ่านไปสักพัก นางจางก็ฝืนยิ้มออกมา “น้องสะใภ้สามช่างเข้าอกเข้าใจเสียจริง น้องสามได้แต่งงานกับภรรยาเช่นเจ้า ช่างโชคดีจริง ๆ”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ได้แต่งงานกับภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเช่นพี่สะใภ้ให
พี่สะใภ้น้องสะใภ้เดินเล่นกันอยู่พักใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อยแยกกับนางจาง หลังจากที่รอให้นางจางเดินจากไปไกลแล้ว ชิงชิวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่มีเจตนาร้ายแอบแฝง ท่านต้องระวังตัวหน่อยนะเจ้าคะ”หนิงตงรีบเสริมว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ไม่หวังดี คำพูดทุกคำล้วนแฝงความนัยเอาไว้ทั้งนั้น” เมิ่งจิ่นเหยาปรายตามองเงาหลังของจางซื่อที่ใกล้จะหายลับไปแล้ว ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “อืม สกุลกู้ที่ว่ากันว่าครอบครัวกลมเกลียวก็ไม่นับว่าสงบสุขมากนัก” วิธีการของจางซื่อนั้นคาดเดาได้ไม่ยากเลย ขอเพียงนางต่อสู้กับกู้ซิวหมิงขึ้นมา หากนางพ่ายแพ้ วันหน้าชีวิตย่อมไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นสุขเป็นแน่ หากนางชนะ ซื่อจื่อก็คงจะเปลี่ยนคน ตำแหน่งซื่อจื่อของจวนฉางซิงโหวนั้นเลื่อนลอย กู้จิ่งซีมีโรคที่มิอาจบอกใครได้ ไม่อาจมีบุตรของตัวเอง กู้ซิวหย่วนบุตรชายคนโตของนางจางเป็นหลานชายคนโตของจวนโหว ครอบครองคำว่าคนโตไว้จึงอยู่ใกล้กับตำแหน่งซื่อจื่อมากที่สุด ดังนั้นนางจางย่อมหวังให้นางต่อสู้กับกู้ซิวหมิง หลังจากนั้นก็เป็นเฒ่าประมงที่ได้ผลประโยชน์นางจางวางแผนการได้ดีทีเดียว แ
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร