เมื่อคำกล่าวนี้ออกมา เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความผิดบาปถาโถมใส่นางอย่างล้นหลาม เห็นกู้จิ่งซีถามอย่างจริงจังถึงเพียงนี้ นางก็ละอายใจไม่หยุด รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขามีโรคที่มิอาจบอกใครได้ แต่นางยังเย้าแหย่เขา นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นไม่ใช่หรือ? การร่วมอภิรมย์ กู้จิ่งซีที่เป็นเช่นนี้จะร่วมอภิรมย์ได้อย่างไร?นางส่ายหน้าติดต่อกัน เอ่ยจากใจจริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการ ท่านพี่ ท่านอย่าคิดเหลวไหลเลย ข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นเช่นกัน พวกเราเป็นอย่างตอนนี้ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียง “อืม” เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน นอนเถิด” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า สายตาอดทอดมองไปยังดวงหน้าหล่อเหลาดวงนั้นไม่ได้ นางถึงขนาดรู้สึกเสียใจ ว่ากันว่าบุตรสาวหน้าตาคล้ายคลึงบิดา บุรุษที่ดูดีเพียงนี้ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสาวได้ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไยสวรรค์ถึงปล่อยให้บุรุษที่หล่อเหลาเพียงนี้เป็นโรคที่มิอาจบอกใครได้? .....เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมา คนร่วมเตียงข้างกายได้ตื่นมานานแล้ว นางยังตื่นไม่เต็มตา ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เลิกผ้าห่มออ
กู้จิ่งซีเอ่ยอย่างใส่ใจเป็นพิเศษว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินยังพักผ่อนไม่พอนะ กินอาหารเช้าแล้วก็ไปนอนอีกสักหน่อยเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาฟังแล้วรู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเลียนนาง นางจึงไม่พอใจนิดหน่อยเมื่อคืนบุรุษผู้นี้มองนางแล้ว เขาก็นอนหลับสนิทมาก แต่นางแค่ลูบคลำเขาก็ถูกจับได้คาหนังคาเขา หลังจากนั้นใจก็ละอายใจพลิกตัวไปมาจนยากจะนอนหลับนางเอ่ยด้วยเสียงฉุนเฉียวว่า “ท่านพี่ เมื่อคืนงามหรือไม่?”สีหน้าของกู้จิ่งซีแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “ฮูหยินรู้สึกสัมผัสมือเป็นอย่างไรเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยากัดฟัน “ดีมาก” กู้จิ่งซีแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินก็งามมากเช่นกัน”เมื่อคืนเขาถูกเข้าใจผิด แต่แม่นางน้อยผู้นี้ลูบคลำใบหน้าของเขานั้นเป็นเรื่องจริง เดิมทีเขาอยากจะนอน แต่พอมีดวงตาสองข้างจับจ้องมาที่เขา สายตาเวทนานั้นราวกับมองเด็กน้อยที่น่าสงสาร มองจนเขารู้สึกชาที่หนังศีรษะ เขาหลับได้ก็แปลกแล้วเพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ แม่นางน้อยจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเขา เมื่อถูกเขาจับได้ยังเอ่ยอย่างฉะฉานมีเหตุผลว่า “ท่านมองข้า ข้าลูบท่าน เสมอกันแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอ
ชุนหลิ่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองนางแวบหนึ่ง ดูไม่ออกว่านางดีใจหรือไม่ จึงกล่าวอีกว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าเมื่อคืนท่านซื่อจื่อมีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด ท่านโหวถึงได้ไปเยี่ยมเจ้าค่ะ”“ไข้สูง?” เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจแล้วหันไปถามว่า “เช่นนั้นเวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไข้ลดลงแล้วหรือยัง?” ชุนหลิ่วส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยากลอกตา ทันใดนั้นก็เปลี่ยนใจ ไม่อยากเดินเล่นชั่วคราว นางมองไปทางชุนหลิ่วแล้วยิ้มจนดวงตาโค้งพลางกล่าวว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าตามข้าไปที่โถงบรรพชน ดูว่าตอนนี้ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”เมื่อได้ยินคำกล่าว ชุนหลิ่วก็ทำสีหน้าแข็งทื่อ เอ่ยอย่างลังเลว่า “ฮะ ฮูหยิน พวกเราจะไปที่โถงบรรพชนตอนนี้หรือเจ้าคะ?” เช่นนั้นหากท่านโหวเห็นนางก็ต้องทราบว่านางเป็นคนบอกความลับไม่ใช่หรือ? นี่ฮูหยินกำลังกลั่นแกล้งนางอยู่ไม่ใช่หรือไร?เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะคิ้วขมวด ดวงหน้าฉายแววความกังวล ราวกับมารดาผู้มีเมตตาที่เป็นห่วงบุตรชาย ก่อนจะเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “บุตรชายป่วย ข้าเป็นมารดาไม่ไปเยี่ยมแล้วจะวางใจได้อย่างไร?” นางกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ “ชุนหลิ่ว ตอนนี้เ
เมิ่งจิ่นเหยามาถึงห้องเล็กด้านหลังโถงบรรพชน ห้องเล็กแห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้ลูกหลานอกตัญญูที่ถูกกักบริเวณสำนึกผิดในโถงบรรพชนเด็กรับใช้ที่ถูกส่งมาดูแลกู้ซิวหมิงเห็นนางก็งุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแจ้งไปที่ท่านโหว เหตุใดผู้ที่มาคือฮูหยินเล่า?แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรสองสามีภรรยาก็มาถึงกันแล้ว เขาจึงรีบเดินหลายก้าวเข้ามา แล้วคำนับด้วยความเคารพ “คารวะฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “เวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เด็กรับใช้ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อฟื้นแล้วขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียง “อืม” เบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความเบิกบานใจ ชุนหลิ่วก็ฝืนจำใจตามไปด้วยเช่นกันเพิ่งเข้ามาในห้อง กลิ่นยาเหม็น ๆ ก็โชยเข้ามาในจมูก คิดดูแล้วน่าจะเป็นยารักษาบาดแผลเมิ่งจิ่นเหยาย่นจมูกด้วยความอึดอัด เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่ไม่เห็นเงาของสามีที่ได้มาในราคาถูกของนาง เห็นเพียงบุตรชายที่ได้มาในราคาถูกของนางกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง นางงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองชุนหลิ่ว บ่งบอกถึงการสอบถาม ชุนหลิ่วก็มึนงงเช่นกัน นา
“บังอาจ!”เมิ่งจิ่นเหยายังไม่ทันตอบโต้ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากทางหน้าประตู นางเบนศีรษะมองไปก็เห็นดวงหน้าเกรี้ยวกราดของกู้จิ่งซีสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวของชุนหลิ่วไม่ผิดพลาด นางแค่มาเร็วไป เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงก็หดลงฉับพลัน เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นบิดาทำสีหน้าย่ำแย่ สาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็หน้าซีดเผือด ร้องเรียกด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “ทะ ท่านพ่อ” กู้จิ่งซีขมวดคิ้วทำสีหน้าทะมึน มองบุตรชายอกตัญญูที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยสายตาดุดัน โทสะใจพรั่งพรูขึ้นมา ก่อนจะถามเสียงเคร่งขรึมว่า “นางแต่งงานกับบิดาของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า เช่นนั้นบิดาแต่งงานกับคู่หมั้นของบุตรชายก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นกันใช่หรือไม่?” กู้ซิวหมิงส่ายหน้าอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้” กู้จิ่งซีถามอีกครั้งว่า “ผู้เสียหายอย่างนางควรจบชีวิต เช่นนั้นตัวการที่หนีตามคนอื่นไปในวันแต่งงานควรมีชีวิตอยู่หรือ?”เมื่อเห็นกู้ซิวหมิงพูดไม่ออก เขาก็ตำหนิต่อว่า “ขอเพียงเจ้ามีความรับผิดชอบสักนิด เรื่องราวก
“สงบเสงี่ยมสักหน่อย คราวหน้าข้าอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย”ชายหนุ่มทำสีหน้าเรียบนิ่งยามที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่ได้โกรธเลย เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มหวานพลางถามว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะโดนบุตรชายของท่านรังแกหรือ?”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ตอบอะไรเมิ่งจิ่นเหยาไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ นางยิ้มไม่หุบ เอ่ยเสียงดังอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพี่วางใจได้ อาศัยแค่เขารังแกข้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำกล่าว กู้จิ่งซีก็หน้ากระตุก รู้ว่านางไม่อาจทำตัวสงบเสงี่ยมได้เลย เผลอ ๆ อาจจะยังชอบทำเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย มองซิวหมิงเป็นเรื่องสนุก เขาจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ฮูหยิน อยู่ดี ๆ เจ้าไปหาเรื่องเขาเพื่ออะไร?”เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เอ่ยแย้งว่า “ท่านพี่ ข้าหาเรื่องเขาที่ไหนกัน? นี่เป็นเพราะได้ยินว่าเขามีไข้สูงไม่ยอมลดเลยตั้งใจมาดูแลเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”คำกล่าวนี้เอ่ยอย่างสง่างามผ่าเผย กู้จิ่งซีไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว เขามองแม่นางน้อยทำหน้าอ่อนโยนใจดี ราวกับมารดาแสนดีที่ห่วงใยบุตร
หนิงตง ชิงชิวและชุนหลิ่วคอยรับใช้ข้าง ๆเมิ่งจิ่นเหยาถามขึ้นฉับพลันว่า “ชุนหลิ่ว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ทำงานในจวนโหวมานานเพียงใดแล้ว?”ชุนหลิ่วตอบตามความจริงว่า “ปีนี้ข้าน้อยอายุสิบหกแล้วเจ้าค่ะ ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซื้อกลับมาพร้อมกับเซี่ยจู๋ เข้ามาในจวนโหวได้สี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ปีที่แล้วถูกส่งมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องในจวนไม่น้อยเลยสินะ? เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดสิ”ชุนหลิ่วตอบรับ นางย่อมเล่าสิ่งที่รู้โดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย บอกนิสัยของเจ้านายแต่ละคนในจวนหลังจากฟังคำบรรยายของชุนหลิ่วจบ เมิ่งจิ่นเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กู้ซิวหมิงเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสา ได้รับความรักความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง?อ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสาใกล้เคียงกับกู้ซิวหมิงตรงไหนกัน? เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่มีความรับผิดชอบ ประพฤติตนเลวทราม อีกทั้งไม่สำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำผิดเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ผลักความรับผิดชอบให้ผู้เสียหายเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ผู้อื่นชอบหรือไม่นางไ
จวนฉางซิงโหวครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าจวนหย่งชางป๋อมากนัก มีการตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม มีทั้งศาลาและอาคาร สะพานเล็ก ๆ ที่มีสายน้ำไหล มีครบทุกอย่างที่ควรมี สภาพที่เจริญรุ่งเรืองภายในจวนไม่ใช่สิ่งที่จวนหย่งชางป๋อที่ตกอับสามารถเทียบได้เลย จวนหย่งชางป๋อในเวลานี้ทำได้เพียงอาศัยกิจการรากฐานจากบรรพบุรุษมารักษาหน้าตาในฉากหน้าเท่านั้นเมิ่งจิ่นเหยาเดินชมจวนหลังใหญ่ที่หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย นางจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต นอกจากบ้านใหญ่ บ้านรองและโถงโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางล้วนเดินชมทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้คร่าว ๆ แล้ว เมื่อลงมาจากบนสะพานเล็ก เมิ่งจิ่นเหยาเห็นนางจางเดินตรงมาหาก็ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย หลังจากนั้นนางค่อยเดินไปหานางจาง แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่”ความจริงนางจางก็เห็นนางกับสาวใช้ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ไกล ๆ แล้ว จึงตั้งใจเดินมาหานาง ก่อนจะผงกศีรษะเบา ๆ แล้วถามว่า “ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดอกไม้ภายในสวนนี้เบ่งบานพอดี น้องสะใภ้สามก็มาชมดอกไม้ด้วยหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ถือโอกาสว่าง ๆ เดินเล่นในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวด
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา