“ท่านพี่ พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ท่านอยากมองอะไร เหตุใดจำเป็นต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเล่า?” เมิ่งจิ่นเหยาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น หลังจากที่ตื่นตระหนกสักพักก็ใจเย็นลง จ้องมองบุรุษหนุ่มอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นอนเตียงเดียวกันแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นหญิงพรหมจรรย์อะไรอีกอีกอย่าง กู้จิ่งซีใช้การไม่ได้ แค่มองก็คงไม่สึกหรออะไร อย่างมากก็ถอดกันหมดทุกคนแล้วจ้องมองกันและกัน นางยังไม่เคยเห็นบุรุษเปลือยเปล่ามาก่อน กู้จิ่งซีหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บางทีเรือนร่างอาจจะดูดีมากเช่นกัน ก็ถือว่าเป็นการบำรุงสายตา มองของสดใหม่ หากกู้จิ่งซีบังเอิญใช้การได้ขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นก็ตรงใจนางพอดี นางไม่ถูกชะตากับบุตรชายนิสัยไม่ดีที่ได้มาโดยไม่เสียเงิน วันหน้าบุตรอกตัญญูผู้นั้นไม่มีทางกตัญญูมารดาอย่างนางแน่นอน หากมีบุตรของตัวเองได้ก็เป็นเรื่องดีกู้จิ่งซีไม่รู้ว่าแม่นางน้อยขบคิดมากมายถึงเพียงนี้ในชั่วพริบตา ถึงขนาดที่อยากมีบุตรให้เขาแล้ว เมื่อดวงตาส่องประกายสดใสคู่นั้นจ้องมองมาที่ตน แววตาก็แฝงไปด้วยการหยอกล้อ ราวกับรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างแล้ว เขาเกิดความรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากขึ้นมา
เมื่อคำกล่าวนี้ออกมา เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความผิดบาปถาโถมใส่นางอย่างล้นหลาม เห็นกู้จิ่งซีถามอย่างจริงจังถึงเพียงนี้ นางก็ละอายใจไม่หยุด รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขามีโรคที่มิอาจบอกใครได้ แต่นางยังเย้าแหย่เขา นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นไม่ใช่หรือ? การร่วมอภิรมย์ กู้จิ่งซีที่เป็นเช่นนี้จะร่วมอภิรมย์ได้อย่างไร?นางส่ายหน้าติดต่อกัน เอ่ยจากใจจริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการ ท่านพี่ ท่านอย่าคิดเหลวไหลเลย ข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นเช่นกัน พวกเราเป็นอย่างตอนนี้ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียง “อืม” เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน นอนเถิด” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า สายตาอดทอดมองไปยังดวงหน้าหล่อเหลาดวงนั้นไม่ได้ นางถึงขนาดรู้สึกเสียใจ ว่ากันว่าบุตรสาวหน้าตาคล้ายคลึงบิดา บุรุษที่ดูดีเพียงนี้ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสาวได้ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไยสวรรค์ถึงปล่อยให้บุรุษที่หล่อเหลาเพียงนี้เป็นโรคที่มิอาจบอกใครได้? .....เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมา คนร่วมเตียงข้างกายได้ตื่นมานานแล้ว นางยังตื่นไม่เต็มตา ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง เลิกผ้าห่มออ
กู้จิ่งซีเอ่ยอย่างใส่ใจเป็นพิเศษว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินยังพักผ่อนไม่พอนะ กินอาหารเช้าแล้วก็ไปนอนอีกสักหน่อยเถิด”เมิ่งจิ่นเหยาฟังแล้วรู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเลียนนาง นางจึงไม่พอใจนิดหน่อยเมื่อคืนบุรุษผู้นี้มองนางแล้ว เขาก็นอนหลับสนิทมาก แต่นางแค่ลูบคลำเขาก็ถูกจับได้คาหนังคาเขา หลังจากนั้นใจก็ละอายใจพลิกตัวไปมาจนยากจะนอนหลับนางเอ่ยด้วยเสียงฉุนเฉียวว่า “ท่านพี่ เมื่อคืนงามหรือไม่?”สีหน้าของกู้จิ่งซีแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “ฮูหยินรู้สึกสัมผัสมือเป็นอย่างไรเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยากัดฟัน “ดีมาก” กู้จิ่งซีแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินก็งามมากเช่นกัน”เมื่อคืนเขาถูกเข้าใจผิด แต่แม่นางน้อยผู้นี้ลูบคลำใบหน้าของเขานั้นเป็นเรื่องจริง เดิมทีเขาอยากจะนอน แต่พอมีดวงตาสองข้างจับจ้องมาที่เขา สายตาเวทนานั้นราวกับมองเด็กน้อยที่น่าสงสาร มองจนเขารู้สึกชาที่หนังศีรษะ เขาหลับได้ก็แปลกแล้วเพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ แม่นางน้อยจะเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของเขา เมื่อถูกเขาจับได้ยังเอ่ยอย่างฉะฉานมีเหตุผลว่า “ท่านมองข้า ข้าลูบท่าน เสมอกันแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอ
ชุนหลิ่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองนางแวบหนึ่ง ดูไม่ออกว่านางดีใจหรือไม่ จึงกล่าวอีกว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าเมื่อคืนท่านซื่อจื่อมีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด ท่านโหวถึงได้ไปเยี่ยมเจ้าค่ะ”“ไข้สูง?” เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจแล้วหันไปถามว่า “เช่นนั้นเวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไข้ลดลงแล้วหรือยัง?” ชุนหลิ่วส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยากลอกตา ทันใดนั้นก็เปลี่ยนใจ ไม่อยากเดินเล่นชั่วคราว นางมองไปทางชุนหลิ่วแล้วยิ้มจนดวงตาโค้งพลางกล่าวว่า “ชุนหลิ่ว เจ้าตามข้าไปที่โถงบรรพชน ดูว่าตอนนี้ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง”เมื่อได้ยินคำกล่าว ชุนหลิ่วก็ทำสีหน้าแข็งทื่อ เอ่ยอย่างลังเลว่า “ฮะ ฮูหยิน พวกเราจะไปที่โถงบรรพชนตอนนี้หรือเจ้าคะ?” เช่นนั้นหากท่านโหวเห็นนางก็ต้องทราบว่านางเป็นคนบอกความลับไม่ใช่หรือ? นี่ฮูหยินกำลังกลั่นแกล้งนางอยู่ไม่ใช่หรือไร?เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะคิ้วขมวด ดวงหน้าฉายแววความกังวล ราวกับมารดาผู้มีเมตตาที่เป็นห่วงบุตรชาย ก่อนจะเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “บุตรชายป่วย ข้าเป็นมารดาไม่ไปเยี่ยมแล้วจะวางใจได้อย่างไร?” นางกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ “ชุนหลิ่ว ตอนนี้เ
เมิ่งจิ่นเหยามาถึงห้องเล็กด้านหลังโถงบรรพชน ห้องเล็กแห่งนี้จัดเตรียมไว้ให้ลูกหลานอกตัญญูที่ถูกกักบริเวณสำนึกผิดในโถงบรรพชนเด็กรับใช้ที่ถูกส่งมาดูแลกู้ซิวหมิงเห็นนางก็งุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแจ้งไปที่ท่านโหว เหตุใดผู้ที่มาคือฮูหยินเล่า?แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรสองสามีภรรยาก็มาถึงกันแล้ว เขาจึงรีบเดินหลายก้าวเข้ามา แล้วคำนับด้วยความเคารพ “คารวะฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “เวลานี้บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เด็กรับใช้ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อฟื้นแล้วขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียง “อืม” เบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยความเบิกบานใจ ชุนหลิ่วก็ฝืนจำใจตามไปด้วยเช่นกันเพิ่งเข้ามาในห้อง กลิ่นยาเหม็น ๆ ก็โชยเข้ามาในจมูก คิดดูแล้วน่าจะเป็นยารักษาบาดแผลเมิ่งจิ่นเหยาย่นจมูกด้วยความอึดอัด เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่ไม่เห็นเงาของสามีที่ได้มาในราคาถูกของนาง เห็นเพียงบุตรชายที่ได้มาในราคาถูกของนางกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง นางงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองชุนหลิ่ว บ่งบอกถึงการสอบถาม ชุนหลิ่วก็มึนงงเช่นกัน นา
“บังอาจ!”เมิ่งจิ่นเหยายังไม่ทันตอบโต้ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังมาจากทางหน้าประตู นางเบนศีรษะมองไปก็เห็นดวงหน้าเกรี้ยวกราดของกู้จิ่งซีสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวของชุนหลิ่วไม่ผิดพลาด นางแค่มาเร็วไป เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงก็หดลงฉับพลัน เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นบิดาทำสีหน้าย่ำแย่ สาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็หน้าซีดเผือด ร้องเรียกด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “ทะ ท่านพ่อ” กู้จิ่งซีขมวดคิ้วทำสีหน้าทะมึน มองบุตรชายอกตัญญูที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงด้วยสายตาดุดัน โทสะใจพรั่งพรูขึ้นมา ก่อนจะถามเสียงเคร่งขรึมว่า “นางแต่งงานกับบิดาของอดีตคู่หมั้นเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้า เช่นนั้นบิดาแต่งงานกับคู่หมั้นของบุตรชายก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นกันใช่หรือไม่?” กู้ซิวหมิงส่ายหน้าอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้” กู้จิ่งซีถามอีกครั้งว่า “ผู้เสียหายอย่างนางควรจบชีวิต เช่นนั้นตัวการที่หนีตามคนอื่นไปในวันแต่งงานควรมีชีวิตอยู่หรือ?”เมื่อเห็นกู้ซิวหมิงพูดไม่ออก เขาก็ตำหนิต่อว่า “ขอเพียงเจ้ามีความรับผิดชอบสักนิด เรื่องราวก
“สงบเสงี่ยมสักหน่อย คราวหน้าข้าอาจจะไม่ได้อยู่ด้วย”ชายหนุ่มทำสีหน้าเรียบนิ่งยามที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่ได้โกรธเลย เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มหวานพลางถามว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะโดนบุตรชายของท่านรังแกหรือ?”กู้จิ่งซีเหลือบมองนางด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ตอบอะไรเมิ่งจิ่นเหยาไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ นางยิ้มไม่หุบ เอ่ยเสียงดังอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพี่วางใจได้ อาศัยแค่เขารังแกข้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำกล่าว กู้จิ่งซีก็หน้ากระตุก รู้ว่านางไม่อาจทำตัวสงบเสงี่ยมได้เลย เผลอ ๆ อาจจะยังชอบทำเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย มองซิวหมิงเป็นเรื่องสนุก เขาจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ฮูหยิน อยู่ดี ๆ เจ้าไปหาเรื่องเขาเพื่ออะไร?”เมิ่งจิ่นเหยาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เอ่ยแย้งว่า “ท่านพี่ ข้าหาเรื่องเขาที่ไหนกัน? นี่เป็นเพราะได้ยินว่าเขามีไข้สูงไม่ยอมลดเลยตั้งใจมาดูแลเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?”คำกล่าวนี้เอ่ยอย่างสง่างามผ่าเผย กู้จิ่งซีไม่เชื่อเลยแม้แต่คำเดียว เขามองแม่นางน้อยทำหน้าอ่อนโยนใจดี ราวกับมารดาแสนดีที่ห่วงใยบุตร
หนิงตง ชิงชิวและชุนหลิ่วคอยรับใช้ข้าง ๆเมิ่งจิ่นเหยาถามขึ้นฉับพลันว่า “ชุนหลิ่ว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ทำงานในจวนโหวมานานเพียงใดแล้ว?”ชุนหลิ่วตอบตามความจริงว่า “ปีนี้ข้าน้อยอายุสิบหกแล้วเจ้าค่ะ ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซื้อกลับมาพร้อมกับเซี่ยจู๋ เข้ามาในจวนโหวได้สี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ปีที่แล้วถูกส่งมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องในจวนไม่น้อยเลยสินะ? เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดสิ”ชุนหลิ่วตอบรับ นางย่อมเล่าสิ่งที่รู้โดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย บอกนิสัยของเจ้านายแต่ละคนในจวนหลังจากฟังคำบรรยายของชุนหลิ่วจบ เมิ่งจิ่นเหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กู้ซิวหมิงเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสา ได้รับความรักความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง?อ่อนโยนสง่างาม รู้มารยาท รู้ประสีประสาใกล้เคียงกับกู้ซิวหมิงตรงไหนกัน? เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่มีความรับผิดชอบ ประพฤติตนเลวทราม อีกทั้งไม่สำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำผิดเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ผลักความรับผิดชอบให้ผู้เสียหายเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ผู้อื่นชอบหรือไม่นางไ
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่
กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค
เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ
จวนฉางซินโหว เรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย กำลังฟังชุนหลิ่วกับหนิงตงอ่านบันทึกเรื่องเล่าแปลกประหลาด ชุนหลิ่วรับผิดชอบอ่านบทบรรยาย ส่วนหนิงตงอ่านบทสนทนาชิงชิวอยู่ด้านหนึ่งคอยปอกเมล็ดแตงให้เมิ่งจิ่นเหยา ส่วนเซี่ยจู๋ก็คอยพัดวีให้เมิ่งจิ่นเหยาอยู่อีกด้านหนึ่งวันนี้ไม่ถือว่าร้อนนัก ในช่วงไม่กี่ชั่วยามที่ร้อนที่สุด ภายในห้องจะวางตู้น้ำแข็งเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิ เมื่อผ่านยามเซินไปแล้วจะไม่ร้อนเท่าใดนัก ก็จะนำตู้น้ำแข็งออก ภายในห้องยังหลงเหลือความเย็นสบายอยู่เล็กน้อย แค่พัดสักนิดหน่อยก็พอแล้วเมิ่งจิ่นเหยาหรี่ตาลงอย่างสบาย ช่างสำราญใจยิ่งนักเมื่อกู้จิ่งซีกลับมา ก็มองเห็นฉากนี้ เขาตะลึงงันเล็กน้อย แม่นางน้อยที่อยู่แต่ในเรือนมิดชิดช่างรู้จักเพลิดเพลินใจยิ่งนัก เขาไม่เคยให้สาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัติเช่นนี้เสพสุขขนาดนี้มาก่อน “ท่านโหว”เมื่อสาวใช้ทั้งสี่คนมองเห็นกู้จิ่งซี ก็รีบคารวะให้เขาเมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามอง บุรุษในชุดขุนนางสีแดงเข้มกำลังก้าวเท้าเดินมาทางนาง จึงส่งเสียงเรียกออกมา “ท่านพี่” เมื่อสังเกตเห็นกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือของเขา ก็เอ่ยถามอีกว่า “ท่านพี
กู้จิ่งซีกล่าว “ร่างกายของสตรีเทียบไม่ได้กับบุรุษ ยิ่งต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าสัมผัสความเย็น หากความเย็นเข้าสู่ร่างกายจะได้รับความทรมานได้ หากว่าง่วงนอนก็กลับไปนอนที่เตียง ระวังจะเป็นหวัดเอา”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อคิดถึงสุขภาพของตนเอง ดวงตาก็หม่นลง หันมาพยักหน้าแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” กล่าวจบ นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนนี้ท่านพี่มีเวลาหรือไม่เจ้าคะ? มิสู้พวกเรามาเดินหมากกันสักตาดีไหมเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบรับอย่างยินดี “ได้”เมิ่งจิ่นเหยาไปเอากระดานหมากมา ทั้งสองคนเดินหมากกันผ่านไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม แพ้ชนะก็ได้ถูกตัดสิน ผลลัพธ์ไม่เกินความคาดหมายแม้แต่น้อย เมิ่งจิ่นเหยาพ่ายแพ้แล้ว นางกำลังมองดูกระดานหมาก แม้เสียใจก็สายไปแล้วกู้จิ่งซีเห็นนางขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ ท่าทางแทบอยากจะย้อนเวลากลับไปในทันที มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะมองเห็น พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน เมื่อวานข้าก็บอกเจ้าแล้ว การระแวดระวังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากระมัดระวังมากเกินไปจะเสียเรื่องได้ง่าย ตอนนี้แพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว เสียใจไปก็ไร้ประโยชน์”เมิ่งจิ่นเหยาไม่ย