บนรถม้ากู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงแม่นางน้อยกำลังอมยิ้ม คิ้วและดวงตาวาดโค้ง ท่าทางอารมณ์ดีมีความสุข อาจเป็นเพราะได้ระบายความขุ่นเคืองออกไปแล้ว เขาจึงถามว่า “อารมณ์ดีมากหรือ?”รอยยิ้มมุมปากของเมิ่งจิ่นเหยาไม่อาจข่มไว้ได้ จึงสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์ดีมาก ๆ บอกแล้วว่าปากของขุนนางบุ๋นเวลาจะประจบประแจงผู้ใด ก็ต้องกล่อมจนผู้นั้นจิตใจเบิกบาน หากคิดจะทำให้ใครโกรธ ก็ต้องโกรธจนตายกันไปข้างหนึ่ง ในที่สุดวันนี้ก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”พอนางพูดจบ รอยยิ้มก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น นางไม่คาดคิดจริง ๆ ว่ากู้จิ่งซีจะมีกำลังต่อสู้แข็งแกร่งขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่ากู้จิ่งซีจะพูดคุยกับคนในบ้านบิดามารดาของนางได้เก่งแบบนี้ เดิมยังนึกว่ากู้จิ่งซีแค่แสร้งทำเป็นนอบน้อมและคล้อยตามเพื่อเอาตัวรอดไปก่อนกู้จิ่งซีจุกอยู่ในลำคอ เวลาแม่นางน้อยชื่นชมใครสักคน ทำไมถึงดูเหมือนกำลังด่าใครอยู่? เขาหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ฮูหยินเวลาอยู่ต่อหน้าข้าพูดเก่งมากไม่ใช่หรือ? เหตุใดพอกลับถึงบ้านพ่อแม่แล้วเป็นใบ้ไปเสียล่ะ?”“กำลังต่อสู้ของท่านพี่แข็งแกร่งเกินไป ไม่มีที่ให้ข้าได้แสดงความสามารถเลย” เมิ่งจิ
——บุตรชายของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าขอไปดูเสียหน่อยทันทีคำพูดเหล่านี้กล่าวออกมา ในใจของชุนหลิ่วก็ราวกับเกิดแรงกระเพื่อมนับพัน นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ครั้นจะเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หากรู้ล่วงหน้า นางคงจะไม่บอกเรื่องนี้กับนายหญิงเพียงเพื่อจะเอาใจนางชุนหลิ่วถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ทะ ท่านจะไปหาซื่อจื่อตอนนี้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ด้วยท่าทีของมารดาผู้มีเมตตา พลางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ใช่แล้ว บุตรชายกลับมา ในฐานะที่ข้าเป็นมารดา ถึงอย่างไรก็ควรจะไปดูเสียหน่อย มิใช่หรือ? ”ชุนหลิ่วสำลักพลางกล่าวในใจ ‘ถึงอย่างไรท่านก็เด็กกว่าซื่อจื่อสองเดือนนะเจ้าคะ หากนับกันตามอายุแล้ว บอกว่าท่านคือน้องสาวก็คงจะไม่ถือว่ามากเกินไป ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ไปพบซื่อจื่อเพื่อต้องการแก้แค้น?’เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้มมุมปาก “ไปเถิด เจ้าก็ตามข้าไปดูด้วย”ชุนหลิ่วมองเห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากของนาง รู้สึกแต่เพียงว่าน่าขนลุกยิ่งนัก ฮูหยินจะต้องอาศัยสถานะของผู้อาวุโสสร้างความลำบากให้กับซื่อจื่อเป็นแน่ ทว่า นางยังไม่กล้าไม่เห็นด้วย นางรู้ว่าจุดจบของสาวใช้สอ
เมื่อกู้ซิวหมิงเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นดวงหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาที่งดงามโดดเด่นปรากฏสู่สายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นผมที่หวีเป็นมวยของสตรีที่วิวาห์แล้ว เขาก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเขาหนีการวิวาห์แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาจะแต่งเข้ามาอย่างไร้ยางอาย กลายเป็นภรรยาของเขา ครอบครองในสิ่งที่ควรจะเป็นของหว่านเอ๋อร์ไม่นาน แววตาของเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกับว่าดวงตาของเขาคู่นั่นมองเห็นสิ่งที่สกปรกอย่างไรอย่างนั้นเมิ่งจิ่นเหยารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเขา ทว่านางไม่ใส่ใจ ยิ้มอย่างไม่แยแสพลางสั่งบ่าวรับใช้ “ เอาผ้าที่อุดปากของพวกเขาออก”บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม พลางก้าวไปข้างหน้าหยิบผ้าหยาบที่อุดปากของทั้งสองคนออกกลั้นเอาไว้นาน ในที่สุดก็สามารถเปิดปากพูดได้เสียที แต่กลับต้องมาเจอกับผู้ที่ตนเองรังเกียจ สายตาของกู้ซิวหมิงจับจ้องเมิ่งจิ่นเหยาอย่างเย็นชา พลางเอ่ยปากพูดก่อน “แม่นางเมิ่ง เจ้าก็เห็นแล้ว ในใจของข้ามีเพียงหว่านเอ๋อร์เท่านั้น และชีวิตนี้ต้องเป็นหว่านเอ๋อร์เพียงผู้เดียว หากแม่นางเมิ่งยินดีหย่า ข้ายินดีรับแม่นางเมิ่งเป็นน้องสาวบุญธรรม หากวันใดแม่นางพบกั
หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่าเช่นกัน พลางมองเมิ่งจิ่นเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางเพิ่งจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากที่ท่านพี่ซิวหมิงจะหย่ากับเมิ่งจิ่นเหยาเพื่อนาง พอตอนนี้ต้องมารู้อย่างกะทันหันว่าเมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้วิวาห์กับท่านพี่ซิวหมิง แต่วิวาห์กับบิดาของท่านพี่ซิวหมิงแทน เช่นนั้นต่อไปจะไม่กลายมาเป็นมารดาของสามีนางหรอกหรือ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของนางก็เต้นผิดจังหวะอย่างฉับพลันนางกับท่านพี่ซิวหมิงหนีตามกันไป ทำให้เมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นตัวตลกในวันวิวาห์ ในอนาคต หากเมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นแม่สามีของนาง จะต้องทรมานนางเป็นแน่ วิธีที่แม่สามีใช้ทรมานลูกสะใภ้มีอยู่มากมายนัก เพียงแค่ตั้งกฎเกณฑ์ก็ทรมานนางได้แล้วเมิ่งจิ่นเหยามองดูสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคนด้วยความสนใจ จากความอับอายกลายเป็นโทสะของบุรุษ ราวกับว่า ได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง ส่วนสตรีก็จิตใจกระวนกระวาย เมื่อสบตากับนาง ก็หดคอตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พลางโน้มตัวไปทางกู้ซิวหมิงอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าหวาดกลัวนางยิ่งนัก กู้ซิวหมิงจับจ้องนางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยคำเตือน ดวงตาคู่นั้นราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าอย่าได้คิด
เขามองไปที่เมิ่งจิ่นเหยา มองเห็นสายตาอันเจ้าเล่ห์ของนาง ราวกับในใจกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง ใบหน้าเขาเคร่งขรึมในฉับพลัน พลางถาม “เมิ่งจิ่นเหยา หรือเจ้ายังอยากใช้กฎตระกูลกับข้าอยู่หรืออย่างไร? ข้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนโหว ใช่ผู้ที่เจ้าคิดจะลงโทษก็ลงโทษได้กระนั้นหรือ?”เมื่อมองเห็นร่องรอยของความระแวดระวังในดวงตาเขา รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งลึกขึ้น กู้ซิวหมิงสามารถบุ่มบ่ามเอาแต่ใจเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เพราะสถานะของฉางซินโหวซื่อจื่อหรอกหรือ รู้ว่ากู้จิ่งซีมีอาการป่วยซ่อนเร้น ไม่สามารถมีบุตรเป็นของตนเองได้ และเขาในฐานะที่เป็นบุตรบุญธรรมจะต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์อย่างแน่นอน?อย่างไรก็ตาม เขาฝันสวยงามเกินไป ตราบใดที่ฉางซินโหวยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถกราบทูลฝ่าบาทให้แต่งตั้งผู้อื่นเป็นซื่อจื่อได้บุตรบุญธรรมที่ไม่เข้าท่าเช่นเขา ก็ยังสามารถรับบุตรบุญธรรมอีกคนเข้ามาเพื่อสืบทอดบรรดาศักดิ์แทนได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งจิ่นเหยาก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน เอ่ยอย่างจริงจังกึ่งล้อเล่นว่า “ข้าคือมารดาของเจ้า เจ้าคือบุตรชายของข้า มีอันใดเป็นไปไม่ได้กัน?” ทว่าวันนี้ข้าไม่อยากมือเปรอะเปื้อน ผู้ที่ไร้ศีลธรรม ไม่คู่
หลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้ฟัง ในใจสั่นไหว นางหยุดร่ำไห้แล้วเงยหน้าแอบชำเลืองดูกู้จิ่งซีอย่างขี้ขลาด ชายผู้นั้นรูปร่างสง่างาม ดวงหน้างดงามหมดจด ท่าทางสูงส่ง ดูแล้วเพิ่งจะอายุยี่สิบสามหรือยี่สิบสามปี นางรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าท่านโหวกู้จะดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน พลางพยักหน้าตอบรับ “ท่านพี่โปรดวางใจ ต่อจากนี้ข้าจะต้องอบรมสั่งสอนซิวหมิงอย่างดีแน่นอน จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกของตนเอง”กู้ซิวหมิงมองนาง มีความรู้สึกเหมือนเคยพบกับแม่เลี้ยงชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อน ภายนอกดูอ่อนโยน แท้ที่จริงแล้วภายในกำลังวางแผนว่าจะแก้แค้นตนเองอย่างไรดี นางจะต้องเป็นเพราะว่าตนเองหนีการแต่งงาน ไม่สามารถแต่งงานกับตนเองได้ จึงได้แต่งงานกับบิดาอย่างไร้ยางอาย เช่นนี้นางก็จะสามารถใช้สถานะที่ตนเองเป็นผู้อาวุโส มาควบคุมเขา ทั้งยังสามารถเป็นฉางซินโหวฮูหยินที่มีหน้ามีตาอย่างที่สุด ทว่าบิดาที่เฉลียวฉลาดมาตลอดกลับมาเลอะเลือนในช่วงเวลาสำคัญเขาถามด้วยความเดือดดาล “ท่านพ่อ นางเป็นคู่หมั้นของลูกไยท่านถึงแต่งกับนางงั้นหรือขอรับ?”กู้จิ่งซีขมวดคิ้ว มองไปที่เขาด้วยดวงตา
เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์เห็นคนรักสีหน้าซีดขาว นางก็หวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แม้แต่ซื่อจื่อของจวนโหวก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้ แล้วสภาพของนางจะดีไปกว่ากันเท่าใด? ท่านพี่ซิวหมิงแม้แต่ตัวเองก็เอาไม่รอด แล้วจะปกป้องนางได้อย่างไร? เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบตามองชายหญิงที่ต่อให้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ยังอิงแอบอยู่ข้างกันคู่นี้คราหนึ่ง แล้วจึงหันไปถามชายที่อยู่ข้างตนว่า “ท่านพี่ แล้วแม่นางหว่านเอ๋อร์ผู้นี้จะทำเช่นไรดี? ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวของบ้านใด หากบิดามารดานางรู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกรงว่าคงโมโหไม่เบา แม้การหนีตามกับจะเป็นเรื่องที่ต่างเต็มใจทั้งสองฝ่าย ทว่าก็ยังคงต้องจัดการให้ดี” วินาทีก่อนหน้า หลี่หว่านเอ๋อร์ยังกังวลกับจุดจบที่นางต้องเผชิญ เวลานี้ เมื่อเมิ่งจิ่นเหยากล่าวถึงนางขึ้นมา หัวใจทั้งดวงของนางก็เครียดเกร็งไปหมด ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนอีกครั้งไปด้วยหยดน้ำตา นางน้ำตาไหลรินเป็นทาง มองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยดวงตาหวาดกลัว กู้จิ่งซีมองสำรวจหลี่หว่านเอ๋อร์ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แม่นางที่ทำให้บุตรอกตัญญูคนนี้ของเขา หนีตามกันไปโดยไม่สนใจหน้าตาของวงศ์สกุลผู้นี้ รูปลักษณ์จัดได้ว่างาม แม้รู
“สามหาว!” กู้จิ่งซีตำหนิด้วยความโกรธ สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า คิดไม่ถึงว่า บุตรบุญธรรมที่ยามปกติรู้ความมีมารยาท ทั้งยังกตัญญูผู้นี้ จะยังมีด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ตนยังไม่ทันตาย ก็กล้ากล่าววาจาเราะร้ายกับผู้อาวุโสแล้ว หากตนตายไป ยังไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะถูกปฏิบัติอย่างไร เขาโกรธไม่เบา มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียง “หากนางเป็นหญิงอสรพิษ ยามนี้ แม่นางหว่านเอ๋อร์ที่พฤติกรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้นี้ ก็คงไม่ได้เหยียบย่างเข้าประตูสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบอย่างไร ก็ได้แต่เลี้ยงไว้ข้างนอก เป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนเท่านั้น เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ว่ายังไม่สำนึก ดูท่าคงเป็นเพราะบทลงโทษเบาเกินไป เช่นนั้นก็เพิ่มอีกห้าแส้แล้วกัน” หากเพิ่มอีกห้าแส้ มิเท่ากับโทษโบยยี่สิบห้าแส้หรือ? ในใจของกู้ซิวหมิงบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา มองผู้เป็นบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าท่านบิดาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี คิดจะตีเขาถึงตายเพียงเพราะสตรีนางเดียว ดูท่าความสามารถในการล่อลวงคนของเมิ่งจิ่นเหยาผู้นี้จะมีมากเหลือเกิน ไม่เสียทีที่มีใบหน้าเช่นน