หลังจากสาวใช้ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ รีบโขกหัวละล่ำละลัก “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเขยก็กลับมากับคุณหนูใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกไป คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ ก็ตกใจ เกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ขึ้นในวันแต่งงาน ฉางซินโหวยังกลับบ้านมากับเมิ่งจิ่นเหยาด้วย นี่คือเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งก็ตกใจไม่น้อย พูดอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าบอกว่าฉางซินโหวก็มาด้วยงั้นหรือ?”สาวใช้ตอบว่า “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านเขยยังรออยู่ที่หน้าประตู”ฮูหยินผู้เฒ่าเหมิงเผยความโกรธออกมาทางสีหน้า พลางตำหนิว่า “พวกเจ้าทำงานประสาอะไร? ท่านเขยมาแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงปล่อยท่านเขยไว้ข้างนอก ไม่ต้อนรับเขาเข้ามาในจวน?”สาวใช้ก้มหน้าไม่กล้าตอบ ที่ในจวนกระทำกันเช่นนี้ เพราะฟังจากที่ท่านเมิ่งยังพูดด้วยซ้ำไปว่าไม่รับบุตรสาวอย่างคุณหนูใหญ่แล้ว วันนี้ไม่มีการจัดเตรียมเลยสักนิด ชัดเจนว่าไม่ต้อนรับคุณหนูใหญ่กลับบ้านในวันที่สามหลังแต่งงาน แล้วพวกเขาจะกล้าปล่อยให้คุณหนูใหญ่และท่านเขยเข้ามาโดยพลการได้อย่างไร?ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามหาความรับผิดชอบจากบ่าวรับใช้ “นางซุนรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ บ่าวรับใช้มีตาหามี
ผ่านไปไม่นาน ประตูจวนก็เปิดออก เมิ่งตงหย่วน นางซุน รวมถึงเด็กรุ่นหลังอีกสามคนก็มาถึงทางเข้าประตูใหญ่กู้จิ่งซีก็ลงจากรถม้าเช่นกัน พลางชำเลืองมองภรรยาตัวน้อยที่ยืนอยู่บนรถม้า กำลังเตรียมตัวจะลงมา เขาครุ่นคิดพลางยื่นมือไปหานางเห็นดังนั้น สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักงัน แต่แล้วก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว วางมือลงบนฝ่ามือของเขาอย่างให้ความร่วมมือ เขาช่วยประคองลงจากรถม้าภายใต้สายตาของคนในบ้านพ่อแม่ เมิ่งตงหย่วนและนางซุนเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป ไม่นึกว่าบุตรสาวคนนี้ถึงจะทำให้ชื่อเสียงป่นปี้ แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฉางซินโหว ในที่สุดรูปโฉมอันงดงามก็ไม่เสียเปล่ารอยยิ้มของเมิ่งตงหย่วนสดใส เอาอกเอาใจพอสมควร เอ่ยขึ้นว่า “อาเหยา ท่านเขย พวกเจ้ามากันแล้วหรือ ท่านย่าของพวกเจ้ารออยู่นานแล้ว เมื่อครู่ยังบ่นถึงพวกเจ้าอยู่เลย”นางซุนมองพิจารณาเมิ่งจิ่นเหยา เห็นสีหน้าของนางเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมตรงไหน พลางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน “ท่านเขย เห็นอาเหยาของพวกเราสีหน้าดูดี ก็รู้ว่าท่านปฏิบัติต่อนางดีมาก ตั้งแต่นางออกเรือนไป คนเป็นมารดาอย่างข้าก็รู้สึกเป็นห่ว
นางซุนเห็นเช่นนี้ ก็นึกสาปแช่งอยู่ในใจ นังแพศยา!กู้จิ่งซีไม่ได้หาทางลงให้กับพวกเขาสองสามีภรรยา แต่พูดด้วยความตกใจ “อาเหยาเป็นลูกที่ท่านเมิ่งรักที่สุดหรือนี่?”เขาเหลือบมองเด็กทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาสามีภรรยา แล้วพูดอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้โปรดปรานพวกเขาทั้งสามคนเท่าใดนัก แล้วการปฏิบัติไม่ได้ยิ่งแย่ลงไปอีกหรือ? ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ท่านเมิ่งทำแบบนี้กับลูก ๆ ไม่กลัวว่าในอนาคตลูก ๆ จะอกตัญญูหรือ”เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินแล้วก็แทบจะอดหัวเราะไม่ได้ นางไม่คิดว่ากู้จิ่งซีผู้จริงจังเช่นนั้นจะพูดจาเหน็บแนมเป็นกับเขาเหมือนกัน นางเหลือบมองน้องชายน้องสาวทั้งสาม มองสีหน้าแปลก ๆ ของพวกเขา สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เมิ่งเฉิงจาง เห็นน้องชายคนรองก็มองมาที่ตนเช่นกัน นางฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเมิ่งตงหย่วนรู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างมาก ยิ้มแหยพร้อมกับพูดว่า “ท่านเขย กับลูกก็ต้องเข้มงวด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่เป็นโล้เป็นพาย” เขาพูดพลางหันไปมองเด็กทั้งสามคน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที โดยการแนะนำตัวเด็กทั้งสามทีละคน “ท่านเขย นี่คือน้องสาวคนรองของอาเหยาชื่ออาอวี้ น้องชายคนรองชื่อเฉิงจา
เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีไม่ได้อยู่กินข้าวเที่ยง เมิ่งตงหย่วนแค่รั้งให้อยู่ต่อพอเป็นพิธีและพูดคุยไม่กี่คำก่อนจะปล่อยไป พาพวกเขามาส่งที่ประตูใหญ่ แล้วถึงจะโล่งอกแม้ว่ากู้จิ่งซีจะเป็นลูกเขย แต่สถานะและตำแหน่งยังคงอยู่ สกุลเมิ่งที่กำลังเสื่อมถอยไม่สามารถเทียบได้กับสกุลกู้ที่ฮ่องเต้กำลังโปรดปราน คับข้องใจก็ต้องทนรับไว้ด้วยเหตุนี้ เมิ่งตงหย่วนจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิบุตรสาวคนโตที่สร้างความยุ่งยาก กู้จิ่งซีที่ควรจะได้เป็นบิดาของสามีของครอบครัวที่ลูกหลานเกี่ยวดองกันกลับกลายมาเป็นบุตรเขย สร้างความกดดันให้เขาอย่างไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายสกุลเมิ่งยังถูกคนอื่นหัวเราะเยาะอีกแม้ว่ากู้ซิวหมิงจะหนีงานแต่ง แต่สกุลกู้ก็ยังคงจัดงานแต่งตามกำหนดเดิม หากบุตรสาวคนโตไม่โวยวายที่จะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว ทำแบบนี้สกุลกู้จะผิดต่อสกุลเมิ่ง ติดหนี้สกุลเมิ่ง หนี้ก้อนนี้ยังสามารถนำมาใช้แสวงหาผลประโยชน์บางอย่างได้โถงหรงฝูฮูหยินผู้เฒ่าเมิ่งโมโหจัด ด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว “ให้ตายสินังเด็กชั้นต่ำ! ไต่เต้าขึ้นสูงจนลืมกำพืดของตัวเองไปแล้ว!”นางซุนจะไม่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้หรือ?เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างที่
บนรถม้ากู้จิ่งซีมองภรรยาตัวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงแม่นางน้อยกำลังอมยิ้ม คิ้วและดวงตาวาดโค้ง ท่าทางอารมณ์ดีมีความสุข อาจเป็นเพราะได้ระบายความขุ่นเคืองออกไปแล้ว เขาจึงถามว่า “อารมณ์ดีมากหรือ?”รอยยิ้มมุมปากของเมิ่งจิ่นเหยาไม่อาจข่มไว้ได้ จึงสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์ดีมาก ๆ บอกแล้วว่าปากของขุนนางบุ๋นเวลาจะประจบประแจงผู้ใด ก็ต้องกล่อมจนผู้นั้นจิตใจเบิกบาน หากคิดจะทำให้ใครโกรธ ก็ต้องโกรธจนตายกันไปข้างหนึ่ง ในที่สุดวันนี้ก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”พอนางพูดจบ รอยยิ้มก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น นางไม่คาดคิดจริง ๆ ว่ากู้จิ่งซีจะมีกำลังต่อสู้แข็งแกร่งขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่ากู้จิ่งซีจะพูดคุยกับคนในบ้านบิดามารดาของนางได้เก่งแบบนี้ เดิมยังนึกว่ากู้จิ่งซีแค่แสร้งทำเป็นนอบน้อมและคล้อยตามเพื่อเอาตัวรอดไปก่อนกู้จิ่งซีจุกอยู่ในลำคอ เวลาแม่นางน้อยชื่นชมใครสักคน ทำไมถึงดูเหมือนกำลังด่าใครอยู่? เขาหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ฮูหยินเวลาอยู่ต่อหน้าข้าพูดเก่งมากไม่ใช่หรือ? เหตุใดพอกลับถึงบ้านพ่อแม่แล้วเป็นใบ้ไปเสียล่ะ?”“กำลังต่อสู้ของท่านพี่แข็งแกร่งเกินไป ไม่มีที่ให้ข้าได้แสดงความสามารถเลย” เมิ่งจิ
——บุตรชายของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าขอไปดูเสียหน่อยทันทีคำพูดเหล่านี้กล่าวออกมา ในใจของชุนหลิ่วก็ราวกับเกิดแรงกระเพื่อมนับพัน นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ครั้นจะเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หากรู้ล่วงหน้า นางคงจะไม่บอกเรื่องนี้กับนายหญิงเพียงเพื่อจะเอาใจนางชุนหลิ่วถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ทะ ท่านจะไปหาซื่อจื่อตอนนี้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ด้วยท่าทีของมารดาผู้มีเมตตา พลางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ใช่แล้ว บุตรชายกลับมา ในฐานะที่ข้าเป็นมารดา ถึงอย่างไรก็ควรจะไปดูเสียหน่อย มิใช่หรือ? ”ชุนหลิ่วสำลักพลางกล่าวในใจ ‘ถึงอย่างไรท่านก็เด็กกว่าซื่อจื่อสองเดือนนะเจ้าคะ หากนับกันตามอายุแล้ว บอกว่าท่านคือน้องสาวก็คงจะไม่ถือว่ามากเกินไป ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ไปพบซื่อจื่อเพื่อต้องการแก้แค้น?’เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้มมุมปาก “ไปเถิด เจ้าก็ตามข้าไปดูด้วย”ชุนหลิ่วมองเห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากของนาง รู้สึกแต่เพียงว่าน่าขนลุกยิ่งนัก ฮูหยินจะต้องอาศัยสถานะของผู้อาวุโสสร้างความลำบากให้กับซื่อจื่อเป็นแน่ ทว่า นางยังไม่กล้าไม่เห็นด้วย นางรู้ว่าจุดจบของสาวใช้สอ
เมื่อกู้ซิวหมิงเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นดวงหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาที่งดงามโดดเด่นปรากฏสู่สายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นผมที่หวีเป็นมวยของสตรีที่วิวาห์แล้ว เขาก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเขาหนีการวิวาห์แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาจะแต่งเข้ามาอย่างไร้ยางอาย กลายเป็นภรรยาของเขา ครอบครองในสิ่งที่ควรจะเป็นของหว่านเอ๋อร์ไม่นาน แววตาของเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกับว่าดวงตาของเขาคู่นั่นมองเห็นสิ่งที่สกปรกอย่างไรอย่างนั้นเมิ่งจิ่นเหยารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเขา ทว่านางไม่ใส่ใจ ยิ้มอย่างไม่แยแสพลางสั่งบ่าวรับใช้ “ เอาผ้าที่อุดปากของพวกเขาออก”บ่าวรับใช้ตอบรับอย่างนอบน้อม พลางก้าวไปข้างหน้าหยิบผ้าหยาบที่อุดปากของทั้งสองคนออกกลั้นเอาไว้นาน ในที่สุดก็สามารถเปิดปากพูดได้เสียที แต่กลับต้องมาเจอกับผู้ที่ตนเองรังเกียจ สายตาของกู้ซิวหมิงจับจ้องเมิ่งจิ่นเหยาอย่างเย็นชา พลางเอ่ยปากพูดก่อน “แม่นางเมิ่ง เจ้าก็เห็นแล้ว ในใจของข้ามีเพียงหว่านเอ๋อร์เท่านั้น และชีวิตนี้ต้องเป็นหว่านเอ๋อร์เพียงผู้เดียว หากแม่นางเมิ่งยินดีหย่า ข้ายินดีรับแม่นางเมิ่งเป็นน้องสาวบุญธรรม หากวันใดแม่นางพบกั
หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่าเช่นกัน พลางมองเมิ่งจิ่นเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางเพิ่งจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากที่ท่านพี่ซิวหมิงจะหย่ากับเมิ่งจิ่นเหยาเพื่อนาง พอตอนนี้ต้องมารู้อย่างกะทันหันว่าเมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้วิวาห์กับท่านพี่ซิวหมิง แต่วิวาห์กับบิดาของท่านพี่ซิวหมิงแทน เช่นนั้นต่อไปจะไม่กลายมาเป็นมารดาของสามีนางหรอกหรือ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของนางก็เต้นผิดจังหวะอย่างฉับพลันนางกับท่านพี่ซิวหมิงหนีตามกันไป ทำให้เมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นตัวตลกในวันวิวาห์ ในอนาคต หากเมิ่งจิ่นเหยากลายเป็นแม่สามีของนาง จะต้องทรมานนางเป็นแน่ วิธีที่แม่สามีใช้ทรมานลูกสะใภ้มีอยู่มากมายนัก เพียงแค่ตั้งกฎเกณฑ์ก็ทรมานนางได้แล้วเมิ่งจิ่นเหยามองดูสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของทั้งสองคนด้วยความสนใจ จากความอับอายกลายเป็นโทสะของบุรุษ ราวกับว่า ได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง ส่วนสตรีก็จิตใจกระวนกระวาย เมื่อสบตากับนาง ก็หดคอตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พลางโน้มตัวไปทางกู้ซิวหมิงอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าหวาดกลัวนางยิ่งนัก กู้ซิวหมิงจับจ้องนางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยคำเตือน ดวงตาคู่นั้นราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าอย่าได้คิด