ช่วงเวลานี้ที่เรือนหลัก สวีเพ่ยเอนกายพูดคุยกับบุตรสาวที่มาเยี่ยมเยือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังหรูเยว่รินชาให้มารดาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อนางใฝ่ต่ำอยากจะเป็นอนุ...ถึงกลับใช้ความตายเข้าแลก ท่านแม่ก็ควรให้นางสมปราถนา”
สวีเพ่ยรู้ว่าบุตรสาวเอ่ยถึงผู้ใดก็แค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา
“แต่งออกไปเป็นอนุ แม้กระทั่งสินเดิมก็ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมแล้วเหตุใดแม่จะไม่ยินดี ทว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่มีรากฐานมาหลายปีหากแม่ยินยอมให้นางแต่งออกเป็นอนุจะถูกผู้อาวุโสตำหนิได้”
หวังหรูเยว่หัวเราะร่าขึ้นมา “ท่านแม่ปกครองเรือนด้วยความเมตตา แม้กระทั่งบุตรของอนุก็จัดหาคู่ให้อย่างเหมาะสม แต่ครั้งนี้ก็นับว่าจนใจ...ท่านแม่ไม่มีทางเลือกแล้ว”
สวีเพ่ยยิ้มตอบ “พ่อเจ้ากลับมาเย็นนี้ ข้าจะพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นหมายของหวังชิงหว่านที่ได้ตกลงไปก่อนหน้านี้”
หวังหรูเยว่กุมมือมารดาขึ้นมา “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าค่ะ ยังเหลืองานแต่งของน้องอีกหลายคนที่ยังต้องให้ท่านแม่ไปจัดการ ยิ่งพี่ใหญ่ก็ยิ่งเห็นความหวังดีของท่านแม่อย่างแน่นอน”
สวีเพ่ยตบมือบุตรสาวเบา ๆ เพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลที่ดีให้บุตรชาย นางจำต้องสร้างภาพเป็นฮูหยินที่ใจกว้างและมีเมตตา หากนางจัดการให้บุตรสาวอนุตบแต่งออกไปเป็นอนุจะต้องถูกหาว่าจิตใจคับแคบริษยา บุตรสาวจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ย่อมต้องไตร่ตรองให้มากหากจะมาเป็นสะใภ้ซึ่งอาจจะทำให้บุตรชายของนางพลาดคู่ครองดี ๆ ไป
นางจัดการคู่หมั้นหมายให้หวังชิงหว่านเป็นขุนนางชั้น 9 แม้จะตำแหน่งไม่สูงนักแต่ก็นับว่าเหมาะสมกับเด็กสาวที่เป็นอนุ ตกแต่งนั่งเกี้ยวออกไปอย่างสมศักดิ์พิธีการไม่ขาดตกบกพร่อง โชคดีที่การเลี้ยงดูที่มาผ่านมาของนางได้ผล เด็กคนนี้จึงเติบโตมาด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้ผิดรู้ชั่ว กลับไม่พอใจหวังอยากจะเป็นอนุผู้อื่น สวีเพ่ยหัวเราะเสียงต่ำในใจ
พอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นแสงแดดเริ่มเบาบางจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าออกมาจากจวนหลายชั่วยามแล้ว...สมควรจะกลับได้แล้ว”
หวังหรูเยว่หน้างอพูดขึ้น “ท่านแม่...ไม่ทันไรท่านก็เอ่ยปากไล่ข้าแล้วหรือ”
สวีเพ่ยปัดปอยผมหน้าบุตรสาวเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าพึ่งตกแต่งเข้าไป...จะต้องระวังการวางตัวให้มาก”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ....เอาไว้ข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่นะเจ้าค่ะ” ขณะนั้นม่านกั้นห้องก็ถูกเลิกขึ้นมา บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินเจ้าคะ...คุณหนูเจ็ดมาขอคารวะเจ้าค่ะ”
สวีเพ่ยขมวดคิ้ว หวังหรูเยว่ยิ้มเยาะเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังจะไปเยี่ยมน้องเจ็ดอยู่พอดี เช่นนั้นท่านแม่ข้าจะออกไปคุยกับน้องสักหน่อยนะเจ้าค่ะ”
สวีเพ่ยพยักหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน หวังชิงหว่านเห็นคนที่ออกมาเป็นหวังหรูเยว่ก็รีบยอบกายคารวะทักทาย หวังหรูเยว่พินิจดูสีหน้าของน้องสาว ทั้งที่ซีดไร้สีแต่ไม่ได้ลดความงามของอีกฝ่าย กลับยิ่งขับให้ดูเปราะบางน่าสงสารยิ่งขึ้น ความเกลียดริษยาอีกฝ่ายผุดขึ้นมาผ่านแววตาแวบหนึ่งนางกระพริบตาครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มผิวเผินแล้วพูดขึ้น
“น้องเจ็ด...ได้ยินว่าเจ้าไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือเหตุใดจึงได้ออกจากเรือนมาเล่า”
หวังชิงหว่านรีบตอบ “พี่รอง...ข้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงได้มาคารวะท่านแม่”
หวังหรูเยว่เย้นหยันในใจ พูดขึ้น “เจ้าคงจะมาพูดเรื่องแต่งงาน วางใจเถอะท่านแม่รับปากแล้ว...จะให้เจ้าสมปรารถนา”
หวังชิงหว่านก้มหน้าปิดแววตาตนเอง ทบทวนจากความทรงจำพี่สาวตรงหน้า คนคนนี้ไม่เคยมีความจริงใจต่อนางแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ไม่อาจจะโต้ตอบอีกฝ่ายจึงได้กลั้นใจเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ตอนนี้..ข้าสำนึกผิดแล้ว...ต่อไปจะเชื่อฟังท่านแม่แต่งงานอย่างว่าง่าย”
หวังหรูเยว่เลิกคิ้วขึ้นไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นางยิ้มมุมปากแววตาเย็นชาพูดขึ้น “เจ้าคงยอมรับเรือนเก่า ๆ ของตระกูลเซียวได้แล้วสินะ ข้านึกว่าเจ้ายังอยากจะอยู่ในจวนแม่ทัพเสียอีก แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วช่วงนี้ก็อยู่ที่จวนเก็บช่วงเวลานี้ให้ดี ๆ หลังจากแต่งออกไปแล้วจะกลับมาไม่ได้แล้วนะ”
หวังชิงหว่านข่มอารมณ์เอาไว้ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งแผนยุยงของอีกฝ่าย หลอกให้สาวใช้พานางไปดูเรือนของตระกูลเซียวที่ค่อนข้างทรุดโทรม และหากนำมาเทียบกับจวนแม่ทัพยิ่งเห็นความแตกต่างกัน ส่วนตัวหวังชิงหว่านที่เติบโตในจวนเสนาบดีในฐานะบุตรของอนุ นางก็ไม่เห็นว่าการอยู่ในฐานะนี้จะลำบากอะไร อย่างไรก็อยู่กินก็ยังดีกว่าการเป็นฮูหยินของตระกูลเล็ก ๆ อยู่มาก
แต่การเมียน้อยกับฮูหยินเอก ศักดิ์ศรีมันแตกต่างกันมาก
ทว่าโต้เถียงตอบโต้ไปก็ไร้ประโยชน์ หวังชิงหว่านทำเพียงก้มหน้ายืนนิ่งอยู่เงียบ ๆ หวังหรูเยว่เห็นว่าไม่อาจจะยุแยงอีกฝ่ายได้อีกก็เชิดหน้าเดินออกไป บ่าวที่อยู่หน้าเรือนเห็นหวังหรูเยว่ออกไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“คุณหนูเจ็ด ฮูหยินรู้สึกไม่สบายวันหลังท่านค่อยมาเถอะ”
นี้เป็นการบอกปัด หวังชิงหว่านก้มหน้าครุ่นคิดจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแม่แล้ว”
ในขณะที่หวังชิงหว่านกำลังเดินกลับออกไป นางเห็นบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในเรือนหลักด้วยท่าทีเร่งรีบแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำทีรู้สึกเหนื่อยใจฝีเท้าช้าลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เจอกับเสนาบดีหวังลู่หาน กำลังเดินเข้ามาในเรือนนางรีบเดินไปคุกเข่าหน้าอีกฝ่ายทันที
หวังลู่หานรู้เรื่องที่บุตรสาวกระโดนน้ำแล้ว เขาปรายตามองด้วยสายตาเอือมระอากล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดเจ้าเป็นคนไม่รู้ความเช่นนี้”
หวังชิงหว่านรีบหมอบกายลงเงยหน้าขึ้นมองบิดากล่าวเสียงสะอื้น “ท่านพ่อได้โปรดลงโทษลูกเถิด ... ต่อไปข้าจะเชื่อฟังไม่ดื้อดึงเด็ดขาด วันนี้ข้าตั้งใจมาขอรับโทษจากท่านแม่...ดูเหมือนว่าท่านแม่เองก็โกรธเคืองข้าเสียแล้ว ฮื้อ”
เสียงร้องประสานกับแววตาอ้อนวอน ด้วยหวังชิงหว่านมีใบหน้าคล้ายคลึงกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่หลายส่วนอีกทั้งยังงดงามบอบบางช่างเอาใจ เดิมหวังลู่หานก็ลำเอียงเข้าข้างนางมาโดยตลอด ครั้งเห็นนางร้องไห้กล่าวสำนึกผิดก็ทำให้ใจของหวังลู่หานอ่อนยวบลงทันทีกล่าว
“แล้วเรื่องแต่งงานของเจ้าเล่า”
“ข้าย่อมเชื่อฟังบิดามารดา ที่ผ่านมาล้วนเป็นข้าไม่รู้ความโง่เขลา ท่านพ่อต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ขณะนั้นสวีเพ่ยก็เดินมายืนเคียงข้างกับหวังลู่หานสีหน้าอ่อนล้ากล่าวโพล้งออกมาอย่างกลุ้มใจ “ท่านพี่...เด็กคนนี้ช่างดื้อยิ่งหนัก”
หวังชิงหว่านหันไปคำนับให้สวีเพ่ยแล้วพูด “ท่านแม่...ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว”
สวีเพ่ยเผยสีหน้าจนใจ ทว่าแววตายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากล่าว “ลุกขึ้นเถอะ..พื้นเย็นไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้าพึ่งฟื้นจากไข้ล้มป่วยไปอีกจะลำบาก ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วเรื่องแต่งงานข้าก็จัดการตามเดิม...ไป๋ชิงพาคุณหนูเจ็ดกลับเรือนได้แล้ว”
ไป๋ชิงเดินเข้ามาประครองหวังชิงหว่านให้ลุกขึ้น นางย่อกายคารวะทั้งสองคนก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไป
หวังลู่หานมองตามหลังบุตรสาวด้วยสายตาอ่อนใจแล้วหันมากุมมือของสวีเพ่ยขึ้นมากล่าว “ขอบใจฮูหยินมาก...หลายวันที่ข้าไม่อยู่จวนลำบากเจ้าแล้ว”
สวีเพ่ยกล่าวตอบ “ย่อมเป็นหน้าที่ของข้าแต่ข้าจัดการไม่ดีนัก ท่านพี่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยกลับต้องมาเจอเรื่องราวให้ต้องกังวลใจอีก”
หวังลู่หานมองฮูหยินด้วยสีหน้าอ่อนโยนกล่าว
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น...เข้าเรือนกันเถอะ”
หวังชิงหว่านหันมองกลับมองเห็นทั้งสองคนเคียงคู่กันก็ลอบถอนหายใจ การแต่งงานเช่นนี้นางเองก็ใช่ว่าจะชื่นชอบ แต่หากอยากจะออกไปเริ่มต้นชีวิตแบบไร้ข้อกังวลก็มีเพียงวิธีการนี้
นางเป็นสายลับทุกในสืบข้อมูลบางครั้งก็ไม่มีแผนการให้เลือกมากนัก หนทางนี้นางก็ว่าสะดวกง่ายและปลอดภัย แต่งออกไปแล้วนางก็เป็นคนของตระกูลเซียว ตระกูลเล็ก ๆ ที่ไร้พิษภัยหากอยู่แล้วไม่สบายใจ ก็หาวิธีให้ได้ใบหย่า สตรีที่ถูกหย่าก็เหมือนมียันต์คุ้มกาย ผู้ใดก็ไม่อยากเข้าใกล้ ตอนนั้นนางจะได้โบยบินแบบที่ตนเองต้องการแบบไม่ผิดหลักกฏหมายของแคว้นด้วย
ก็แค่แต่งงาน น่าสนใจดี
นางเองก็ไม่เคยแต่งงานมาก่อน
แม้หวังชิงหว่านจะเป็นที่เอ็นดูของบิดาทว่ากลับไร้อิสระอย่างสิ้นเชิง ตอนเช้าต้องไปคารวะฮูหยินที่เรือนใหญ่ ตกบ่ายนั่งปักผ้าอยู่ภายในเรือน ร่างกายของนางอ่อนแอแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว อยู่ในจวนใหญ่นางไม่รู้กำลังป้องกันของที่นี่เป็นอย่างไร จึงยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม นางทั้งเสแสร้งโง่เขลา เสแสร้างจำใจ เสแสร้งเชื่อฟัง อึดอัดเป็นที่สุด นางจึงเฝ้ารองานมงคลด้วยใจจดจ่อพร้อมกับบำรุงร่างกายที่บอบบางนี้ไปด้วยฉึก!!! ใบมีดถูกเหวี่ยงปักบนต้นไม้ หวังชิงหว่านยิ้มมุมปาก พลังแขนเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างแล้วและในที่สุด!! ก็มาวันแต่งงานความอดทนนี้ได้สิ้นสุดเสียที นางเป็นเพียงบุตรอนุ งานแต่งจึงไม่ได้มีพิธีการมากนักทันทีที่นางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวก็นับว่านางเป็นของตระกูลเซียวแล้ว เสียงประทัดดังขึ้นพร้อมเสียงคนตะโกน “เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว” สักพักก็มีคนมาเตะเกี้ยวหลังจากนั้นม่านเกี้ยวก็ปัดออก มือของบุรุษผู้หนึ่งยื่นเข้ามาประครองนางลงจากเกี้ยว หลังพิธีคำนับเสร็จพวกนางก็ถูกพาเข้าไปในห้องหอ ผ้าคลุ่มศีรษะของนางถูกเจ้าบ่าวดึงออกเบื้องหน้าของนางจึงสว่างวาบขึ้นมา มาตอนนี้หวังชิงหว่านพึ่งได
ตะวันทอแสงอ่อนเข้าผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนหวังชิงหว่านรู้สึกตัว นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ร่างกายเหมือนสูบเรี่ยวแรง เห็นเซียวอี้หยางเปลือยกายนอนอยู่ด้านข้าง เหม่อมองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอือมมือไปสะกิดอีกฝ่าย“ท่านพี่” ด้วยเนื้อเสียงของหญิงสาว เสียงที่เปล่งออกมาดูออดอ้อนด้วยความคำหวานทำให้เซียวอี้หยางได้สติลืมตาขึ้นมาทันที เห็นหวังชิงหว่านนอนเปลือยกายอยู่ข้าง ๆ ก็มองด้วยหลงใหล มือยื่นออกไปตั้งใจลูบไล้กายหญิงสาวอย่างห้ามไม่อยู่ หวังชิงหว่านเบี่ยงกายหลบแล้วพูดขึ้น“ท่านพี่ ตอนนี้ก็สายมากแล้วพวกเราต้องไปยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนะเจ้าคะ” เซียวอี้หยางพลันระลึกขึ้นได้ รีบเก็บงำความปรารถนาพูดขึ้น “น้องหญิง...ข้าจะเตรียมน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตานะ รอสักครู่” พอลุกออกจากเตียงเขาก็มองเห็นเสื้อผ้าถอดทิ้งอยู่ข้างเตียงก็รีบก้มเก็บจากนั้นก็เดินออกไป หวังชิงหว่านมองตามสามีพลางอมยิ้ม เดิมควรเป็นภรรยาปรนนิบัติสามี ในเมื่อสามีนางไม่ถือ นางก็ไม่ถือ เซียวอี้หยางกลายร่างเป็นบุรุษสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม แต่ว่าความป่าดิบเถือนของตลอดทั้งคืนของอีกฝ่าย ทำให้หวังชิงหว่านสรุ
เส้นทางขึ้นเขาย่อมไม่ใช่เส้นทางที่เดินได้อย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางเดินนำหน้าโดยมีหวังชิงหว่านเดินเคียงข้างไป ส่วนเด็กทั้งสองเดินรั้งท้าย พวกเขามองดูฝีเท้าจังหวะก้าวเดินของพี่สะใภ้ต่างก็ส่งสายตาคำถาม ลี่อินเอนตัวกระซิบ “พี่สะใภ้ดูจะเหมือนไม่ใช่คนขึ้นเขาครั้งแรก” ลู่อินพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ดูจะคล่องแคล่วยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก” การเดินเขาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังชิงหว่าน แต่ด้วยร่างกายอันบอบบางตอนนี้ทำให้นางเริ่มปวดเมื่อย แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง เซียวอี้หยางหันมาเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็พูดขึ้น “อดทนอีกนิด...ป่าข้างหน้าก็จะเป็นที่ตัดฟืนแล้ว” สีหน้าของเด็กสาวแดงกร่ำ หันยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบอกว่านางกำลังอดทนอย่างหนัก เด็กทั้งสองมองส่งสายตา พลางคิดว่าพวกเขาคงคิดมากเกินไป เห็นหวังชิงหว่านพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทำให้เซียวอี้หยางรู้สึกชื่นชอบฮูหยินตัวเองขึ้นมากว่าเดิมหลายส่วน เดินมาไม่นานก็ถึงจุดตัดไม้ เซียวอี้หยางวางตระกร้าด้านหลังลงจากนั้นก็จัดแจงหาที่นั่งพักสำหรับวันนี้
“นะ...นางแต่งงานแล้ว..หรือว่า” เกาเวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก จางเคอหันมามองสหายขมวดคิ้วเล็กน้อยที่สหายไม่รู้เรื่องราว “นางคือคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีหวัง”เกาเวินเบิกตากว้างอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ย “นับว่านางงามสมควรรำลือ... มิน่าคุณชายรองกัวฉู่เหอจึงได้หลงใหล แต่เพราะนางเป็นบุตรสาวอนุจึงยังไม่ตบแต่ง” จางเคอมองไปยังหญิงสาวแล้วพูดต่อ“ข้าก็ไม่คาดคิดว่า สตรีเช่นนางจะยินยอมแต่งให้บุตรชายตระกูลชาวนา...” แผนการนี้กลับใช้ได้ผลเกาเวินมองตามเห็นหวังชิงหว่านยกหอกขึ้น ด้านปลายแหลมมีปลาตัวใหญ่ดิ้นอยู่ เขาคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ย “แต่ดูนางจะปรับตัวได้ดี...รูปร่างอรชนบอบบางเช่นนั้น กลับจวงแทงไม่พลาดสักครั้ง” “นั่นสิ!! ข้ากลับรู้สึกว่าไม่รู้จักคุณหนูเจ็ดผู้นี้”เกาเวินหัวเราะฝืด “ทุกคนล้วนดิ้นรน ไม่แน่ว่าอยู่ตระกูลจวนนางอาจจะลำบากกว่านี้” ในขณะนั้นพวกเขาก็เห็นกลุ่มคนทหารม้ากำลังมาทางนี้ จึงหยุดวาจาแล้วก็กระโดดเข้าไปขวาง หวังชิงหว่านรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองหายไปแล้ว จึงชำเลืองมองเห็นเพียงปลายอาภรณ์สีดำ นางดึงสายตากลับลอบถอนหายใจพลางคิด “คนที่นี่คงมีกำลังภายในที่สามารถเหาะเห
ในเรือนสกุลเซียวมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือน ส่วนบิดาและมารดายังไม่กลับจากทำนา ทั้งลี่อิน ลู่อันและเซียวอี้หยางก็มีหน้าที่ของตนเอง เหลือเพียงหวังชิงหว่านที่นั่งพักเอื่อยเฉื่อยอยู่ในที่นั่งหน้าเรือน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางคิดในใจ “สวรรค์ตอนนี้ข้าเริ่มจับปลาขายแล้วนะ...จากนี้ก็คงจะเป็นปลูกผัก ทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ... นับว่าเป็นชีวิตเรียบง่ายที่ตามข้าร้องขอ...เฮ้อ! เอาเถอะถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง...ที่ไม่ขอเงินด้วย”นางนึกบางอย่างได้กลับเข้าไปในเรือน ดึงหีบสินเดิมที่หวังฮูหยินกล่าวว่าจัดเตรียมให้ ความจริงแล้วทั้งหมดล้วนเป็นของใช้ส่วนตัวของนางที่บิดามอบให้ก่อนหน้า นางเปิดหีบหลายหีบออกมา “ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่นำมาใส่ไม่ได้ทั้งนั้น....ของพวกนี้เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินจะดีกว่า” นางในฐานะฮูหยินขุนนางบางส่วนก็ควรต้องเก็บไว้ จึงจัดแจงแยกของอยู่ครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงเด็กสาว “พี่สะใภ้ พี่สะใภ้” เสียงลี่อินตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือน หวังชิงหว่านจึงเอ่ยตอบ “ลี่อินหรือ เข้ามาข้างในสิ” ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นปรากฏเด็กสาวใบหน้ายิ้มแย้ม นางปร
ลี่อินลากรถลากตามหลังหวังชิงหว่านที่คล้ายกำลังมองหาบางอย่าง นางจึงเอ่ยถาม “พวกเราจะไปไหนต่อหรือเปล่าเจ้าคะ” “ข้าจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไปดูร้านผ้าตรงหน้าเถอะ” เอ่ยเสร็จนางก็เดินนำหน้าไปร้านแพรพรรณ หลงจู้เห็นคนเดินเข้ามาก็รีบออกมาต้อนรับ แต่ก็ต้องชะงักในความงามของหวังชิงหว่านอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยเป็นร้านผ้าเล็ก ๆ จึงไม่เคยได้ต้อนรับลูกค้าที่เฉิดฉายเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มรีบดึงสติเอ่ยถามด้วยความขัดเขิน “ท่านต้องการผ้าไปตัดหรือเป็นชุดเลยขอรับ” หวังชิงหว่านยิ้มตอบพลางเอ่ย “ข้าอยากได้ชุดเรียบง่ายสักสามสี่ชุดแล้วก็ผ้าสำหรับตัดด้วย” “ถ้าอย่างนั้นท่านเลือกผ้าตรงนี้รอก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเลือกชุดที่เหมาะสมกับท่านออกมาให้เลือก” หวังชิงหว่านหันไปลี่อินแล้วพูดขึ้น“เจ้าเย็บเสื้อผ้าได้หรือไม่” ลี่อินพยักหน้าตอบ “แม้ฝีมือข้าจะไม่ละเอียดแต่ก็นับว่าใช้การได้เจ้าค่ะ” “งั้นมาเลือกผ้าด้วยกันสิ...ถ้ายังไงก็เลือกไปเผื่อคนอื่น ๆ ด้วย เลือกไปเยอะๆ ถือว่าเป็นค่าจ้างเจ้าตัดให้ข้าด้วย” ลี่อินกะพริบตามองพี
คนในสกุลเซียวจะรีบทานข้าวเย็นและเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อจะได้ตื่นเช้าไปทำนาแตกต่างจากเซียวอี้หยางที่บางวันจะมีสังสรรค์ข้างนอก บางคืนก็จะอ่านหนังสือจนดึก พวกเขาเลยแยกสำรับมาที่เรือนเซียวอี้หยางต่างหากและเซียวฮูหยินก็ไม่เคยจะลืมแยกอาหารดีๆ ไว้สำหรับลูกชายเป็นพิเศษ เรือนหลักสกุลเซียว ในมื้อเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นน่ายินดี แต่สีหน้านายท่านเซียวก็ยังมีความลังเล เขาขมวดคิ้วไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่บุตรชายและบุตรสาวกล่าว “พวกเจ้าแน่ใจนะ ว่านางเป็นคนจับปลาด้วยตัวเอง” ลี่อินเคี้ยวอาหารพลางพยักหน้ามองบิดาด้วยสายตาจริงจัง ลู่อันก็ยืนยันกล่าว “ข้ากับลี่อินเห็นด้วยตาตัวเองเลยขอรับ” ขณะนั้นลี่อินก็ล้วงเงินออกมาเอ่ย “นี่ลู่อัน...25 อีแปะพี่สะใภ้แบ่งค่าขายปลาให้พวกเรา” ลู่อันเบิกตาขึ้นเป็นประกายรีบยื่นมือไปรับ “พี่สะใภ้เป็นคนดีจริง ๆ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ นางไม่เหมือนที่คนอื่นกล่าวลือเลยนะขอรับ” เซียวฮูหยินมองเงินในมือบุตรชายแล้วหันไปพูดกับสามี “ฟังจากที่อี้หยางเล่า...นางแตกต่างจากที่เขาเล่าลือจริง ๆ เจ้าค่ะ” ลี
หวังชิงหว่านนึกว่าเซียวอี้หยางจะหมดแรง ใกล้รุ่งเขาได้สติก็เสียบดันเข้ามาจากข้างหลัง ความใหญ่และยังเข้ามากระทันหันทำให้นางกระตุ้นเฮือกร้องอ๊ะขึ้น ความเสียวซ่าแล่นปราดขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มไม่สนใจอันใด เขาเริ่มขยับบดเบียดส่วนนั้นก็เปียกแฉะอย่างเร็วเอวของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นดุดัน ความซาบซ่านทำให้หวังชิงหว่านรู้สึกพอใจกับการสัมผัสของชายหนุ่มทั้งขนาดและแรงกระแทกนับว่าชาตินี้แค่จุดนี้นางก็คุ้มค่าแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่เซียวอี้หยางก็เกร็งร่างกระตุ้นอย่างสุขสม เขาโอบกอดหญิงสาวอย่างอ้อยอิ่งแล้วพูดเสียงหวาน “ข้าจะไปเตรียมน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตา” หวังชิงหว่านไม่ปฏิเสธนางยังกำชับเพิ่ม “นำผ้ามาด้วยข้าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัว เปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว” “ได้ ๆ ข้าจะจัดการเดี่ยวนี้” หวังชิงหว่านมองตามหลังสามี สัณชาตญาณบางอย่างบอกว่าชายหนุ่มมีบางอย่างผิดปกติ นางรู้สึกว่าทั้งการพูดคุยกับชายหนุ่มไหลลื่นเป็นธรรมชาติมากเกินไป ไม่มีการโต้แย้งเหมือนนางกำลังถูกควบคุม หวังชิงหว่านสะบัดหน้าทันที น่าจะเป็นเพราะนางอยู่หน่วยสายลับมานานทำให้หวาดระแวงมากเกินไป เซีย
ตอนที่ 52 ช่วงเวลางดงาม กลิ่นอายฤดูหนาวเริ่มมาเยือนอีกครั้ง ไม่เพียงแต่องุ่นของหวังชิงหว่านออกดอกออกผลเต็มสวน มันฝรั่งก็มีเรื่องราวให้ติดตาม ฮ่องเต้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า อี้โถว หลังจากได้ทดลองปลูกจนมั่นใจแล้วก็นำไปให้เหล่าขุนนางได้ชื่นชมในท้องพระโรง ขันทีหันมันเผาเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ แจกจ่ายให้กับเหล่าขุนนาง ส่วนฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องบนถือมันเผาหัวใหญ่ พอทุกคนได้ครบแล้วพระองค์ก็กัดกินเป็นตัวอย่าง เหล่าขุนนางเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้ามีคำถามรีบทำตามทันที ไม่ถือว่าสิ่งรสชาติเลิศรสแต่ก็นับว่าหอมหวานมันอร่อย แปลกใหม่เหล่าขุนนางต่างส่งสายตาให้กัน ขุนนางชั้นผู้น้อยย่อมไม่กล้าเอ่ยถาม เสนาธิการจึงเอ่ยถามขึ้น “ฝ่าบาทสิ่งนี้คือ...” ฮ่องเต้ตรัสทันที “เราให้ชื่อมันว่า อี้โถว เราได้ทดลองปลูกแล้วให้ผลผลิตมากกว่าข้าวถึงห้าเท่า” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “พระองค์หมายความว่ามันสามารถกินแทนข้าวได้หรือพะยะค่ะ” ฮ่องเต้พยักหน้ากล่าว “ใช่...หากเราปลูกสิ่งนี้คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาอาหารขาดแคลนได้ไม่น้อย...” แววตาเหล
ตอนที่ 51 สวรรค์ประทานพรท้องฟ้าแสงดาวระยิบระยับแสงจันทร์สาดส่อง สายลมราตรีพัดผ่านผ้าม่านปลิวไสว ในช่วงกระพริบตามีเงาดำสายหนึ่งเคลื่อนไหว มือของหลิวซูชะงักเล็กน้อยจากนั้นก็วางผ้าปักลงแล้วเอ่ยกับสาวใช้“พวกเจ้าไปพักเถอะ...ข้าจะเข้านอนแล้ว” สาวใช้ได้ยินเช่นนั้นก็พากันถอยออกไป แต่ไหนแต่ไรมาหลิวซูก็ไม่ให้ใครมาเฝ้าหน้าห้อง หลังจากที่พวกนางออกไปห้องก็เงียบสงัดขึ้นทันที หลิวซูลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“เหตุใดถึงได้มาเยือนเวลาดึกเช่นนี้...” สักพักก็ปรากฏสตรีผู้หนึ่งเดินออกมาจากฉากกั้น นางเดินเข้ามาหาหลิวซูแล้วพูดขึ้น“ข้ามาเยือนท่านแม่กระทัน...เสียมารยาทแล้ว”หลิวซูยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ยกจอกชารินแล้วยื่นออกไปเอ่ย “ในเมื่อมาแล้วก็มาดื่มชาเป็นเพื่อนแม่สักจอก...ชาหลงชิงนี้แม่พึ่งได้มาใหม่”หวังชิงหว่านเดินไปนั่งเบื้องหน้ามารดา ยกจอกชาขึ้นจิบพลางชำเลืองมองใบหน้าอีกฝ่าย“เจ้ามีเรื่องจะถามแม่หรือ”หวังชิงหว่านสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ย “ข้ามีเรื่องจะขอความกระจ่างใจจากท่านแม่ไม่น้อย” หลิวซูวางจอกชาลงแล้วพูด “เดิมทีแม่ก็ไม่คิดจะปิดปังเจ้า ...เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา” “ท
ตอนที่ 50 ชีวิตเรียบง่าย เซียวอี้หยางเดินเข้ามาในโรงเรือนองุ่น ใช้สายตาสำรวจครู่หนึ่งเมื่อมองเห็นร่างอรชนที่กำลังตัดแต่งกิ่งองุ่นอยู่ ก็เดินตรงเข้าไปหา กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “แสงแดดยังเจิดจ้า...น้องหญิงไม่กลัวผิวแห้งกร้านหรือ” หวังชิงหว่านตัดกิ่งองุ่นแล้ววางลงตะกร้าเอ่ย “เหตุใดท่านพี่จึงได้กลับเรือนเวลานี้เจ้าคะ” เซียวอี้หยางถอนหายใจแล้วกล่าว “น้องหญิงคงลืมไปแล้ว ข้าต้องไปตรวจภาษีที่นอกเมืองพรุ่งนี้...จึงต้องกลับมาเตรียมตัว” ดวงตาของหวังชิงหว่านเบิกกว้างขึ้น “ข้าลืมไปเสียสนิท...อ่า..จริงสิ! ข้าจะต้องไปจัดเตรียมสัมภาระให้ท่านพี่” ชายหนุ่มยิ้มคว้าแขนอีกฝ่ายเอ่ย “ไม่ต้อง...ข้าให้ป้าเหมยจัดเตรียมให้แล้ว” หวังชิงหว่านยิ้มพยักหน้า “ป้าเหมยหรือ...เช่นนั้นข้าก็วางใจ” จากนั้นนางก็หันกลับไปตัดแต่งกิ่งองุ่นต่อ เซียวอี้หยางส่งสายตาให้อิงฮว่าที่กำลังช่วยเก็บกิ่งไม้ เด็กสาวเห็นเช่นนั้นย่อคารวะและเดินหลบออกมา หวังชิงหว่านเอ่ยถาม “ท่านพี่มีเรื่องสำคัญหรือ” “อืม...มันฝรั่งของเจ้าตอ
ตอนที่ 49 แยกย้ายกันไปเติบโต เซียวอี้หยางตื่นแต่งกายเตรียมไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดเช่นเคย ชายหนุ่มจัดแต่งดึงอาภรณ์ให้เรียบร้อยรอบหนึ่งก่อนจะเดินไปหอมแก้มหวังชิงหว่านที่ยังนอนอยู่บนเตียงด้วยความรักใคร่ “อืม” หญิงสาวพึมพำเบาๆ รับทราบว่าชายหนุ่มกำลังจะไปทำงานแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นดึงผ้าห่มปิดขาให้หญิงสาวก่อนจะเดินออกจากห้องมาแล้วตรงไปยังโรงครัว เมื่อเดินมาถึงก็เห็นมารดากำลังจัดแจงตั้งโต๊ะอาหารรอเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงเอ่ยทักขึ้น “ท่านแม่” เซียวฮูหยินได้ยินเสียงบุตรชายก็เงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อี้หยางมาแล้วหรือ...รีบมาทานโจ๊กต้มกระดูกหมู กำลังร้อน ๆ” เซียวอี้หยางรีบก้าวเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้น ขณะตักโจ๊กเข้าปากก็ปรายตามองดูมารดา ยังไม่ทันเอ่ยปากเซียวฮูหยินก็เอ่ยขึ้น “เจ้ากำลังจะห้ามแม่...ไม่ให้ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าใช่หรือไม่” ชายหนุ่มก้มหน้าลงเอ่ย “ลูกมิกล้า เพียงแต่ตอนนี้ในเรือนก็มีบ่าวไพร่ไม่น้อย...ท่านแม่มิจำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อย” เซียวฮูหยินถอนหายใจแล้วกล่าว “ทำงานมาทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้น
ตอนที่ 48 ไม่เอาได้หรือไม่ หวังหรูเยว่เปิดหนังสือภาพสรุปการปลูกองุ่นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น หวังชิงหว่านส่งมาให้นางเมื่อเช้านี้พร้อมกับเทียบเชิญให้ไปชมต้นองุ่นที่กำลังออกช่อ แม้ใบหน้าของหวังหรูเยว่จะเรียบเฉยทว่ามือกลับสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ สาวใช้ลอบมองแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “สะใภ้รองจะให้บ่าว...แจ้งกลับพวกเขาอย่างไรดีเจ้าคะ” หวังหรูเยว่สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบนิ่ง “ให้คนไปแจ้งน้องเจ็ดว่าข้าจะไปเยือนสวนองุ่นของนางในวันพรุ่งนี้เช้า” “เจ้าค่ะ...สะใภ้รอง” หวังหรูเยว่เหม่อมองอออกไปนอกหน้าต่าง ทบทวนเรื่องราวอยู่อย่างเงียบ ๆ ตกเย็นเมื่อสามีกลับมานางยื่นหนังสือภาพเล่มนั้นออกไป แล้วมองดูใบหน้าสามีที่ตื่นตกตะลึงกับเนื้อหาข้างในด้วยความรู้สึกหลากหลาย คุณชายรองอันเปิดหนังสืออ่านด้วยความรู้สึกลิงโล้ดแม้ว่าตระกูลอันจะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ทว่าความมั่งคั่งล้วนมาจากการขายองุ่น มันทำสร้างรายได้หลายหมื่นตำลึงต่อปี หากครั้งนี้สามารถเพิ่มรายได้ขึ้นมามากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลอาจจะเป
ตอนที่ 47 มีบางอย่างแฝง เรื่องของกัวฉู่เหอกับซ่งหยวนกลายเป็นเรื่องขบขันพูดคุยสนุกปากของคนในเมืองหลวง ทั้งตระกูลกัว ตระกูลซ่งต่างปิดประตูจวนเงียบไม่ออกมาแก้ต่างหรือให้ข้อมูลอะไร แต่กระนั้นก็ยังมีกระแสข่าวเล็ดรอดออกมา ว่ากัวฉู่เหอถูกส่งไปอยู่ชายแดนให้ท่านแม่ทัพกัวอบรม ส่วนซ่งหยวนก็ถูกส่งไปเลี้ยงสัตว์ที่ชายแดนใต้ทั้งคู่คาดว่าอีกหลายปีถึงจะกลับเมืองหลวง หวังชิงหว่านผงกศีรษะฟังเรื่องราวจากเด็กๆ ด้วยสีหน้าตื่นเต้นคล้ายกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง วันเวลาผ่านไป องุ่นเริ่มแทงช่อดอกออกมา “นี่คือดอกองุ่นหรือขอรับพี่สะใภ้” ลู่อันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ใช่แล้ว...อีกสามสี่เดือนพวกเราคงจะได้ทานองุ่นกันแล้ว” “พวกเจ้าเห็นแล้วก็ขยับออกไปให้ข้าดูด้วย” เด็ก ๆที่มารดน้ำต่างเบียดกันเข้ามาดู หวังชิงหว่านหัวเราะเบา ๆ กล่าว “ค่อย ๆ ก็ได้” จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับลี่อิน “จำได้หรือไม่...ว่าข้าทำช่อดอกองุ่นอย่างไร”ลี่อินยิ้มพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ...พี่สะใภ้จะให้ข้าเลือกทำช่อต้นอื่น ๆ เลยหรือเปล่าเจ้าคะ”
ตอนที่ 46 คิดไม่ถึง เซียวอี้หยางจูงม้าโดยมีหวังชิงหว่านเดินอยู่เคียงข้าง หญิงสาวเอ่ยถาม “เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรคะ” ชายหนุ่มอมยิ้มชำเลืองมอง “นึกว่าน้องหญิงจะยังอยากจะเดาเรื่องราวต่อ” หวังชิงหว่านส่ายหน้า “ท่านพี่เล่ามาเถอะ...แผนซ้อนที่ท่านวางไว้มีอะไรบ้างกันแน่”เซียวอี้หยางมองไปข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “...คุณหนูสามเมิ่งที่ได้รับข้อความหนึ่งจากคนแปลกหน้า .... ช่วงเวลานี้...คงจะอยู่หน้าเรือนลับเรือนนั้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทางการแล้ว” หวังชิงหว่านยิ้มกล่าว “ข้อความนั้นคงเป็นพวกท่านที่จัดการ...ทว่ามือปราบของทางการที่หาเรือนลับเจอได้อย่างรวดเร็ว...คงเป็นคนของกัวฉู่เหอที่ปูทางเอาไว้ให้ หวังให้พาท่านพี่..ไปเจอข้ากับเขาอยู่ตามลำพังกระมัง” เซียวอี้หยางพยักหน้ากล่าว “แม้จะคนจะผิดพลาด แต่เรื่องสนุกนับว่ายังมีให้คนชมอยู่” หวังชิงหว่างยิ้มนึกสนุก “พวกเราไปดูกันดีหรือไม่” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ได้...”เรือนลับ รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ห่างออกไป คุณหนูสามเมิ่งเปิดผ้าม่านดูมีคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่ง นา
ตอนที่ 45 ผู้ไม่บริสุทธิ์ หวังชิงหว่านหยิบเนื้อหมูตุ๋นเข้าปาก ความนุ่มอร่อยกลิ่นหอมอบอวลทำให้นางแทบลืมหายใจ “อืม...อร่อยแล้ว..ในที่สุดแม่ครัวคนใหม่ของเราก็ทำอาหารได้อร่อยแล้ว” เซียวอี้หยางยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วพูด “เจ้าคงสบายใจเสียที” หวังชิงหว่านพยักหน้ากล่าว “แน่สิ...หากให้ท่านแม่เข้าครัวทำอาหารให้ทานทุกมื้อ.. ถึงแม้ท่านจะเต็มใจข้าก็รู้สึกอกตัญญูอยู่ดี” เซียวอี้หยางจับตะเกียบหยิบไก่ทอดสมุนไพรเอ่ย “แต่เจ้าก็รู้...ตอนนี้ท่านแม่ก็มีความสุขกับการทำอาหารมาก” “ถึงกระนั้นพอมีลูกมือ...ก็นับว่าดีกว่าอยู่ดี” เซียวอี้หยางพยักหน้าเห็นด้วย ชายหนุ่มเคี้ยวอาหารเสร็จแล้วก็พูดต่อ “…กัวฉู่เหอจะลงมือแล้วนะ” หวังชิงหว่านหรี่ตามองอีกฝ่ายแล้วพูด “นี่เป็นข่าวจากสายลับข้างกายพวกเราหรือ” เซียวอี้หยางส่ายหน้า “มิใช่...การใช้ข่าวสายลับอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้ ครั้งนี้เป็นการได้มาด้วยวิธีธรรมดาเท่านั้น” หวังชิงหว่านพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถาม “ท่านเห็นว่าอย่างไร” “ช่วงนี้...คงจะต้องรบกวนน้อง
ตอนที่ 44 รอเวลาบรรยากาศยามราตรีสงบ ดวงดาวเปล่งประกายจัดตาใต้รัศมีแสงจันทร์ เซียวอี้หยางพรมจูบหวังชิงหว่านด้วยความรักใคร่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ข้าอยากจะยกเลิกภารกิจคืนนี้เสียจริง”หวังชิงหว่านทุบอกชายหนุ่มเบา ๆ กล่าว “ท่านเก็บอาการลงเสีย...โน้นมีคนมาทางนี้แล้ว” เซียวอี้หยางมองตาม จากนั้นก็ดันร่างหญิงสาวกระโจนไปหากลุ่มคนดังกล่าว จางเคอกำลังจะชักกระบี่เห็นว่าเซียวอี้หยางก็หยุดแล้วเอ่ยขึ้น “ของที่พวกเจ้าต้องการมาแล้ว...เข้าไปข้างในกันเถอะ”หวังชิงหว่านเดินเข้าไปดูถังน้ำที่นางสั่งให้พวกเขาทำขึ้นมาด้วยความสนใจ เกาเวินเข้ามาอธิบาย“นี่เป็นถังน้ำสองชั้นแบบที่ท่านต้องการ” แล้วชายหนุ่มก็เปิดให้ดูข้างใน หวังชิงหว่านกวาดตาดูรอบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม“มันเก็บน้ำได้ใช่หรือไม่” “ได้...สามารถใส่น้ำในถังด้านนอกนี้ได้เลย”หญิงสาวพยักหน้าชื่นชม จางเคอหยิบของในหีบออกมาแล้วเอ่ย “นี่คือดินประสิว...แม่นางหวังคงทราบ ว่าสิ่งนี้นอกจากราชสำนักห้ามผู้อื่นครอบครอง”หวังชิงหว่านพยักหน้าตอบ “ข้าเข้าใจ...อี้หยางเทน้ำลงในถังด้านนอกให้ข้า” เทน้ำได้ปริมาณพอเหมาะ หวังชิงหว่านก็เทดินประส