ตะวันทอแสงอ่อนเข้าผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน
หวังชิงหว่านรู้สึกตัว นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ร่างกายเหมือนสูบเรี่ยวแรง เห็นเซียวอี้หยางเปลือยกายนอนอยู่ด้านข้าง เหม่อมองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอือมมือไปสะกิดอีกฝ่าย
“ท่านพี่” ด้วยเนื้อเสียงของหญิงสาว เสียงที่เปล่งออกมาดูออดอ้อนด้วยความคำหวานทำให้เซียวอี้หยางได้สติลืมตาขึ้นมาทันที เห็นหวังชิงหว่านนอนเปลือยกายอยู่ข้าง ๆ ก็มองด้วยหลงใหล มือยื่นออกไปตั้งใจลูบไล้กายหญิงสาวอย่างห้ามไม่อยู่ หวังชิงหว่านเบี่ยงกายหลบแล้วพูดขึ้น
“ท่านพี่ ตอนนี้ก็สายมากแล้วพวกเราต้องไปยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนะเจ้าคะ”
เซียวอี้หยางพลันระลึกขึ้นได้ รีบเก็บงำความปรารถนาพูดขึ้น “น้องหญิง...ข้าจะเตรียมน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตานะ รอสักครู่”
พอลุกออกจากเตียงเขาก็มองเห็นเสื้อผ้าถอดทิ้งอยู่ข้างเตียงก็รีบก้มเก็บจากนั้นก็เดินออกไป
หวังชิงหว่านมองตามสามีพลางอมยิ้ม เดิมควรเป็นภรรยาปรนนิบัติสามี ในเมื่อสามีนางไม่ถือ นางก็ไม่ถือ
เซียวอี้หยางกลายร่างเป็นบุรุษสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม แต่ว่าความป่าดิบเถือนของตลอดทั้งคืนของอีกฝ่าย ทำให้หวังชิงหว่านสรุปได้ว่า ไม่อาจมองคนที่ภายนอกจริงๆ
หลังล้างหน้าล้างตาแต่งกายเรียบร้อย เซียวอี้หยางก็จูงมือหวังชิงหว่านไปยังเรือนใหญ่
แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าเรือนใหญ่ก็ยังเล็กกว่าเรือนเดิมของหวังชิงหว่านเมื่อครั้งอยู่ตระกูลหวังอยู่มากและเรือนอยู่ห่างกันไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น ด้วยระยะห่างเท่านี้... ใบหน้าของหวังชิงหว่านเห่อร้อนขึ้นมา เสียงกิจกรรมเร่าร้อนเมื่อคืน เป็นไปได้ว่าคนที่นี่คงได้ยินกันหมด
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นเด็กสาวกับเด็กชายคู่หนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าเรือน พวกเขาเห็นทั้งสองคนเดินมาก็ตะโกนทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มาแล้วเจ้าคะ”
พูดเสร็จทั้งสองก็หันมาคารวะคนตรงหน้าพลางเอ่ย
“พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้” เซียวอี้หยางเอ่ยแนะนำเด็กทั้งสอง
“นี่น้องชายข้า เซียวลู่อันและน้องสาวข้าเซียวลี่อิน”
หวังชิงหว่านทักทายมารยาทเสร็จเซียวอี้หยางก็พาหวังชิงหว่านเข้าไปในเรือน
พอทั้งสองก้าวเข้าไปในเรือนเสียงที่ดังอยู่ก็พลันเงียบลงจนสงัด หวังชิงหว่านในวันนี้แต่งกายไม่นับว่าหรูหราฉูดฉาด สวมเพียงอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ไม่มีลวดลายปัก..แต่นับว่ายิ่งเรียบง่ายยิ่งขับให้เรือนผมและผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าหวานละมุนสะอาดตา แววตาสดใสริมฝีปากอิ่มรอยยิ้มดูน่าสนิทสนม
พวกเขาต่างจ้องมองมาที่ชิงหว่านอย่างตกตะลึง ภายในใจของแต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง นัยน์ตาวูบไหวไปมาหลากหลายอารมณ์จนหวังชิงหว่านอมยิ้มในใจ คนเหล่านี้นับว่าเป็นคนปกติต่างจากคนในความจำหวังชิงหว่านเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ส่วนเซียวอี้หยางกำลังตกใจกับผู้คนในห้องโถง ชายหนุ่มกวาดตามองรอบหนึ่งจากนั้นก็ส่งสายตาคำถามไปหามารดา
เซียวฮูหยินจึงยิ้มแห้งๆ กล่าวเสียงแผ่วเบา
“วันนี้เป็นวันดี ญาติ ๆ จึงมาแสดงความยินดีอีกครั้ง สกุลเซียวเป็นตระกูลเล็ก ๆ ไม่มีพิธีมากขั้นตอน หวังว่าสะใภ้หวังจะไม่ถือสา”
หวังชิงหว่านปรายตามองดูคนในห้องพลางนึกในใจ คาดว่าพวกเขาจะมาดูเรื่องตลกเสียมากกว่า แต่นางก็โค้งศีรษะแสดงความอ่อนน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองหลานชายที่จูงมือภรรยาเข้ามา จากสีหน้าและท่าทางสนิทสนมของพวกเขาเมื่อคืนเข้าหอคงผ่านไปอย่างเรียบร้อย นางถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อมาแล้ว...หลานสะใภ้ก็ยกน้ำชามาเถอะ”
เซียวลี่อินได้ยินคำสั่งก็ถาดน้ำชาเข้ามา เซียวอี้หยางคอยแนะนำคนในตระกูลให้หวังชิงหว่านด้วยความใส่ใจ เดิมทีผู้อาวุโสจะมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่า บิดามารดาของเซียวอี้หยางเท่านั้น ท่านอาหลายท่านต่างแยกครอบครัวออกไปแล้ว มีเรือนอยู่ในตรอกซอยเดียวกันบ้าง ต่างจากหมู่บ้านบ้าง แต่ทุกคนเหมือนพร้อมใจกันมาเยี่ยมเยือนในวันนี้
“หลานสะใภ้งดงามสมคำล่ำลือจริง ๆ” อาสะใภ้คนหนึ่งพูดขึ้นพลางพินิจมองหวังชิงหว่านด้วยสายตาชื่นชม
หวังชิงหว่านยิ้มกล่าวขอบคุณ พิธียกน้ำชาผ่านไปอย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางกลัวว่าภรรยาตัวน้อยจะไม่พอใจที่ญาติตนเองทำผิดธรรมเนียมเสร็จพิธีก็รีบพานางกลับเรือน พอทั้งสองคนออกไปภายในห้องโถงก็เริ่มซุบซิบอีกครั้ง
“คำล่ำลือที่ว่านางไม่ยินดีแต่งให้หลานอี้หยาง ข้าว่าไม่มีส่วนจริงสักนิด...”
เซียวฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วยกับอาสะใภ้พูดตอบ
“เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของอี้หยางข้าก็สบายใจ...ตอนนั้นได้ยินข่าวว่านางประกาศ ถึงจะตายก็ไม่ยอมเป็นฮูหยินสกุลชาวนาเด็ดขาด ข้าแทบนอนไม่หลับ”
อีกคนกำลังจะเอ่ยเสริมเสียงดุดันหนึ่งดังขึ้น
“พวกเจ้าก็พูดเรื่องนี้ให้น้อยลงเสียบ้าง...ในเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้วก็นับเป็นคนในตระกูลเดียวกัน จะเอ่ยวาจาอะไรก็ให้ระวังให้มาก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านแม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเตือนทุกคนก็ขานรับทันที
เซียวอี้หยางพาหวังชิงหว่านกลับมาถึงเรือนหลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ ปรับเปลี่ยนอาภรณ์เขาก็เอ่ยขึ้น “น้องหญิงพักผ่อนเสีย ข้าจะขึ้นเขาไปตัดฟืนเสียหน่อย”
หวังชิงหว่านขมวดคิ้วมองอย่างประหลาดใจ เชียวอี้หยางกระอักกระอ่วนจะกล่าวแต่ก็เอ่ยออกไป “แม้ว่าข้าจะลาราชการมา 3 วันแต่ตอนนี้ฟนที่บ้านเหลือน้อยแล้ว ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
หวังชิงหว่านเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเกรงว่าจะเข้าใจผิดจึงพูดขึ้น “ท่านพี่...เช่นนั้นก็ให้ข้าไปด้วยเถอะ”
เซียวอี้หยางรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ ๆ การขึ้นเขาไปตัดฟืนไม่ใช่เรื่องง่าย น้องหญิงรอที่เรือนเถอะ”
ใบหน้าหวังชิงหว่านตึงขึ้นมาเอ่ย “ท่านคงเกรงว่าข้าเป็นภาระใช่หรือไม่”
ใบหน้าเซียวอี้หยางเต็มไปด้วยความลำบากใจ ชายหนุ่มกำลังสรรหาถ้อยคำปฏิเสธ แต่พอสบตามุ่งมั่นของหวังชิงหว่านก็ไม่กล้าเอ่ย ได้แต่พยักหน้ายอมรับ
ชิงหว่านยิ้มกว้างแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้น ข้าจะไปปรับเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน” พูดเสร็จนางก็ก้าวเท้าเดินไปหลังฉากกั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางพูดขึ้น
“ต่อไปนี้สิ่งใดที่ต้องทำท่านก็แนะนำข้าด้วย อย่ามองข้าเป็นคนอื่น” เซียวอี้หยางมองเงาหญิงสาวที่หลังฉากกั้นแววตาของเขาประกายอบอุ่นขึ้นมา ตอบ “ได้..ข้าคงต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
หวังชิงหว่านเดินออกมาในชุดของบุรุษสีดำ เซียวอี้หยางจ้องมองด้วยแววตาประหลาดใจ หญิงสาวเลยกล่าว “ข้าว่าชุดของบุรุษน่าจะสะดวกกว่า ท่านคงไม่ถือสากระมัง”
สตรีแต่งกายด้วยชุดของบุรุษไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก เซียวอี้หยางยิ้มตอบ “ข้าแค่แปลกใจที่เจ้าแต่งกายเช่นนี้...ในเมื่อเรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะ ยิ่งสายอากาศจะยิ่งร้อน”
เห็นเซียวอี้หยางเดินเคียงคู่ออกมาพร้อมหวังชิงหว่าน
ลู่อันกับลี่อินที่นั่งรอหันมามองตาด้วยแววตาประหลาดใจ
“พี่สะใภ้จะไปด้วยหรือเจ้าคะ” ลี่อินพลันเอ่ยถาม
“อืม...”
“จะดีหรือขอรับ” ลู่อันเอ่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เห็นชิงหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลี่อินเกรงว่าพี่สะใภ้จะเข้าใจผิดจึงอธิบายเพิ่ม “ยามปกติ ท่านแม่ไม่อนุญาตให้พี่ชายขึ้นไปตัดฟืน หากวันนี้พวกข้ายังให้พี่สะใภ้ไปช่วยอีก พวกข้ากลัวจะโดนตำหนิ”
ชิงหว่านหันไปมองเซียวอี้หยาง ชายหนุ่มจึงอธิบาย
“ท่านแม่เห็นว่าเป็นขุนนางแล้วไม่ควรจะทำงานพวกนี้ หากคนในราชสำนักมาเห็นท่านเกรงว่าข้าจะโดนดูหมิ่นดูแคลน ในเมื่อเป็นขุนนางแล้วก็ควรตั้งใจทำงานราชการหวังความก้าวหน้าในการงาน แต่ข้าเกิดในครอบครัวชาวนา ข้าไม่ชินที่จะทำอย่างนั้น พอท่านแม่เผลอข้าก็แอบมาช่วยน้อง ๆ ตลอด”
หวังชิงหว่านพยักหน้าเข้าใจ นางคงต้องทำความเข้าใจครอบครัวเซียวอีกหลายอย่าง จึงพูดขึ้น
“เป็นอย่างนี้ได้หรือไม่...ครั้งนี้ถ้าผู้อาวุโสตำหนิ ข้าจะเป็นคนออกรับหน้าแทนเอง” ลู่อันมองหน้าลี่อินแล้วตอบเสียงแผ่วเบา
“ถ้าเป็นพี่สะใภ้ ท่านแม่คงไม่ตำหนิ” แต่เกรงว่าจะตกใจ
หวังชิงหว่ายยิ้มกว้างขึ้น
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะไปตัดฝืน รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
อี้หยางเห็นน้องชายและน้องสาวยิ้มพอใจแล้วจึงพูดขึ้น
“ไปกันเถอะ...จะสายแล้ว”
พอเริ่มก้าวออกมาจากบ้าน ชิงหว่านเงยหน้ามองไปยังท้องนาและท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา นางรู้สึกได้รับพลังมีชีวิตรู้สึกผ่อนคลาย สายลมเย็นรวยรินทุกสิ่งล้วนดีงาม แม้จวนตระกูลหวังจะมีสวนบุปผาเลียนแบบธรรมชาติที่งดงามโดดเด่น แต่นั้นไม่ทำให้รู้สึกสุขใจ นางอยู่ในนั้นแทบจะเป็นบ้า
พอได้มาเจอแสงพระอาทิตย์ตัดกับก้อนเมฆบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เห็นท่าทีของคนในสกุลหวังที่มีต่อตนเองคาดว่าพวกเขาน่าจะยำเกรงนางไม่น้อย และยิ่งตระกูลเล็กยิ่งไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมากมาย ตอนนี้นางอยากจะไปไหนทำอะไรก็ไม่มีคนห้ามแล้ว
ยิ่งคิด หวังชิงหว่านก็ยิ่งเบิกบานใจ
ฝีเท้าก้าวเดินก็ดูกระตืนรือร้นอย่างมาก
เส้นทางขึ้นเขาย่อมไม่ใช่เส้นทางที่เดินได้อย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางเดินนำหน้าโดยมีหวังชิงหว่านเดินเคียงข้างไป ส่วนเด็กทั้งสองเดินรั้งท้าย พวกเขามองดูฝีเท้าจังหวะก้าวเดินของพี่สะใภ้ต่างก็ส่งสายตาคำถาม ลี่อินเอนตัวกระซิบ “พี่สะใภ้ดูจะเหมือนไม่ใช่คนขึ้นเขาครั้งแรก” ลู่อินพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ดูจะคล่องแคล่วยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก” การเดินเขาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังชิงหว่าน แต่ด้วยร่างกายอันบอบบางตอนนี้ทำให้นางเริ่มปวดเมื่อย แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง เซียวอี้หยางหันมาเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็พูดขึ้น “อดทนอีกนิด...ป่าข้างหน้าก็จะเป็นที่ตัดฟืนแล้ว” สีหน้าของเด็กสาวแดงกร่ำ หันยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบอกว่านางกำลังอดทนอย่างหนัก เด็กทั้งสองมองส่งสายตา พลางคิดว่าพวกเขาคงคิดมากเกินไป เห็นหวังชิงหว่านพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทำให้เซียวอี้หยางรู้สึกชื่นชอบฮูหยินตัวเองขึ้นมากว่าเดิมหลายส่วน เดินมาไม่นานก็ถึงจุดตัดไม้ เซียวอี้หยางวางตระกร้าด้านหลังลงจากนั้นก็จัดแจงหาที่นั่งพักสำหรับวันนี้
“นะ...นางแต่งงานแล้ว..หรือว่า” เกาเวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก จางเคอหันมามองสหายขมวดคิ้วเล็กน้อยที่สหายไม่รู้เรื่องราว “นางคือคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีหวัง”เกาเวินเบิกตากว้างอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ย “นับว่านางงามสมควรรำลือ... มิน่าคุณชายรองกัวฉู่เหอจึงได้หลงใหล แต่เพราะนางเป็นบุตรสาวอนุจึงยังไม่ตบแต่ง” จางเคอมองไปยังหญิงสาวแล้วพูดต่อ“ข้าก็ไม่คาดคิดว่า สตรีเช่นนางจะยินยอมแต่งให้บุตรชายตระกูลชาวนา...” แผนการนี้กลับใช้ได้ผลเกาเวินมองตามเห็นหวังชิงหว่านยกหอกขึ้น ด้านปลายแหลมมีปลาตัวใหญ่ดิ้นอยู่ เขาคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ย “แต่ดูนางจะปรับตัวได้ดี...รูปร่างอรชนบอบบางเช่นนั้น กลับจวงแทงไม่พลาดสักครั้ง” “นั่นสิ!! ข้ากลับรู้สึกว่าไม่รู้จักคุณหนูเจ็ดผู้นี้”เกาเวินหัวเราะฝืด “ทุกคนล้วนดิ้นรน ไม่แน่ว่าอยู่ตระกูลจวนนางอาจจะลำบากกว่านี้” ในขณะนั้นพวกเขาก็เห็นกลุ่มคนทหารม้ากำลังมาทางนี้ จึงหยุดวาจาแล้วก็กระโดดเข้าไปขวาง หวังชิงหว่านรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองหายไปแล้ว จึงชำเลืองมองเห็นเพียงปลายอาภรณ์สีดำ นางดึงสายตากลับลอบถอนหายใจพลางคิด “คนที่นี่คงมีกำลังภายในที่สามารถเหาะเห
ในเรือนสกุลเซียวมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือน ส่วนบิดาและมารดายังไม่กลับจากทำนา ทั้งลี่อิน ลู่อันและเซียวอี้หยางก็มีหน้าที่ของตนเอง เหลือเพียงหวังชิงหว่านที่นั่งพักเอื่อยเฉื่อยอยู่ในที่นั่งหน้าเรือน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางคิดในใจ “สวรรค์ตอนนี้ข้าเริ่มจับปลาขายแล้วนะ...จากนี้ก็คงจะเป็นปลูกผัก ทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ... นับว่าเป็นชีวิตเรียบง่ายที่ตามข้าร้องขอ...เฮ้อ! เอาเถอะถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง...ที่ไม่ขอเงินด้วย”นางนึกบางอย่างได้กลับเข้าไปในเรือน ดึงหีบสินเดิมที่หวังฮูหยินกล่าวว่าจัดเตรียมให้ ความจริงแล้วทั้งหมดล้วนเป็นของใช้ส่วนตัวของนางที่บิดามอบให้ก่อนหน้า นางเปิดหีบหลายหีบออกมา “ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่นำมาใส่ไม่ได้ทั้งนั้น....ของพวกนี้เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินจะดีกว่า” นางในฐานะฮูหยินขุนนางบางส่วนก็ควรต้องเก็บไว้ จึงจัดแจงแยกของอยู่ครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงเด็กสาว “พี่สะใภ้ พี่สะใภ้” เสียงลี่อินตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือน หวังชิงหว่านจึงเอ่ยตอบ “ลี่อินหรือ เข้ามาข้างในสิ” ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นปรากฏเด็กสาวใบหน้ายิ้มแย้ม นางปร
ลี่อินลากรถลากตามหลังหวังชิงหว่านที่คล้ายกำลังมองหาบางอย่าง นางจึงเอ่ยถาม “พวกเราจะไปไหนต่อหรือเปล่าเจ้าคะ” “ข้าจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไปดูร้านผ้าตรงหน้าเถอะ” เอ่ยเสร็จนางก็เดินนำหน้าไปร้านแพรพรรณ หลงจู้เห็นคนเดินเข้ามาก็รีบออกมาต้อนรับ แต่ก็ต้องชะงักในความงามของหวังชิงหว่านอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยเป็นร้านผ้าเล็ก ๆ จึงไม่เคยได้ต้อนรับลูกค้าที่เฉิดฉายเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มรีบดึงสติเอ่ยถามด้วยความขัดเขิน “ท่านต้องการผ้าไปตัดหรือเป็นชุดเลยขอรับ” หวังชิงหว่านยิ้มตอบพลางเอ่ย “ข้าอยากได้ชุดเรียบง่ายสักสามสี่ชุดแล้วก็ผ้าสำหรับตัดด้วย” “ถ้าอย่างนั้นท่านเลือกผ้าตรงนี้รอก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเลือกชุดที่เหมาะสมกับท่านออกมาให้เลือก” หวังชิงหว่านหันไปลี่อินแล้วพูดขึ้น“เจ้าเย็บเสื้อผ้าได้หรือไม่” ลี่อินพยักหน้าตอบ “แม้ฝีมือข้าจะไม่ละเอียดแต่ก็นับว่าใช้การได้เจ้าค่ะ” “งั้นมาเลือกผ้าด้วยกันสิ...ถ้ายังไงก็เลือกไปเผื่อคนอื่น ๆ ด้วย เลือกไปเยอะๆ ถือว่าเป็นค่าจ้างเจ้าตัดให้ข้าด้วย” ลี่อินกะพริบตามองพี
คนในสกุลเซียวจะรีบทานข้าวเย็นและเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อจะได้ตื่นเช้าไปทำนาแตกต่างจากเซียวอี้หยางที่บางวันจะมีสังสรรค์ข้างนอก บางคืนก็จะอ่านหนังสือจนดึก พวกเขาเลยแยกสำรับมาที่เรือนเซียวอี้หยางต่างหากและเซียวฮูหยินก็ไม่เคยจะลืมแยกอาหารดีๆ ไว้สำหรับลูกชายเป็นพิเศษ เรือนหลักสกุลเซียว ในมื้อเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นน่ายินดี แต่สีหน้านายท่านเซียวก็ยังมีความลังเล เขาขมวดคิ้วไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่บุตรชายและบุตรสาวกล่าว “พวกเจ้าแน่ใจนะ ว่านางเป็นคนจับปลาด้วยตัวเอง” ลี่อินเคี้ยวอาหารพลางพยักหน้ามองบิดาด้วยสายตาจริงจัง ลู่อันก็ยืนยันกล่าว “ข้ากับลี่อินเห็นด้วยตาตัวเองเลยขอรับ” ขณะนั้นลี่อินก็ล้วงเงินออกมาเอ่ย “นี่ลู่อัน...25 อีแปะพี่สะใภ้แบ่งค่าขายปลาให้พวกเรา” ลู่อันเบิกตาขึ้นเป็นประกายรีบยื่นมือไปรับ “พี่สะใภ้เป็นคนดีจริง ๆ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ นางไม่เหมือนที่คนอื่นกล่าวลือเลยนะขอรับ” เซียวฮูหยินมองเงินในมือบุตรชายแล้วหันไปพูดกับสามี “ฟังจากที่อี้หยางเล่า...นางแตกต่างจากที่เขาเล่าลือจริง ๆ เจ้าค่ะ” ลี
ภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ!! เสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่อง เรือเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง ถังชิงหว่านไม่ทันได้ไตร่ตรองหาวิธีเอาตัวรอด แรงกระแทกทำให้ร่างของเธอตกลงไปท้องทะเล แม้เธอจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหนน้ำแต่อาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เธอไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้หลังจากประเมินสถานการณ์ ถังชิงหว่านก็ไม่หาคิดวิธีรักษาชีวิต เธอสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็วทำงานด้านนี้เธอย่อมไม่เคยหวาดกลัวความตาย ตายไม่เสียดาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ใช้เงินเก็บเหล่านั้น เดิมคิดว่าอีกสักสี่ห้าปีจะลาออกไปใช้ชีวิต ท่องเที่ยวใช้เงินอย่างซ้อในบาร์โอสต์ซื้อความสุขโดยไม่เสียดายแต่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสนั้นแล้วก่อนจะสิ้นสติถังชิงหว่านยังตัดพ้อสวรรค์ เธอทำงานด้านความมั่นคงให้คนอื่นได้อยู่อย่างสงบปลอดภัย ทำความดีมากมายขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง หวังว่าชาติหน้าสวรรค์จะชดเชยจุดนี้ให้เธอสักเล็กน้อยจากนั้นความมืดก็จู่โจมเข้ามา ไม่ทันได้เจ็บปวดมากนักถังชิงหว่านก็หมดสติไป ณ จวนเสนาบดีหวัง เรือนเล็ก ๆ แทบจะอยู่ท้ายจวนเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งนอนไร้สติอยู่บนเตียง หมอวัยชราดึง
ช่วงเวลานี้ที่เรือนหลัก สวีเพ่ยเอนกายพูดคุยกับบุตรสาวที่มาเยี่ยมเยือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังหรูเยว่รินชาให้มารดาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อนางใฝ่ต่ำอยากจะเป็นอนุ...ถึงกลับใช้ความตายเข้าแลก ท่านแม่ก็ควรให้นางสมปราถนา” สวีเพ่ยรู้ว่าบุตรสาวเอ่ยถึงผู้ใดก็แค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “แต่งออกไปเป็นอนุ แม้กระทั่งสินเดิมก็ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมแล้วเหตุใดแม่จะไม่ยินดี ทว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่มีรากฐานมาหลายปีหากแม่ยินยอมให้นางแต่งออกเป็นอนุจะถูกผู้อาวุโสตำหนิได้” หวังหรูเยว่หัวเราะร่าขึ้นมา “ท่านแม่ปกครองเรือนด้วยความเมตตา แม้กระทั่งบุตรของอนุก็จัดหาคู่ให้อย่างเหมาะสม แต่ครั้งนี้ก็นับว่าจนใจ...ท่านแม่ไม่มีทางเลือกแล้ว”สวีเพ่ยยิ้มตอบ “พ่อเจ้ากลับมาเย็นนี้ ข้าจะพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นหมายของหวังชิงหว่านที่ได้ตกลงไปก่อนหน้านี้”หวังหรูเยว่กุมมือมารดาขึ้นมา “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าค่ะ ยังเหลืองานแต่งของน้องอีกหลายคนที่ยังต้องให้ท่านแม่ไปจัดการ ยิ่งพี่ใหญ่ก็ยิ่งเห็นความหวังดีของท่านแม่อย่างแน่นอน” สวีเพ่ยตบมือบุตรสาวเบา ๆ เพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลที่ดีให้
แม้หวังชิงหว่านจะเป็นที่เอ็นดูของบิดาทว่ากลับไร้อิสระอย่างสิ้นเชิง ตอนเช้าต้องไปคารวะฮูหยินที่เรือนใหญ่ ตกบ่ายนั่งปักผ้าอยู่ภายในเรือน ร่างกายของนางอ่อนแอแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว อยู่ในจวนใหญ่นางไม่รู้กำลังป้องกันของที่นี่เป็นอย่างไร จึงยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม นางทั้งเสแสร้งโง่เขลา เสแสร้างจำใจ เสแสร้งเชื่อฟัง อึดอัดเป็นที่สุด นางจึงเฝ้ารองานมงคลด้วยใจจดจ่อพร้อมกับบำรุงร่างกายที่บอบบางนี้ไปด้วยฉึก!!! ใบมีดถูกเหวี่ยงปักบนต้นไม้ หวังชิงหว่านยิ้มมุมปาก พลังแขนเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างแล้วและในที่สุด!! ก็มาวันแต่งงานความอดทนนี้ได้สิ้นสุดเสียที นางเป็นเพียงบุตรอนุ งานแต่งจึงไม่ได้มีพิธีการมากนักทันทีที่นางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวก็นับว่านางเป็นของตระกูลเซียวแล้ว เสียงประทัดดังขึ้นพร้อมเสียงคนตะโกน “เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว” สักพักก็มีคนมาเตะเกี้ยวหลังจากนั้นม่านเกี้ยวก็ปัดออก มือของบุรุษผู้หนึ่งยื่นเข้ามาประครองนางลงจากเกี้ยว หลังพิธีคำนับเสร็จพวกนางก็ถูกพาเข้าไปในห้องหอ ผ้าคลุ่มศีรษะของนางถูกเจ้าบ่าวดึงออกเบื้องหน้าของนางจึงสว่างวาบขึ้นมา มาตอนนี้หวังชิงหว่านพึ่งได
คนในสกุลเซียวจะรีบทานข้าวเย็นและเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อจะได้ตื่นเช้าไปทำนาแตกต่างจากเซียวอี้หยางที่บางวันจะมีสังสรรค์ข้างนอก บางคืนก็จะอ่านหนังสือจนดึก พวกเขาเลยแยกสำรับมาที่เรือนเซียวอี้หยางต่างหากและเซียวฮูหยินก็ไม่เคยจะลืมแยกอาหารดีๆ ไว้สำหรับลูกชายเป็นพิเศษ เรือนหลักสกุลเซียว ในมื้อเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นน่ายินดี แต่สีหน้านายท่านเซียวก็ยังมีความลังเล เขาขมวดคิ้วไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่บุตรชายและบุตรสาวกล่าว “พวกเจ้าแน่ใจนะ ว่านางเป็นคนจับปลาด้วยตัวเอง” ลี่อินเคี้ยวอาหารพลางพยักหน้ามองบิดาด้วยสายตาจริงจัง ลู่อันก็ยืนยันกล่าว “ข้ากับลี่อินเห็นด้วยตาตัวเองเลยขอรับ” ขณะนั้นลี่อินก็ล้วงเงินออกมาเอ่ย “นี่ลู่อัน...25 อีแปะพี่สะใภ้แบ่งค่าขายปลาให้พวกเรา” ลู่อันเบิกตาขึ้นเป็นประกายรีบยื่นมือไปรับ “พี่สะใภ้เป็นคนดีจริง ๆ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ นางไม่เหมือนที่คนอื่นกล่าวลือเลยนะขอรับ” เซียวฮูหยินมองเงินในมือบุตรชายแล้วหันไปพูดกับสามี “ฟังจากที่อี้หยางเล่า...นางแตกต่างจากที่เขาเล่าลือจริง ๆ เจ้าค่ะ” ลี
ลี่อินลากรถลากตามหลังหวังชิงหว่านที่คล้ายกำลังมองหาบางอย่าง นางจึงเอ่ยถาม “พวกเราจะไปไหนต่อหรือเปล่าเจ้าคะ” “ข้าจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไปดูร้านผ้าตรงหน้าเถอะ” เอ่ยเสร็จนางก็เดินนำหน้าไปร้านแพรพรรณ หลงจู้เห็นคนเดินเข้ามาก็รีบออกมาต้อนรับ แต่ก็ต้องชะงักในความงามของหวังชิงหว่านอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยเป็นร้านผ้าเล็ก ๆ จึงไม่เคยได้ต้อนรับลูกค้าที่เฉิดฉายเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มรีบดึงสติเอ่ยถามด้วยความขัดเขิน “ท่านต้องการผ้าไปตัดหรือเป็นชุดเลยขอรับ” หวังชิงหว่านยิ้มตอบพลางเอ่ย “ข้าอยากได้ชุดเรียบง่ายสักสามสี่ชุดแล้วก็ผ้าสำหรับตัดด้วย” “ถ้าอย่างนั้นท่านเลือกผ้าตรงนี้รอก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเลือกชุดที่เหมาะสมกับท่านออกมาให้เลือก” หวังชิงหว่านหันไปลี่อินแล้วพูดขึ้น“เจ้าเย็บเสื้อผ้าได้หรือไม่” ลี่อินพยักหน้าตอบ “แม้ฝีมือข้าจะไม่ละเอียดแต่ก็นับว่าใช้การได้เจ้าค่ะ” “งั้นมาเลือกผ้าด้วยกันสิ...ถ้ายังไงก็เลือกไปเผื่อคนอื่น ๆ ด้วย เลือกไปเยอะๆ ถือว่าเป็นค่าจ้างเจ้าตัดให้ข้าด้วย” ลี่อินกะพริบตามองพี
ในเรือนสกุลเซียวมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือน ส่วนบิดาและมารดายังไม่กลับจากทำนา ทั้งลี่อิน ลู่อันและเซียวอี้หยางก็มีหน้าที่ของตนเอง เหลือเพียงหวังชิงหว่านที่นั่งพักเอื่อยเฉื่อยอยู่ในที่นั่งหน้าเรือน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางคิดในใจ “สวรรค์ตอนนี้ข้าเริ่มจับปลาขายแล้วนะ...จากนี้ก็คงจะเป็นปลูกผัก ทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ... นับว่าเป็นชีวิตเรียบง่ายที่ตามข้าร้องขอ...เฮ้อ! เอาเถอะถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง...ที่ไม่ขอเงินด้วย”นางนึกบางอย่างได้กลับเข้าไปในเรือน ดึงหีบสินเดิมที่หวังฮูหยินกล่าวว่าจัดเตรียมให้ ความจริงแล้วทั้งหมดล้วนเป็นของใช้ส่วนตัวของนางที่บิดามอบให้ก่อนหน้า นางเปิดหีบหลายหีบออกมา “ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่นำมาใส่ไม่ได้ทั้งนั้น....ของพวกนี้เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินจะดีกว่า” นางในฐานะฮูหยินขุนนางบางส่วนก็ควรต้องเก็บไว้ จึงจัดแจงแยกของอยู่ครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงเด็กสาว “พี่สะใภ้ พี่สะใภ้” เสียงลี่อินตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือน หวังชิงหว่านจึงเอ่ยตอบ “ลี่อินหรือ เข้ามาข้างในสิ” ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นปรากฏเด็กสาวใบหน้ายิ้มแย้ม นางปร
“นะ...นางแต่งงานแล้ว..หรือว่า” เกาเวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก จางเคอหันมามองสหายขมวดคิ้วเล็กน้อยที่สหายไม่รู้เรื่องราว “นางคือคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีหวัง”เกาเวินเบิกตากว้างอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ย “นับว่านางงามสมควรรำลือ... มิน่าคุณชายรองกัวฉู่เหอจึงได้หลงใหล แต่เพราะนางเป็นบุตรสาวอนุจึงยังไม่ตบแต่ง” จางเคอมองไปยังหญิงสาวแล้วพูดต่อ“ข้าก็ไม่คาดคิดว่า สตรีเช่นนางจะยินยอมแต่งให้บุตรชายตระกูลชาวนา...” แผนการนี้กลับใช้ได้ผลเกาเวินมองตามเห็นหวังชิงหว่านยกหอกขึ้น ด้านปลายแหลมมีปลาตัวใหญ่ดิ้นอยู่ เขาคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ย “แต่ดูนางจะปรับตัวได้ดี...รูปร่างอรชนบอบบางเช่นนั้น กลับจวงแทงไม่พลาดสักครั้ง” “นั่นสิ!! ข้ากลับรู้สึกว่าไม่รู้จักคุณหนูเจ็ดผู้นี้”เกาเวินหัวเราะฝืด “ทุกคนล้วนดิ้นรน ไม่แน่ว่าอยู่ตระกูลจวนนางอาจจะลำบากกว่านี้” ในขณะนั้นพวกเขาก็เห็นกลุ่มคนทหารม้ากำลังมาทางนี้ จึงหยุดวาจาแล้วก็กระโดดเข้าไปขวาง หวังชิงหว่านรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองหายไปแล้ว จึงชำเลืองมองเห็นเพียงปลายอาภรณ์สีดำ นางดึงสายตากลับลอบถอนหายใจพลางคิด “คนที่นี่คงมีกำลังภายในที่สามารถเหาะเห
เส้นทางขึ้นเขาย่อมไม่ใช่เส้นทางที่เดินได้อย่างเรียบง่าย เซียวอี้หยางเดินนำหน้าโดยมีหวังชิงหว่านเดินเคียงข้างไป ส่วนเด็กทั้งสองเดินรั้งท้าย พวกเขามองดูฝีเท้าจังหวะก้าวเดินของพี่สะใภ้ต่างก็ส่งสายตาคำถาม ลี่อินเอนตัวกระซิบ “พี่สะใภ้ดูจะเหมือนไม่ใช่คนขึ้นเขาครั้งแรก” ลู่อินพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ดูจะคล่องแคล่วยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก” การเดินเขาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังชิงหว่าน แต่ด้วยร่างกายอันบอบบางตอนนี้ทำให้นางเริ่มปวดเมื่อย แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรง เซียวอี้หยางหันมาเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายก็พูดขึ้น “อดทนอีกนิด...ป่าข้างหน้าก็จะเป็นที่ตัดฟืนแล้ว” สีหน้าของเด็กสาวแดงกร่ำ หันยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบอกว่านางกำลังอดทนอย่างหนัก เด็กทั้งสองมองส่งสายตา พลางคิดว่าพวกเขาคงคิดมากเกินไป เห็นหวังชิงหว่านพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทำให้เซียวอี้หยางรู้สึกชื่นชอบฮูหยินตัวเองขึ้นมากว่าเดิมหลายส่วน เดินมาไม่นานก็ถึงจุดตัดไม้ เซียวอี้หยางวางตระกร้าด้านหลังลงจากนั้นก็จัดแจงหาที่นั่งพักสำหรับวันนี้
ตะวันทอแสงอ่อนเข้าผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนหวังชิงหว่านรู้สึกตัว นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ร่างกายเหมือนสูบเรี่ยวแรง เห็นเซียวอี้หยางเปลือยกายนอนอยู่ด้านข้าง เหม่อมองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอือมมือไปสะกิดอีกฝ่าย“ท่านพี่” ด้วยเนื้อเสียงของหญิงสาว เสียงที่เปล่งออกมาดูออดอ้อนด้วยความคำหวานทำให้เซียวอี้หยางได้สติลืมตาขึ้นมาทันที เห็นหวังชิงหว่านนอนเปลือยกายอยู่ข้าง ๆ ก็มองด้วยหลงใหล มือยื่นออกไปตั้งใจลูบไล้กายหญิงสาวอย่างห้ามไม่อยู่ หวังชิงหว่านเบี่ยงกายหลบแล้วพูดขึ้น“ท่านพี่ ตอนนี้ก็สายมากแล้วพวกเราต้องไปยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนะเจ้าคะ” เซียวอี้หยางพลันระลึกขึ้นได้ รีบเก็บงำความปรารถนาพูดขึ้น “น้องหญิง...ข้าจะเตรียมน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตานะ รอสักครู่” พอลุกออกจากเตียงเขาก็มองเห็นเสื้อผ้าถอดทิ้งอยู่ข้างเตียงก็รีบก้มเก็บจากนั้นก็เดินออกไป หวังชิงหว่านมองตามสามีพลางอมยิ้ม เดิมควรเป็นภรรยาปรนนิบัติสามี ในเมื่อสามีนางไม่ถือ นางก็ไม่ถือ เซียวอี้หยางกลายร่างเป็นบุรุษสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม แต่ว่าความป่าดิบเถือนของตลอดทั้งคืนของอีกฝ่าย ทำให้หวังชิงหว่านสรุ
แม้หวังชิงหว่านจะเป็นที่เอ็นดูของบิดาทว่ากลับไร้อิสระอย่างสิ้นเชิง ตอนเช้าต้องไปคารวะฮูหยินที่เรือนใหญ่ ตกบ่ายนั่งปักผ้าอยู่ภายในเรือน ร่างกายของนางอ่อนแอแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว อยู่ในจวนใหญ่นางไม่รู้กำลังป้องกันของที่นี่เป็นอย่างไร จึงยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม นางทั้งเสแสร้งโง่เขลา เสแสร้างจำใจ เสแสร้งเชื่อฟัง อึดอัดเป็นที่สุด นางจึงเฝ้ารองานมงคลด้วยใจจดจ่อพร้อมกับบำรุงร่างกายที่บอบบางนี้ไปด้วยฉึก!!! ใบมีดถูกเหวี่ยงปักบนต้นไม้ หวังชิงหว่านยิ้มมุมปาก พลังแขนเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างแล้วและในที่สุด!! ก็มาวันแต่งงานความอดทนนี้ได้สิ้นสุดเสียที นางเป็นเพียงบุตรอนุ งานแต่งจึงไม่ได้มีพิธีการมากนักทันทีที่นางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวก็นับว่านางเป็นของตระกูลเซียวแล้ว เสียงประทัดดังขึ้นพร้อมเสียงคนตะโกน “เกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว” สักพักก็มีคนมาเตะเกี้ยวหลังจากนั้นม่านเกี้ยวก็ปัดออก มือของบุรุษผู้หนึ่งยื่นเข้ามาประครองนางลงจากเกี้ยว หลังพิธีคำนับเสร็จพวกนางก็ถูกพาเข้าไปในห้องหอ ผ้าคลุ่มศีรษะของนางถูกเจ้าบ่าวดึงออกเบื้องหน้าของนางจึงสว่างวาบขึ้นมา มาตอนนี้หวังชิงหว่านพึ่งได
ช่วงเวลานี้ที่เรือนหลัก สวีเพ่ยเอนกายพูดคุยกับบุตรสาวที่มาเยี่ยมเยือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังหรูเยว่รินชาให้มารดาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อนางใฝ่ต่ำอยากจะเป็นอนุ...ถึงกลับใช้ความตายเข้าแลก ท่านแม่ก็ควรให้นางสมปราถนา” สวีเพ่ยรู้ว่าบุตรสาวเอ่ยถึงผู้ใดก็แค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “แต่งออกไปเป็นอนุ แม้กระทั่งสินเดิมก็ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมแล้วเหตุใดแม่จะไม่ยินดี ทว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่มีรากฐานมาหลายปีหากแม่ยินยอมให้นางแต่งออกเป็นอนุจะถูกผู้อาวุโสตำหนิได้” หวังหรูเยว่หัวเราะร่าขึ้นมา “ท่านแม่ปกครองเรือนด้วยความเมตตา แม้กระทั่งบุตรของอนุก็จัดหาคู่ให้อย่างเหมาะสม แต่ครั้งนี้ก็นับว่าจนใจ...ท่านแม่ไม่มีทางเลือกแล้ว”สวีเพ่ยยิ้มตอบ “พ่อเจ้ากลับมาเย็นนี้ ข้าจะพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นหมายของหวังชิงหว่านที่ได้ตกลงไปก่อนหน้านี้”หวังหรูเยว่กุมมือมารดาขึ้นมา “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าค่ะ ยังเหลืองานแต่งของน้องอีกหลายคนที่ยังต้องให้ท่านแม่ไปจัดการ ยิ่งพี่ใหญ่ก็ยิ่งเห็นความหวังดีของท่านแม่อย่างแน่นอน” สวีเพ่ยตบมือบุตรสาวเบา ๆ เพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลที่ดีให้
ภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ!! เสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่อง เรือเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง ถังชิงหว่านไม่ทันได้ไตร่ตรองหาวิธีเอาตัวรอด แรงกระแทกทำให้ร่างของเธอตกลงไปท้องทะเล แม้เธอจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหนน้ำแต่อาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เธอไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้หลังจากประเมินสถานการณ์ ถังชิงหว่านก็ไม่หาคิดวิธีรักษาชีวิต เธอสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็วทำงานด้านนี้เธอย่อมไม่เคยหวาดกลัวความตาย ตายไม่เสียดาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ใช้เงินเก็บเหล่านั้น เดิมคิดว่าอีกสักสี่ห้าปีจะลาออกไปใช้ชีวิต ท่องเที่ยวใช้เงินอย่างซ้อในบาร์โอสต์ซื้อความสุขโดยไม่เสียดายแต่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสนั้นแล้วก่อนจะสิ้นสติถังชิงหว่านยังตัดพ้อสวรรค์ เธอทำงานด้านความมั่นคงให้คนอื่นได้อยู่อย่างสงบปลอดภัย ทำความดีมากมายขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง หวังว่าชาติหน้าสวรรค์จะชดเชยจุดนี้ให้เธอสักเล็กน้อยจากนั้นความมืดก็จู่โจมเข้ามา ไม่ทันได้เจ็บปวดมากนักถังชิงหว่านก็หมดสติไป ณ จวนเสนาบดีหวัง เรือนเล็ก ๆ แทบจะอยู่ท้ายจวนเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งนอนไร้สติอยู่บนเตียง หมอวัยชราดึง