“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด
“ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร”
“ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง
“คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ”
เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก
“คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน
“กระดาษ ...หมึก”
“ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้านก็เบิกกว้าง ปล่อยมือจากแขนผอมบางของเด็กหนุ่มทันที
“เกิดเรื่องใดขึ้น” น้ำเสียงดุดันซ้ำยังมีไอเย็นแผ่กระจายทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้รู้ว่าท่านเจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลไม่ทำร้ายใครส่งเดช แต่กระนั้นท่าทางของเขาก็ทำเอาคนอยู่ใกล้ไม่กล้าเงยหน้าสบตา
ยกเว้น...
หลินอวี้เจินเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีคนช่วยเหลือแล้ว นางจึงถอยออกห่าง แต่ไม่คิดว่าเพียงนางก้าวออกมาได้สองก้าว ชายร่างสูงโปร่งผู้นั้นกลับตวัดตามองมาทางนาง ทำเอานางต้องหยุดชะงักไป
“เจ้า?”
หญิงสาวออกจะแปลกใจกับสายตาของชายเบื้องที่จ้องมองราวกับเคยพบกันมาก่อน ทว่าเพียงกะพริบตา ดวงตาคมคู่นั้นกลับมองนางอย่างเย็นชา เช่นเดียวกับประโยคที่เขาเอ่ย
“ชนคนล้มไม่คิดจะขอโทษหรือไร”
หญิงสาวอ้าปากจะโต้เถียง แต่นึกได้ว่าเมื่อครู่นางยังไม่ได้กล่าวคำขอโทษจริงๆ จึงหุบปากแล้วสบตากับเด็กหนุ่มที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเสียงกังวานใส
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“อืม” เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ
“เจ้าเจ็บที่ใดบ้าง ต้องการไปหาหมอหรือไม่”
นางถามไม่ได้สนใจสายตาดุดันที่จ้องมองนาง สาวเท้าเข้าไปสำรวจร่างกายของเด็กหนุ่ม ส่งยิ้มเอ็นดูประหนึ่งมองเด็กน้อยคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา นอกจากมารดาที่ตายจากไปนานแล้วก็ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน หลินอวี้เจินสำรวจตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายไม่มีบาดแผลใดจึงโล่งอก นางเงยหน้าขึ้นพลันปะทะกับสายตาคมกริบที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของของหญิงสาวจางไป นางปั้นสีหน้าสงบนิ่งขึ้นมาแทนที่แล้วย่อตัวคารวะลงอย่างอ่อนช้อย นางไม่อยากช้อนตามองอีกฝ่าย แต่เพราะบุรุษที่ยืนตรงหน้ารูปร่างสูงมากกว่านางนัก เสื้อผ้าอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยิ่งขับเน้นให้เขาดูงามสง่ามากยิ่งขึ้น นางคาดเดาว่าเขาคงเป็นบุรุษจากตระกูลขุนนางใหญ่
“ข้าน้อยขออภัย ไม่ทันระวังจึงทำให้คุณชายท่านนี้หกล้ม”
แม้น้ำเสียงและการแสดงออกอ่อนน้อมแต่แววตาของนางนั้นกลับตรงข้ามเด่นชัด แต่เขาซึ่งเป็นบุรุษจะหาเรื่องโกรธเคืองรังแกผู้อื่นด้วยเรื่องแค่นี้คงกระไรอยู่ ขยับปากยังไม่ทันเอ่ยสำครึ่งคำ มือผอมแกร็นของน้องชายต่างมารดาก็ยื่นมาจับปลายนิ้วแล้วกระตุกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องละวางความขุ่นข้องในใจลง
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัว” นางถอยหลังก้าวออกมาช้าๆ ทว่าจังหวะที่เดินผ่านเด็กหนุ่มนั้น นิ้วมือของนางถูกคว้าไว้ก่อนทำให้นางหันกลับมามองอย่างงุนงง แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้นชวนให้หัวใจอ่อนยวบเสียเหลือเกิน
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงกลาง มือข้างหนึ่งจับปลายนิ้วของพี่ชายใหญ่ อีกข้างจับปลายนิ้วของหญิงสาวแปลกหน้าด้วยรู้สึกเชื่อใจและไว้ใจ
“อี้เซียว อย่าเสียมารยาท”
เด็กหนุ่มทำตาละห้อยแล้วยอมปล่อยมือหญิงสาวอย่างอาลัย นางสงสารเด็กหนุ่มเหลือเกินแต่กระนั้นนางก็ก้าวเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อเท้าที่สวมรองเท้าปักลายดอกไม้ก้าวพ้นธรณีประตูก็พบหวังหมิ่นที่ยืนกระสับกระส่ายรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณหนู” นางยื่นมือไปคว้าข้อมือเรียวงามกึ่งลากกึ่งจูงให้รีบเดินออกมาโดยเร็ว
“เป็นอะไรไปพี่หวังหมิ่น” นางยื้อข้อมือตัวเองกลับมา แต่เกรงว่าเรี่ยวแรงตัวจะทำให้แม่บ้านของลุงใหญ่ล้มกลิ้งอยู่ข้างทาง จึงยอมเดินตามไปจนถึงจุดที่จอดรถม้าอยู่
“บุรุษผู้นั้นคือคนที่พวกเราจะลวงเกินไม่ได้เจ้าค่ะ” หวังหมิ่นประคองหญิงสาวขึ้นรถม้า เมื่อตนตามขึ้นไปแล้วก็สั่งสารถีออกรถทันที “เมื่อครู่ข้ากลัวมากจนขยับเท้าไปช่วยคุณหนูไม่ได้เลย”
“เขาเป็นใครรึ” นางไม่ได้สนใจบุรุษหน้าตาดุดันคนนั้นนัก คนที่นางใส่ใจคือเด็กหนุ่มแววตาชวนสงสารต่างหาก
“ใต้เท้ากัวจื่อหราน เจ้าเมืองตันหยางเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก นางเพียงร้องอ้อในคอเบาๆ เป็นเชิงรับรู้แล้ว เอ่ยถาม “เด็กหนุ่มที่ข้าชนล้มเล่า”
“น้องชายต่างมารดาของใต้เท้ากัว ชื่อกัวอี้เซียว ตอนเจ็ดขวบถูกโจรลักพาตัว ท่านเจ้าเมืองนำทหารออกปราบโจรชั่วช่วยคุณชายกัวอี้เซียวกลับมาได้ ทว่าเขากลับไม่ปกติ ได้ยินว่าตอนนั้นท่านเจ้าเมืองประกาศเชิญหมอมารักษา แต่ไม่มีผู้ใดรักษาได้เจ้าค่ะ”
“ดูจากรูปร่างผอมบางของเขาแล้ว อายุน่าจะราวๆ สิบสามหรือสิบสี่ใช่หรือไม่”
“อายุสิบสี่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคงประสบเรื่องราวสะเทือนใจจนทำให้จิตใจปิดกั้นทุกสิ่ง เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สัมพันธ์กันจึงส่งผลให้ร่างกายกับสติปัญญาไม่ประสานกัน”
“คุณหนูรู้เรื่องการแพทย์หรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นทำตาโต
“เปล่า” นางส่ายหน้าไปมาแล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าแค่ชอบอ่านหนังสือ เลยคาดเดาจากสิ่งที่คุณชายน้อยเป็นอยู่”
“แล้วอาการเช่นนี้จะรักษาหายหรือไม่เจ้าค่ะ”
“โรคทางใจต้องใช้ใจรักษา” นางยิ้มเศร้าออกมา เช่นเดียวกับนางที่ต้องใช้เวลารักษาบาดแผลในใจ “หากดูแลดีๆ ก็อาจจะกลับมาเป็นปกติได้”
เพราะเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน หวังหมิ่นแนะนำกึ่งขอร้องให้หลินอวี้เจินกลับมาที่บ้านพักก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยออกไปเยี่ยมชมใหม่ หญิงสาวไม่ต้องการทำให้หวังหมิ่นลำบากใจจึงยอมทำตาม
“จริงซิ เมื่อครู่ข้ายืนดูรูปวาดอยู่ภาพหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่าน ธารน้ำตาใสเป็นทิวทัศน์ที่งดงามงามมาก ไม่ทราบว่ามีสถานที่นั้นในตันหยางหรือไม่”
“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ” หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก “ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ” “ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้าน
หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง” แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว ‘น้องชาย’ “ใต้เท้ากัว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ” “ของอี้เซียว?” “เจ้าค่ะ” นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่ “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม” เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับค
เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยนหลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น “ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัยแล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน! ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยด
นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคล
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ