กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัส
พบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า
“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”
‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’
เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อย
ท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้
“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอบเจ้าหรอกนะ” เขาพูดพลางหัวเราะในลำคอ ขยับปลายนิ้วแตะที่ร่างกายของนางทำให้หญิงสาวสามารถขยับตัวได้ นางอ้าปากทำท่าจะส่งเสียงอีกฝ่ายยื่นมือมาปิดปากไว้แล้วโน้นหน้าลงไปใกล้
“พูดมา”
หลินอวี้เจินทั้งโกรธทั้งอับอาย ยามนี้อยากส่งเสียงให้คนช่วยก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าหากผู้อื่นรู้ว่านางแต่งกายไม่เหมาะสมอยู่กับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามี นางจะไม่เหลือเกียรติใดๆเลย ดูเหมือนชายผู้นี้ไม่ต้องการทำร้ายนาง เขาเห็นนางเป็นเหยื่อราวกับแมวที่จับหนูมาเล่นสนุกโดยไม่สนใจว่าหนูตัวนั้นจะทรมานเพียงใด
นางหลับลงคล้ายยอมจำนน และลืมตาอีกครั้งด้วยดวงตาเว้าวอนหวาดกลัวจนน่าสงสาร
“พร้อมจะพูดแล้วหรือไม่”
เขาถามเสียงแหบพร่าอย่างไม่น่าเชื่อว่านั้นจะเป็นเสียงของตน นางพยักหน้าช้าๆ เขาจึงปล่อยมือจากริมฝีปากของนาง เขาจ้องมองกลีบปากที่ขยับขึ้นลงแต่แทบไม่ได้ยินเสียงใด ทำให้เขาโน้มหน้าลงไปใกล้คิดว่านางคงกลัวจนพูดไม่ออก
ทว่า...
หลินอวี้เจินอาศัยจังหวะที่เขาโน้มหน้าลงมาเอียงใบหูใกล้ริมฝีปาก นางอ้าปากกว้างแล้วกัดใบหูอีกฝ่ายอย่างแรง
“โอ๊ย!”
กัวจื่อหรานไม่คิดว่าตัวเองจะเสียท่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ เขาขยับตัวถอยห่าง แต่นางดันกัดใบหูไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังยื่นสองแขนมาโอบรัดเขาไว้อีก
“หญิงบ้า! เจ้าปล่อยนะ!”
หลินอวี้เจินกัดไม่ปล่อย นางเอาความโกรธและโมโหที่ถูกล่วงเกินไปลงที่ใบหูของชายชุดดำ สองมือยื่นไปกอดรัดอีกฝ่ายแน่นทำให้ร่างของนางลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ทว่านางไม่รู้ว่าเขาพลิกตัวได้อย่างไร มือหนึ่งบีบกรามทำให้นางอ้าปาก ใบหูของเขาจึงพ้นฟันของนาง และร่างนางถูกเหวี่ยงลงนอนหงายตามด้วยร่างใหญ่คร่อมร่างนาง ข้อมือถูกตรึงกดลงบนเตียง นางขยับเท้าดิ้นเปะปะแต่กลับทำให้อีกฝ่ายใช้ร่างกายกดทับไว้ทำให้นางขยับไม่ได้เพราะร่างกายถูกบดเบียดแนบชิด
“ร้ายจริงๆ” เขาส่งเสียงผ่านผ้าที่ปิดครึ่งใบหน้า แววตากลับฉายแววพึ่งพอใจ
“ข้าไม่รู้เจ้าพูดเรื่องอะไร” แม้หวาดกลัวแต่ข่มกลั้นไม่แสดงออก “ข้าไม่รู้จักของที่เจ้าพูด!”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าไปถามลุงของเจ้าแล้วข้าจะมาเอาคำตอบอีกครั้ง”
ข้อมือสองข้างถูกปล่อยออก หลินอวี้เจินคิดว่าทุกอย่างจบแล้ว ทว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาปิดดวงตาของนางไว้ คล้ายกดในศีรษะนางจมลงไปในหมอน นางคิดว่าเขาจะฆ่านางจึงดิ้นรน ใช้สองมือทุบอีกฝ่ายแต่นั้นกลับทำให้ข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบขึ้นไปเหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว นางอ้าปากจะส่งเสียงร้องแต่ถูกริมฝีปากประกบและบดขยี้จนรู้สึกเจ็บ
เขากัดริมฝีปากนาง!
เขาเอาคืน!
เขากัดปากนางเพราะนางกัดใบหูของเขา!
ลมหายใจผ่าวร้อนรินรดใบหน้าหญิงสาว เขาฉวยโอกาสแทรกลิ้นอุ่นร้อนเข้ามาลิ้มรสความหวามในปากนาง เรียวลิ้นไล่ต้อนลิ้นน้อยๆที่ไม่ประสีประสา ริมฝีปากถูกขบกัดจนรู้สึกเจ็บทำให้ได้สติอีกครั้ง เมื่อความตกตะลึงจากหายนางเพิ่มแรงดิ้นรนทว่าร่างกายยิ่งบดเบียนแนบชิดมากยิ่งขึ้น น้ำตาจวนเจียนจะหลั่งออกมา เขาผละริมฝีปากของนางอย่างรวดเร็ว เพียงการขยับมือครั้งเดียวเทียนในห้องดับสนิท ร่างสูงโปร่งกลืนหายไปกับความมืดทิ้งไว้เพียงร่างของหญิงสาวที่หอบหายใจแรงบบนเตียงนอน
หลินอวี้เจินยกมือที่สั่นระริกแตะริมฝีปาก รสคาวของเลือดยังฝาดลิ้นอยู่
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
นางสบถเสียงเบา สมองสับสนมึนงงไปหมด เหตุใดคนผู้นั้นปักใจเชื่อว่านางรู้จักไข่มุกน้ำตาจันทรา
‘ไขมุกน้ำตาจันทรา เป็นสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลกัว’
เสียงของหลินเหิงอี้ลอยมาจากความทรงจำของนาง
หลินอวี้เจินยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลันดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง
ตระกูลกัว...ใต้เท้ากัว
หรือคนผู้นั้นจะเป็นกัวจื่อหราน!
นางพบเขาเพียงครั้งเดียว เหตุใดเขาปักใจว่านางเป็นคนร้ายขโทยไข่มุกประจำตระกูลของเขาไปกันเล่า และเหตุใดเขาต้องทำตัวเยี่ยงโจรราคะเช่นนี้!
หรือนี่ต่างหากเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกัวจื่อหราน! เจ้าเมืองตันหยางคนปัจจุบัน!
.......
กัวอี้เซียวเพลิดเพลินกับการวาดรูป แขนเสื้อของเขามักเปื้อนเปรอะคราบหมึกอยู่เสมอ เด็กหนุ่มไม่สนใจอาหารกลางวันที่ตั้งไว้จนเย็นชืด กระทั้งร่างสูงโปร่งของกัวจื่อหรานเดินเข้ามาใกล้ๆ เด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้าง
“พี่ใหญ่!”
“เหตุใดเจ้ายังไม่กินข้าวอีก” กัวจื่อหรานตวัดชายเสื้อก่อนนั่งลงข้างน้องชาย “หากเจ้าไม่กินข้าวให้ตรงเวลา พี่จะไม่ซื้อหมึกกับเจ้าอีก”
คำขู่ของกัวจื่อหรานได้ผล เด็กหนุ่มทำหน้าประท้วงแต่ลนลานปล่อยพู่กันแล้วหยิบตะเกือบขึ้นมาแทน
“อาหารเย็นไปหรือไม่ ให้คนไปอุ่นมาใหม่ดีไหม?”
“ข้าไม่ชอบกินของร้อน” เด็กหนุ่มเอ่ยแล้วพุยข้าวเข้าปาก เขี่ยผักแล้วเลือกกินแต่เนื้อสัตว์แทน แต่เดิมกัวอี้เซียวมีแม่นมคอยดูแล แต่ตายจากไปด้วยโรคชราเมื่อปีที่แล้ว เวลานี้จึงไม่มีใครดูแลเข้าใจกัวอี้เซียวได้เท่าเขาอีกแล้ว
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา
หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ” แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้ “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?” ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”
ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรีย
หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย “คุณหนูเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม “อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว” “บ่าวมิกล้า” “ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?” “ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง
“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด “ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร” “ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง “คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ” เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก “คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน “กระดาษ ...หมึก” “ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้