“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา”
“ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป”
“ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
“เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา”
“เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“ท่านลุงอย่ามากล่าวหาหลานเช่นนี้นะ” นางทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ คนหยาบคายเช่นนั้นนางไม่มีวันสนใจเด็ดขาด! “หลานแค่อยากรู้เรื่องไข่มุกน้ำตาจันทราเท่านั้น!”
“ลุงเองไม่มีวาสหนาเคยพบเห็นไข่มุกน้ำตาจันทราหรอกนะ ลุงเองไม่ได้ยินข่าวว่าไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป แต่ของล้ำค่าเช่นนั้นตระกูลกัวต้องเก็บรักษาอย่างดีแน่นอน ซ้ำยังได้ยินว่าใต้เท้ากัวมีวรยุทธ์สูงส่งไม่มีทางที่จะมีใครบุกปล้นชิงไปได้แน่”
หญิงสาวสบตากับผู้เป็นลุง ไม่เห็นแววตาซ่อนเรื่องใดไว้ ไม่เหมือนคนโกหก นางจึงได้แต่หลุบตาลงและครุ่นคิดในใจ
‘แล้วเหตุใดเขาจึงมาตามหาไข่มุกน้ำตาจันทราจากนางเล่า ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่ ท่านลุงใหญ่เป็นเพียงพ่อค้า ไม่รู้เพลงยุทธ มีวิชาต่อสู้ป้องกันตัวเล็กน้อย ไม่มีกำลังภายใน ซ้ำยังไม่เคยเห็นไข่มุกน้ำตาจันทรา เช่นนี้แล้วท่านลุงจะเป็นขโมยได้อย่างไรเล่า’
ขณะที่หลินอวี้เจินกำลังคิดหลายตลบเรื่องไข่มุกน้ำตาจันทรา พ่อบ้านก็เข้ามารายงานพร้อมพาพ่อบ้านตระกูลกัวเข้ามาพบนางและหลินเหิงอี้
“ข้าน้อยเป็นพ่อบ้านจวนใต้เท้ากัว นำจดหมายและเทียบเชิญมามอบให้คุณหนูหลินอวี้เจินขอรับ”
“เทียบเชิญ?” หลินอวี้เจินหันไปมองหน้าหลินเหิงอี้ เห็นท่านลุงใหญ่พยักหน้ารับแล้วนางจึงยื่นมือไปรับ
“จดหมายจากคุณชายน้อยกัวอี้เซียวขอรับ”
พ่อบ้านกล่าวอย่างสุภาพ
“บ่าวต้องรอรับคำตอบจากคุณหนูหลินกลับไปด้วย”
หญิงสาวรับจดหมายมาแล้วคลี่อ่านทันที แม้จิตใจขุ่นมัวแต่เห็นลายมือไร้ระเบียบนี่แล้ว นางกลับเผลอยิ้มออกมา เนื้อความในจดหมายบอกเล่าเพียงสั้นๆ ว่าคิดถึงนาง อยากพบนางและอวดรูปวาดของเขาให้นางดู
“เจินเอ๋อร์” หลินเหิงอี้เรียกหลานสาวเบาๆ นางเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้
“คุณชายกัวอี้เซียวเพียงแค่อยากอวดรูปวาดของเขากับข้า” เพียงแค่คิดถึงท่าทางไร้เดียงสาของเขาแล้ว ดวงตานางก็เป็นประกาย น่าเสียดายที่เขาหยุดความคิดไว้ที่เด็กเจ็ดขวบทั้งตอนนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว นางเป็นบุตรสาวคนเดียวจึงรู้สึกเอ็นดูกัวอี้เซียวมากนัก
“ถ้าท่านลุงไม่ว่าอะไร หลานขอไปพบคุณชายกัวอี้เซียวได้ไหมเจ้าคะ”
ขยับปากอยากห้ามปราม แต่คิดว่าหลานสาวคงไม่ยินดีแน่ กัวอี้เซียวเป็นเด็กหนุ่มน่าสงสาร เรื่องนี้คนในเมืองตันหยางรู้ดี หากเขาปฏิเสธเพียงเพราะไม่ต้องการให้หลานสาวยุ่งกับคนชั้นสูงก็เกรงว่าจะทำให้หลานเสียใจ เพราะดูท่าทางแล้วหลินอวี้เจินมีจิตใจบริสุทธิ์ไม่ได้คิดเป็นอื่นกับคุณชายกัวอี้เซียว
“ตามใจหลานเถิด”
หญิงสาวยิ้มกว้างแต่นึกได้ว่ามีผู้อื่นอยู่ ไม่ใช่คนในครอบครัวนางก็สำรวมกิริยามากขึ้นแล้วหันไปทางพ่อบ้านจวนใต้เท้ากัว
“ได้ ข้าจะไปพบคุณชายกัวอี้เซี้ยว ”
“คุณชายน้อยได้ยินต้องดีใจเป็นแน่ เช่นนั้นพรุ่งนี้บ่าวจะให้คนนำรถม้ามารับแม่นางหลินขอรับ”
“ไม่ต้อง ข้าไปเองได้” คนอื่นจะมองนางอย่างไร มีรถม้าของใต้เท้ากัวมารับสตรีที่ยังไม่ออกเรือนถึงบ้านเล่า
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ เช่นนั้นข้าจะไม่ไป”
“ขอรับ บ่าวจะนำความนี้ไปรายงานนายท่าน บ่าวขอตัวกลับก่อน”
“ส่งแขก” หลินเหิงอี้บอกกับพ่อบ้านของตน เขาเหลือบตามองทางหลานสาว ไม่คิดว่านางจะกล้าขัดใจคำสั่งของใต้เท้ากัว
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีเรื่องอันใดให้ท่านลุงต้องกังวล ข้าแค่ไปพบเด็กซุกซนคนหนึ่งเท่านั้น”
หลินอวี้เจินคลี่ยิ้มอ่อนหวานพลันคิดถึงคนที่ทำให้นางต้องเจ็บปาก หรือนี้จะเป็นแผนการที่เขาต้องการคำตอบเรื่องไข่มุกน้ำตาจันทรา
ดีล่ะ
พรุ่งนี้นางจะขอดูผลงานของตนเองเสียหน่อยว่า รอยฟันของนางงดงามบนใบหูของเขาหรือไม่!
หลินเหิงอี้กวาดสายตามองหลานสาวที่แต่งกายเรียบง่าย แม้จะไม่มีความรู้เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์นักแต่เท่าที่เห็นนางช่างเลือกได้เรียบง่ายจนน่าประหลาดใจ หากเทียบกับบรรดาเด็กสาววัยเดียวกันในเมืองนี้หรือแม้กระทั้งลูกๆ ของหลินยี่จื่อน้องชายคนรองของเขา แต่ละคนล้วนเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา แต่เขามักเห็นหลินอวี้เจินเลือกเสื้อผ้าที่เรียบร้อยแต่เนื้อผ้าอย่างดีและตัดเย็บประณีต
เช่นเดียวกับวันนี้ที่นางสวม ชุดสีเขียวราวใบไม้แรกผลิสัมผัสแสงแดด เส้นผมยาวสลวยประดับด้วยปิ่นหยกรูปผีเสื้อ ขับเน้นให้ร่างเล็กๆ น่าทะนุถนอม นางมีดวงตางดงามเช่นเดียวกับมารดาที่ตายจากไปแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจนักที่หลินยี่ห้านบิดาของหลานสาวคนนี้จะรักและตามใจบุตรสาวมาก มากเสียจนไม่คิดแต่งภรรยาใหม่ ผิดกับเขาที่มีเหตุผลมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ
เพราะหวังสร้างฐานะให้มั่นคง เขาเดินทางรอนแรมแต่ละครั้งนานสามถึงสี่เดือนจึงจะกลับบ้านสักครั้ง แม้แต่งภรรยามานาน แต่น้องชายคนรองที่ดูแลกิจการร้านค้ากลับมีบุตรชายบุตรสาวก่อนเขาเสียอีก กว่าเขาจะทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ได้ ก็ตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกับภรรยาของน้องชายคนเล็กพอดี
ด้วยความตั้งใจว่าจะอยู่บ้านดูแลภรรยาในช่วงที่นางคลอดลูก เขาโหมงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไหนอีก ทว่ากลับทำให้เขายิ่งไม่มีเวลาใกล้ชิดภรรยา วันที่เขากลับมาถึงบ้าน นางประสบอุบัติตกน้ำ เขาไม่รู้ว่าทำไมนางถึงตกน้ำได้ แม้บ่าวไพร่ช่วยนางขึ้นจากน้ำได้แต่สุขภาพนางไม่แข็งแรง นางตกเลือดและจากไปพร้อมลูกในครรภ์
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา
หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ” แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้ “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?” ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”
ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรีย
หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย “คุณหนูเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม “อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว” “บ่าวมิกล้า” “ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?” “ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง
“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด “ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร” “ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง “คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ” เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก “คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน “กระดาษ ...หมึก” “ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้
“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ” หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก “ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ” “ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้าน
หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง” แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว ‘น้องชาย’ “ใต้เท้ากัว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ” “ของอี้เซียว?” “เจ้าค่ะ” นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่ “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม” เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับค