“ทำไมเจ้าผ่ายผอมเช่นนี้” หลินอวี้เจินขมวดคิ้วไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่นที่มองนางอย่างตำหนิ นางกลับจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่หลุบตาลงไม่กล้าสบตา จวนใต้เท้ากัวใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีกระดาษและหมึกให้คุณชายได้ถลุงเล่นไม่เสียดาย คงมิได้ขาดแคลนข้าวปลาอาหารหรอกกระมัง“คุณชายน้อยเลือกกินอาหาร ดื้อรั้นไม่ค่อยกินข้าวปลา หากใต้เท้ากัวไม่กินข้าวด้วยก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยขอรับ” พ่อบ้านรายงานอย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากเห็นว่านางเป็นคนที่คุณชายเปิดใจให้“ไม่ได้ๆ เจ้าอายุสิบสี่แล้วไม่ใช่รึ เจ้าต้องตัวสูงกว่านี้ มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ เจ้าผอมเกินไปแล้ว” นางโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินจูงมือเด็กหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้ “มาดูนี่ซิ วันนี้พี่สาวมีของเล่นมาเล่นกับเจ้าด้วย”หลินอวี้เจินพยักหน้า หวังหมิ่นก็รับกล่องจากบ่าวรับใช้ที่ช่วยถือนำมาเปิดตรงหน้าหญิงสาว นางหยิบตุ๊กตาหุ่นกระดาษออกมา ลอบมองสีหน้าของกัวอี้เซียว แน่นอนว่าเขาทำตาโตจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ยื่นมือมาหมายจะจับตุ๊กตากระดาษ แต่นางเร็วกล่าชูขึ้นเหนือศีรษะตนเอง“เมื่อเช้าเจ้ากินข้าวเช้าหรือยัง” นางถามด้วยรอยยิ้ม“กะ...กิน...กินแล้ว”หญิงสาวกลั้นหัวเราะ เด็กคนนี
เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับนาง นางเล่นตัวและคิดว่าเขาคงตามงอนง้อให้นางกลับมาดูแลกัวอี้เซียว แต่เขาไม่ชอบสตรีที่ต่อรองเขาเช่นนี้จึงไม่ได้สอบถามอะไรนัก เขาขยับเท้าเป็นฝ่ายเบี่ยงตัวหลบเฉียนอิ๋นอิ๋นแล้วเดินตรงไปยังเรือนของกัวอี้เซียวทันที รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้างอยู่ชั่วครู่ จนมั่นใจว่าเขาไม่หวนกลับมาแล้วจริงๆ นางจึงหมุนตัวกลับ กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ บ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ร้องเตือนให้รักษากิริยา “เหตุใดเขาไม่สนใจข้า!” นางแทบกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจ “เขาไปที่ใดกัน!” “เรือนของคุณชายกัวอี้เซียวขอรับ” จางหยวนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่ชอบยุแหย่แต่ก็อยากหาวิธีขับไล่หญิงสาวผู้นี้ออกไปจากจวนเช่นกัน “ข้าไม่ได้ถามเจ้า!” นางตวัดสายตาจ้องมองแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ถามข้าแต่เดินไปทิศทางที่ข้าบอก” จางหยวนยักไหล่และใช้วิชาตัวเบาสะกิดปลายเท้าเล็กน้อยก็ไล่ตามร่างสูงโปร่งของผู้เป็นนายได้ทัน เสียงหัวเราะครื้นเครงทำให้เท้าของกัวจื่อหรานชะงักไป นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงหัวเรา
หญิงสาวข่มขู่ด้วยสายตาแต่เมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ของเขาที่เลื่อนสายตาจากดวงหน้า หลุบตามองที่เนินเนื้อนุ่มนิ่มที่โผล่พ้นสาบเสื้อที่เบะออก นางอ้าปากแต่ไร้เสียงหวีดร้อง รีบใช้สองมือปกปิดทรวงอกของตนเอง “กัว-จื่อ-หราน!” นางเค้นเสียงเรียกชื่อเขา พยายามลุกจากตักแต่เขากลับโอบรัดนางแน่นขึ้น ซ้ำยังวางคางกดลงที่ไหล่ของนางอีก “อย่าขยับตัวส่งเดช” เขาดุเสียงแหบพร่าอย่างไม่รู้ตัว กลับพึงพอใจที่นางเรียกชื่อเขาเช่นนี้“ข้าจะปล่อยเจ้าแต่อย่าส่งเสียงดัง” “ข้าส่งเสียงดังได้รึ” นางยอมนั่งนิ่งๆ เพราะรู้ว่าการขยับตัวของนางนั้นทำให้ผิวกายยิ่งแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น “หรือเจ้ารอคอยให้ข้ามาหาเช่นนี้” ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมของสมุนไพรจางๆ จากเรือนกายนุ่มนิ่ม “ข้าหาได้เชื้อเชิญท่าน!” นางเบี่ยงใบหน้าให้ออกจากปลายจมูกของเขา ทว่าลมหายใจร้อนระอุเป่ารดผิวกายของนางราวกับน้ำร้อน “หากข้าส่งเสียงดังออกไปเกรงว่าคนที่ต้องอับอายคงเป็นข้า มิใช่ใต้เท้ากัวเจ้าเมืองตันหยางกระมั้ง” กัวจื่อหรานเลิกคิ้ว เงยหน้าสบตาดวงตาดื้อรั้นของนาง “คน
“เจ้าพักผ่อนเสีย เรื่องนี้ค่อยคุยกันวันหลัง” เขากระซิบสั่ง ใบหูของนางราวกับถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง เขาอดใจไม่ไหวอ้าปากขบติ่งหูนางเล่นไปหนึ่งคำ และก่อนที่นางจะโวยวายออกมาเขาก็ผละออกห่างจากนางไปครึ่งก้าวแล้ว “ห้ามไปนะ! ท่านต้องอธิบายมาก่อน เหตุใดท่านคิดว่าข้าหรือท่านลุงใหญ่ของข้าเป็นคนนำไข่มุกน้ำตาจันทราไป!”นางยันกายขึ้นจากเตียงแล้วยื่นมือไปคว้าเขาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวกลับออกไป เขาหันกลับมาจริงๆ แต่ครั้งนี้กลับโถมร่างใส่นางจนแผ่นหลังของนางแนบชิดกับเตียงนอน ริมฝีปากของเขาทาบทับริมฝีปากแดงนุ่มนวล นางตกตะลึงจนลืมปัดป้องปล่อยให้เขาขบเม้มริมฝีปากนางเบาๆ เพื่อแยกริมฝีปากนางออกแล้วแทรกเรียวลิ้นอุ่น รุกรานตักตวงความหอมหวานตามอำเภอใจ เพราะจุมพิตของเขาปล้นชิงสติสัมปชัญญะไปหมดสิ้น ลืมแม้กระทั้งต้องหายใจทางจมูก ร่างกายแข็งเกร็งอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร กัวจื่อหรานเห็นใบหน้าแดงซ่านและแววตาตื่นตระหนกร่วมทั้งร่างกายเคร่งเครียดของนางแล้วก็อ่อนใจ ยอมผละจากริมฝีปากหวานละมุนที่ชวนให้มึนเมาอย่างเสียดาย “เด็กดี คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียก่อน” เขาปลอบแล้วใช
“อี้เซียวทำอะไรอยู่” “แม่นางเฉียนอิ๋นอิ๋นดูแลอยู่ขอรับ” “ไม่รู้นางจะกลับมาทำไม” กัวจื่อหรานโคลงศีรษะไปมา หากไม่เพราะกัวอี้เซียว ‘ติด’ เฉียนอิ๋นอิ๋น เขาคงไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาเดินผ่านสายตาเขาไปมา ให้รู้สึกรำคาญใจเช่นนี้ “แต่...” จางหยวนอึกอักคล้ายไม่กล้าพูดนัก “มีอะไรก็พูดมา” “บ่าวรู้สึกว่าคุณชายกัวอี้เซียวไม่ค่อยชอบแม่นางเฉียนสักเท่าไหร่” เขาพูดเสียงเบา “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น” “เรียนตามตรง คุณชายอยู่กับแม่นางหลินดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับแม่นางเฉียนเสียอีก”‘เรื่องนี้ใต้เท้าจะมองไม่เห็นเชียวหรือ?’ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยากยิ่ง กัวจื่อหรานไม่ได้เห็นหน้าน้องชายหลายวัน จึงเดินออกจากห้องทำงานเดินไปเรือนของกัวอี้เซียว แต่ยังไม่ทันไปถึงที่หมายเขาก็เห็นน้องชายวิ่งผลักบานประตูวิ่งออกมาจนเกือบจะชนเขาเข้าให้ มือใหญ่จับไหล่สองข้างไว้มั่นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “พะ...พี่...พี่ใหญ่” “เจ้าจะรีบไปไหนรึ?” เขาถามพลางประคองน้องชายให้ยืนได้มั่นคงแล
“หลานเอาไปแช่น้ำแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มอ่อนหวาน “ท่านลุง หลานไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” “เจ้าควรมาพักผ่อนให้สบายใจ แต่กลับมาล้มป่วย หากพ่อของเจ้ารู้ ลุงจะทำเช่นไร” “ก็อย่าให้รู้ซิเจ้าคะ” นางแลบลิ้นทำหน้าทะเล้น “ท่านลุงให้หลานพักผ่อนสักวันก็พอ ถ้าเห็นหลานไม่ดีขึ้นค่อยเรียกหมอมาดูอาการก็ได้” เพราะนางดื้อดึง ท่านลุงใหญ่จึงยอมใจอ่อน นางจึงรอดพ้นจากการถูกท่านหมอตรวจชีพจร วันแรกนางหลับใหลไปเพราะความอ่อนเพลียจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้นางดูแลกิจการการค้าขายแทนท่านลุงใหญ่ เมื่อได้พักก็ดีขึ้น แต่ท่านลุงใหญ่ยังไม่วางใจนางจึงไม่ได้ช่วยงานใดๆ ประจวบกับหวังหมิ่นนำผ้าฝ้ายมาพับหนึ่ง อยู่ที่จู้หยางท่านลุงใหญ่ให้นางดูแลร้านผ้าเล็กๆ เมื่อเห็นหวังหมิ่นหอบผ้ามาหนึ่งพับนางจึงอดขอดูไม่ได้ “ผ้าเนื้อหยาบราคาถูก บ่าวจะเอามาตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้น้องชายน้องสาวใส่วันปีใหม่เจ้าค่ะ” “ทำไมใช้เนื้อผ้าหยาบเช่นนี้” นางเบ้ปาก คลังสินค้าของท่านลุงใหญ่มีผ้าดีๆ หลายพับ หากนางขอซื้อก็ไม่ลำบากอะไร แต่หวังหมิ่นกลับส่ายหน้าไปมาแล้วเล่าที่มาที่ไปของผ้าพับนี้
“หลานสาวคนนี้ซุกซนนัก หากวันหน้าก่อเรื่องใดขึ้นก็หวังว่าน้องจงจะช่วยเหลือ”หลินอวี้เจินยกน้ำชาขึ้นจิบแต่ลอบส่งสายตาไปทางท่านลุงใหญ่ นี่คงไม่ได้คิด ‘ขาย’ นางหรอกนะ หญิงสาวได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จดจ่ออยู่กับถ้วยน้ำชาของตน“ข้าเป็นเพียงนายกองเล็กๆ แต่ถ้ามีเรื่องใดที่แม่นางหลินต้องการให้ช่วยเหลือ โปรดบอกข้าอย่าได้เกรงใจ”หลินอวี้เจินเพียงส่งรอยยิ้มบางๆ ให้แทนคำพูดใดๆ หมายมาดว่าคนผู้นี้กลับไปเมื่อไหร่ต้องคุยกับท่านลุงใหญ่ให้รู้เรื่อง ทว่าพ่อบ้านเดินเข้ามารายงาน หญิงสาวเผลอยิ้มกว้างออกมาทันทีที่รู้ว่าใครมาขอพบนาง“กัวอี้เซียวมาหรือ? พ่อบ้านให้เขารอข้าที่ใด”“อยู่ที่ห้องรับรองขอรับคุณหนู”“ท่านลุงใหญ่ หลานขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแล้วลุกขึ้น “นายกองจง ข้าเสียมารยาทแล้ว”“เชิญแม่นางหลิน”หญิงสาวย่อกายคารวะอย่างมีมารยาทแล้วเดินออกมา จงเหลียงโส่วเผลอมองตามร่างบอบบางที่ก้าวไปจนพ้นประตูแล้วก็เอ่ยออกมาอย่างนึกได้“กัวอี้เซียว? คุณชายกัวอี้เซียวน้องชายใต้เท้ากัวเจ้าเมืองของเราหรือ?”“ถูกแล้ว” เมื่อไม่มีผู้อื่น หลินเหิงอี้ก็พูดคุยเป็นกันเอง “บังเอิญหลานสาวข้าพบกับคุณชายกัวอี้เซียวแ
หญิงสาวร้องเสียงดังอย่างลืมตัว เมื่อนึกได้ว่ารอบกายมีบุรุษยืนมองนางราวสิ่งแปลกประหลาด นางได้แต่หลับตาโอดครวญในใจ“ข้า...ข้ารู้สึกไม่สบาย ขอตัวก่อน” นางก้มหน้างุด จะเดินออกมาแต่นึกได้จึงหมุนตัวกลับมาอีกครั้งแล้วก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อคุยกับกัวอี้เซียว“ขอบใจที่มาเยี่ยมพี่สาวนะ วันนี้พี่สาวไม่สบาย ขอตัวไปพักผ่อนก่อน”“อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “พี่สาวพักผ่อนมากๆ พี่ใหญ่นำโสมบำรุงมาให้ท่านเยอะแยะ พี่สาวต้องบำรุงตัวเองมาก เวลานอนก็ต้องปิดหน้าต่างอย่าให้ต้องลมเย็นอีก”ปกติกัวอี้เซียวไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ครั้งนี้เขาพูดรัวเร็วจนแทบหอบหายใจปิดหน้าต่างหรือ? ต่อข้าลงกลอนแน่นหนายังถูกคนย่องเข้ามาได้!นางลอบมองไปทางกัวจื่อหราน แม้สีหน้าเขายังคงราบเรียบดุจแผ่นน้ำแข็ง แต่แววตาที่มองนางเท่านั้นที่ฉายแววขบขันเพราะรู้ทันว่านางคิดเรื่องใดอยู่เห็นทีว่าเขาคงต้องมาตรวจหน้าต่างห้องนอนของนางเสียแล้ว!......หน้าต่างห้องถูกเปิดออกอย่างเงียบเฉียบ สายลมรอดผ่านทำให้แสงเทียนในห้องวับไหว แต่คนที่อยู่ในห้องยังไม่รู้สึกตัว บุรุษในชุดดำเดินเข้าไปใกล้ร่างของหญิงสาวที่นั่งฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะกลม ชายหนุ่มดึงผ้าปิดครึ่
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ
ความอ่อนล้ากดทับที่สองบ่า เขาโน้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของตนจรดหน้าผากของนาง ดวงตาของชายหนุ่มเห็นมุมปากของหญิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้วดวงตาสุกใสของนางก็จ้องมองเขาอยู่ อยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อน แต่นางกลับไร้ความเขินอาย ซ้ำยังหัวเราะออกมาเบาๆ หลิวอวี้เจินเห็นแววความหม่นล้าฉาบเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา แม้ควรรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดกันเกินไป แต่ในยามนี้ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกลับปล่อยวางเรื่องจารีตต่างๆ นั้นเสีย “เจ้าหัวเราะเรื่องใด” “ท่านเดินเข้ามาทางประตู” “หือ?”เขาเลิกคิ้วฉงนกับถ้อยคำของนาง ขยับตัวออกห่างเพื่อประคองนางขึ้นนั่ง หยิบหมอนรองแผ่นหลังให้นางได้เอนหลังพิงหัวเตียง “ปกติท่านมาพบข้ายามดึกเข้าทางหน้าต่างมิใช่หรือ?”นางย่นจมูกใส่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าของเขาออก เขาคงวิ่งวุ่นทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาดูสภาพตนเองเลยสินะ นางคุ้นชินกับภาพกัวจื่อหรานผู้หยิ่งยโส เอาแต่ใจ มิใช่บุรุษที่อมทุกข์เช่นนี้ นางไม่ต้องการเห็นทุกข์ใจจึงชวนเขาพูดคุยด้วยเรื่องอื่น “ที่นี่บ้านข
“ข้า...ข้าจะไปตามท่านหมอ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ เขากลับไปเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกครั้ง“ไม่... ไม่ต้อง... อี้เซียว” นางส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันการ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหลินยี่ห้านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอแน่แล้วจึงลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มมาให้นางล้างคอ สายตามองหากระโถนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเตียงนัก เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมาเพื่อให้ลูกสาวได้กลั้วปาก “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว” นางไม่อยากรบกวนบิดาเลย รู้สึกละอายแก่ใจแต่ยังไม่มีแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เอง ทว่าบิดากลับหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าเวลานี้ตนต้องเป็นฝ่ายดูแลลูกสาว“เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ดูแลเจ้าแล้วจะให้ผู้อื่นทำหรือไร” หลินยี่ห้านซับคราบน้ำที่ริมฝีปากของบุตรสาวอีกครั้ง “เมื่อยามที่เจ้ายังเล็ก ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อยังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าเลย”“แต่ลูกโตแล้ว ควรเป็นลูกที่ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อ” เห็นบิดายิ้มบางๆ แต่นางรู้ว่าหัวใจของบิดาทุกข์ระทมไม่น้อย “ท่านพ่อไม่อยากถามอะไรลูกหรือ?”หลินยี่ห้านได้แต่ยิ้ม ภรรยาของเขาเป็นสตรีอ่อนโยนไม่ค่อยพูดจา หลินอวี้เจินมีความอ่อนหวานที่ถอดแบบมารดามาทั้งหมด ย
“ท่านคงรู้แล้ว แม้ไม่มียาถอนพิษแต่หนทางรักษาแม่นางหลินนั้นยังพอมี” เฉียนออิ๋นอิ๋นยกมือลูบลำคอของตนเอง “ท่านยอมสละไข่มุกน้ำตาจันทราเพื่อนางหรือ?”“ข้าย่อมทำได้!” คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วนั้น กลับกลายเป็นคมมีดกรีดหัวใจเฉียนอิ๋นอิ๋น แต่กระนั้นนางยังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่นางฝึกฝนมานานเพียงเพื่อได้เคียงข้างบุรุษที่นางทุมเทใจให้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า เย็นชา“เช่นนั้นท่านจะรีดเค้นเอายาถอนพิษกับข้าทำไม? เหตุใดไม่นำไข่มุกน้ำตาจันทราไปรักษานางเสีย” ดวงตาของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย การเงียบงันคือคำตอบของเขาและทำให้นางหัวเราะเบาๆ ออกมา “นั้นเพราะท่านไม่มีไข่มุกน้ำตาจันทราใช่หรือไม่”“เจ้า!” กัวจื่อหรานกำมือแน่น สะกดโทสะของตนเองไว้จนร่างกายเกร็งไปหมดทุกส่วน เขาอยากบีบคอหญิงต่ำช้าผู้นี้นัก“ข้าอยู่ที่จวนสกุลกัวมานาน รับใช้พี่สาวมาหลายปี เรื่องแค่นี้เหตุใดข้าจะไม่รู้” นางยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขยะแขยงออกมา “หากท่านยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้ายินดีมอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้”“เงื่อนไขใด” “แต่งข้าเป็นภรรยาเอกของท่าน” น้ำเสียงของนางราบเรียบและมั่นคง ยืนยันความคิดตั