“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
‘ท่านพี่ อภัยให้ข้าด้วย’ ‘น้องหญิง....พี่ผิดเอง เป็นความผิดของพี่’ ‘ข้าผิดต่อท่าน’ ‘เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ข้าไม่ดีเอง’ ‘ท่านพี่เป็นคนดี เป็นข้าที่ผิดเอง แม้ข้าไม่เต็มใจแต่งกับท่านพี่ ท่านเองก็รู้แต่ยังดูแลข้าอย่างดี ไม่มีอนุหรือภรรยารองมาข่มเหงข้า แต่ข้า...ข้าก็ยังทำผิดต่อท่านพี่’ ‘น้องหญิง อย่าพูดอีกเลย’ ‘ข้าผิดต่อท่าน ต่อสิ่งที่ทำผิดไป ข้า...ตั้งท้องลูกของผู้อื่น...’ ‘เจ้า!’‘ข้าผิดต่อท่านพี่.... ก่อนแต่งงานกับท่านพี่ ข้ามีชายที่รักชอบพอกันแต่บิดามารดาบังคับให้ข้าแต่งงานกับท่าน’ ‘ลูกในท้องเจ้า...เป็นลูกของคนผู้นั้น’ ‘ข้าละอายต่อท่านพี่นัก ชาตินี้ไม่หวังให้ท่านพี่ให้อภัย ได้แต่ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ข้าด้วย’ ‘เจ้า...ตั้งใจตกลงไปในน้ำ....’ เสียงนั้นเบาจนคล้ายเสียงละเมอ ‘ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยรักข้า แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำเช่นนี้’ ‘ข้าขอโทษ ข้าผิดต่อท่านแล้ว’ แม้นางสารภาพความจริงต่อเขา แม้รู้ว่าลูกในท้องไม่ใช่ลูกของตน แต่เขาก็ให้หมอรักษ
หลินอวี้เจินจึงเติบโตเสมือนมีบิดาสองคน และบิดาทั้งสองรักและตามใจนางมาก เพียงแต่การตามใจนั้นอยู่ในขอบเขต นางอยากเรียนเขียนอ่านหรือวาดภาพ นางได้ทำในสิ่งนั้น นางไม่ชอบทำอาหารหรืองานเย็บปักผ้า นางก็ไม่ต้องทำ นางไม่ชอบรัดเท้าก็ไม่ต้องรัด นางอยากเรียนรู้เรื่องการทำการค้า เขาให้หลงจู๊มาสอนและยกร้านผ้าเล็กๆ ให้นางบริหารจัดการ และเมื่อนางเลือกคนรักที่ตั้งใจจะแต่งงานใช้ชีวิตครองคู่ แม้เขาจะไม่ค่อยเห็นชอบกับผู้ชายบอบบางมาดนักปราญ แต่ก็ไม่ขัดใจนาง นางปวดใจจากคนรักหักหลัง เขาก็ให้นางมาพักรักษาใจที่นี่ หลินอวี้เจินเห็นท่าทางเหม่อลอยของท่านลุงใหญ่แล้วก็ยกมือขึ้นโบกไปมา ทำให้หลินเหิงอี้ได้สติแล้วส่งยิ้มให้หลานสาว “ท่านลุงใหญ่อยากพักผ่อนอีกสักวันไหมเจ้าค่ะ วันนี้ข้าดูแลงานแทนท่านก็ได้” “เจ้ารับปากคนในตระกูลกัวแล้ว จะไม่ไปได้อย่างไร” หลินเหิงอี้เกรงว่านางจะเอาแต่ใจและเสียมารยาทต่อหน้ากัวจื่อหราน เขาหันไปกำชับกับหวังหมิ่นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว “หวังหมิ่น ดูแลคุณหนูด้วย คอยห้ามปรามอย่าให้นางทำอะไรล่วงเกินใต้เท้ากัว” “เจ้าค่ะนายท่า
“ทำไมเจ้าผ่ายผอมเช่นนี้” หลินอวี้เจินขมวดคิ้วไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่นที่มองนางอย่างตำหนิ นางกลับจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่หลุบตาลงไม่กล้าสบตา จวนใต้เท้ากัวใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีกระดาษและหมึกให้คุณชายได้ถลุงเล่นไม่เสียดาย คงมิได้ขาดแคลนข้าวปลาอาหารหรอกกระมัง“คุณชายน้อยเลือกกินอาหาร ดื้อรั้นไม่ค่อยกินข้าวปลา หากใต้เท้ากัวไม่กินข้าวด้วยก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยขอรับ” พ่อบ้านรายงานอย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากเห็นว่านางเป็นคนที่คุณชายเปิดใจให้“ไม่ได้ๆ เจ้าอายุสิบสี่แล้วไม่ใช่รึ เจ้าต้องตัวสูงกว่านี้ มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ เจ้าผอมเกินไปแล้ว” นางโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินจูงมือเด็กหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้ “มาดูนี่ซิ วันนี้พี่สาวมีของเล่นมาเล่นกับเจ้าด้วย”หลินอวี้เจินพยักหน้า หวังหมิ่นก็รับกล่องจากบ่าวรับใช้ที่ช่วยถือนำมาเปิดตรงหน้าหญิงสาว นางหยิบตุ๊กตาหุ่นกระดาษออกมา ลอบมองสีหน้าของกัวอี้เซียว แน่นอนว่าเขาทำตาโตจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ยื่นมือมาหมายจะจับตุ๊กตากระดาษ แต่นางเร็วกล่าชูขึ้นเหนือศีรษะตนเอง“เมื่อเช้าเจ้ากินข้าวเช้าหรือยัง” นางถามด้วยรอยยิ้ม“กะ...กิน...กินแล้ว”หญิงสาวกลั้นหัวเราะ เด็กคนนี
เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับนาง นางเล่นตัวและคิดว่าเขาคงตามงอนง้อให้นางกลับมาดูแลกัวอี้เซียว แต่เขาไม่ชอบสตรีที่ต่อรองเขาเช่นนี้จึงไม่ได้สอบถามอะไรนัก เขาขยับเท้าเป็นฝ่ายเบี่ยงตัวหลบเฉียนอิ๋นอิ๋นแล้วเดินตรงไปยังเรือนของกัวอี้เซียวทันที รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้างอยู่ชั่วครู่ จนมั่นใจว่าเขาไม่หวนกลับมาแล้วจริงๆ นางจึงหมุนตัวกลับ กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ บ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ร้องเตือนให้รักษากิริยา “เหตุใดเขาไม่สนใจข้า!” นางแทบกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจ “เขาไปที่ใดกัน!” “เรือนของคุณชายกัวอี้เซียวขอรับ” จางหยวนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่ชอบยุแหย่แต่ก็อยากหาวิธีขับไล่หญิงสาวผู้นี้ออกไปจากจวนเช่นกัน “ข้าไม่ได้ถามเจ้า!” นางตวัดสายตาจ้องมองแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ถามข้าแต่เดินไปทิศทางที่ข้าบอก” จางหยวนยักไหล่และใช้วิชาตัวเบาสะกิดปลายเท้าเล็กน้อยก็ไล่ตามร่างสูงโปร่งของผู้เป็นนายได้ทัน เสียงหัวเราะครื้นเครงทำให้เท้าของกัวจื่อหรานชะงักไป นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงหัวเรา
หญิงสาวข่มขู่ด้วยสายตาแต่เมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ของเขาที่เลื่อนสายตาจากดวงหน้า หลุบตามองที่เนินเนื้อนุ่มนิ่มที่โผล่พ้นสาบเสื้อที่เบะออก นางอ้าปากแต่ไร้เสียงหวีดร้อง รีบใช้สองมือปกปิดทรวงอกของตนเอง “กัว-จื่อ-หราน!” นางเค้นเสียงเรียกชื่อเขา พยายามลุกจากตักแต่เขากลับโอบรัดนางแน่นขึ้น ซ้ำยังวางคางกดลงที่ไหล่ของนางอีก “อย่าขยับตัวส่งเดช” เขาดุเสียงแหบพร่าอย่างไม่รู้ตัว กลับพึงพอใจที่นางเรียกชื่อเขาเช่นนี้“ข้าจะปล่อยเจ้าแต่อย่าส่งเสียงดัง” “ข้าส่งเสียงดังได้รึ” นางยอมนั่งนิ่งๆ เพราะรู้ว่าการขยับตัวของนางนั้นทำให้ผิวกายยิ่งแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น “หรือเจ้ารอคอยให้ข้ามาหาเช่นนี้” ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมของสมุนไพรจางๆ จากเรือนกายนุ่มนิ่ม “ข้าหาได้เชื้อเชิญท่าน!” นางเบี่ยงใบหน้าให้ออกจากปลายจมูกของเขา ทว่าลมหายใจร้อนระอุเป่ารดผิวกายของนางราวกับน้ำร้อน “หากข้าส่งเสียงดังออกไปเกรงว่าคนที่ต้องอับอายคงเป็นข้า มิใช่ใต้เท้ากัวเจ้าเมืองตันหยางกระมั้ง” กัวจื่อหรานเลิกคิ้ว เงยหน้าสบตาดวงตาดื้อรั้นของนาง “คน
“เจ้าพักผ่อนเสีย เรื่องนี้ค่อยคุยกันวันหลัง” เขากระซิบสั่ง ใบหูของนางราวกับถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง เขาอดใจไม่ไหวอ้าปากขบติ่งหูนางเล่นไปหนึ่งคำ และก่อนที่นางจะโวยวายออกมาเขาก็ผละออกห่างจากนางไปครึ่งก้าวแล้ว “ห้ามไปนะ! ท่านต้องอธิบายมาก่อน เหตุใดท่านคิดว่าข้าหรือท่านลุงใหญ่ของข้าเป็นคนนำไข่มุกน้ำตาจันทราไป!”นางยันกายขึ้นจากเตียงแล้วยื่นมือไปคว้าเขาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวกลับออกไป เขาหันกลับมาจริงๆ แต่ครั้งนี้กลับโถมร่างใส่นางจนแผ่นหลังของนางแนบชิดกับเตียงนอน ริมฝีปากของเขาทาบทับริมฝีปากแดงนุ่มนวล นางตกตะลึงจนลืมปัดป้องปล่อยให้เขาขบเม้มริมฝีปากนางเบาๆ เพื่อแยกริมฝีปากนางออกแล้วแทรกเรียวลิ้นอุ่น รุกรานตักตวงความหอมหวานตามอำเภอใจ เพราะจุมพิตของเขาปล้นชิงสติสัมปชัญญะไปหมดสิ้น ลืมแม้กระทั้งต้องหายใจทางจมูก ร่างกายแข็งเกร็งอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร กัวจื่อหรานเห็นใบหน้าแดงซ่านและแววตาตื่นตระหนกร่วมทั้งร่างกายเคร่งเครียดของนางแล้วก็อ่อนใจ ยอมผละจากริมฝีปากหวานละมุนที่ชวนให้มึนเมาอย่างเสียดาย “เด็กดี คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียก่อน” เขาปลอบแล้วใช
“อี้เซียวทำอะไรอยู่” “แม่นางเฉียนอิ๋นอิ๋นดูแลอยู่ขอรับ” “ไม่รู้นางจะกลับมาทำไม” กัวจื่อหรานโคลงศีรษะไปมา หากไม่เพราะกัวอี้เซียว ‘ติด’ เฉียนอิ๋นอิ๋น เขาคงไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาเดินผ่านสายตาเขาไปมา ให้รู้สึกรำคาญใจเช่นนี้ “แต่...” จางหยวนอึกอักคล้ายไม่กล้าพูดนัก “มีอะไรก็พูดมา” “บ่าวรู้สึกว่าคุณชายกัวอี้เซียวไม่ค่อยชอบแม่นางเฉียนสักเท่าไหร่” เขาพูดเสียงเบา “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น” “เรียนตามตรง คุณชายอยู่กับแม่นางหลินดูมีความสุขมากกว่าอยู่กับแม่นางเฉียนเสียอีก”‘เรื่องนี้ใต้เท้าจะมองไม่เห็นเชียวหรือ?’ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยากยิ่ง กัวจื่อหรานไม่ได้เห็นหน้าน้องชายหลายวัน จึงเดินออกจากห้องทำงานเดินไปเรือนของกัวอี้เซียว แต่ยังไม่ทันไปถึงที่หมายเขาก็เห็นน้องชายวิ่งผลักบานประตูวิ่งออกมาจนเกือบจะชนเขาเข้าให้ มือใหญ่จับไหล่สองข้างไว้มั่นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “พะ...พี่...พี่ใหญ่” “เจ้าจะรีบไปไหนรึ?” เขาถามพลางประคองน้องชายให้ยืนได้มั่นคงแล
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ
ความอ่อนล้ากดทับที่สองบ่า เขาโน้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของตนจรดหน้าผากของนาง ดวงตาของชายหนุ่มเห็นมุมปากของหญิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้วดวงตาสุกใสของนางก็จ้องมองเขาอยู่ อยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อน แต่นางกลับไร้ความเขินอาย ซ้ำยังหัวเราะออกมาเบาๆ หลิวอวี้เจินเห็นแววความหม่นล้าฉาบเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา แม้ควรรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดกันเกินไป แต่ในยามนี้ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกลับปล่อยวางเรื่องจารีตต่างๆ นั้นเสีย “เจ้าหัวเราะเรื่องใด” “ท่านเดินเข้ามาทางประตู” “หือ?”เขาเลิกคิ้วฉงนกับถ้อยคำของนาง ขยับตัวออกห่างเพื่อประคองนางขึ้นนั่ง หยิบหมอนรองแผ่นหลังให้นางได้เอนหลังพิงหัวเตียง “ปกติท่านมาพบข้ายามดึกเข้าทางหน้าต่างมิใช่หรือ?”นางย่นจมูกใส่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าของเขาออก เขาคงวิ่งวุ่นทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาดูสภาพตนเองเลยสินะ นางคุ้นชินกับภาพกัวจื่อหรานผู้หยิ่งยโส เอาแต่ใจ มิใช่บุรุษที่อมทุกข์เช่นนี้ นางไม่ต้องการเห็นทุกข์ใจจึงชวนเขาพูดคุยด้วยเรื่องอื่น “ที่นี่บ้านข
“ข้า...ข้าจะไปตามท่านหมอ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ เขากลับไปเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกครั้ง“ไม่... ไม่ต้อง... อี้เซียว” นางส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันการ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหลินยี่ห้านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอแน่แล้วจึงลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มมาให้นางล้างคอ สายตามองหากระโถนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเตียงนัก เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมาเพื่อให้ลูกสาวได้กลั้วปาก “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว” นางไม่อยากรบกวนบิดาเลย รู้สึกละอายแก่ใจแต่ยังไม่มีแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เอง ทว่าบิดากลับหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าเวลานี้ตนต้องเป็นฝ่ายดูแลลูกสาว“เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ดูแลเจ้าแล้วจะให้ผู้อื่นทำหรือไร” หลินยี่ห้านซับคราบน้ำที่ริมฝีปากของบุตรสาวอีกครั้ง “เมื่อยามที่เจ้ายังเล็ก ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อยังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าเลย”“แต่ลูกโตแล้ว ควรเป็นลูกที่ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อ” เห็นบิดายิ้มบางๆ แต่นางรู้ว่าหัวใจของบิดาทุกข์ระทมไม่น้อย “ท่านพ่อไม่อยากถามอะไรลูกหรือ?”หลินยี่ห้านได้แต่ยิ้ม ภรรยาของเขาเป็นสตรีอ่อนโยนไม่ค่อยพูดจา หลินอวี้เจินมีความอ่อนหวานที่ถอดแบบมารดามาทั้งหมด ย
“ท่านคงรู้แล้ว แม้ไม่มียาถอนพิษแต่หนทางรักษาแม่นางหลินนั้นยังพอมี” เฉียนออิ๋นอิ๋นยกมือลูบลำคอของตนเอง “ท่านยอมสละไข่มุกน้ำตาจันทราเพื่อนางหรือ?”“ข้าย่อมทำได้!” คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วนั้น กลับกลายเป็นคมมีดกรีดหัวใจเฉียนอิ๋นอิ๋น แต่กระนั้นนางยังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่นางฝึกฝนมานานเพียงเพื่อได้เคียงข้างบุรุษที่นางทุมเทใจให้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า เย็นชา“เช่นนั้นท่านจะรีดเค้นเอายาถอนพิษกับข้าทำไม? เหตุใดไม่นำไข่มุกน้ำตาจันทราไปรักษานางเสีย” ดวงตาของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย การเงียบงันคือคำตอบของเขาและทำให้นางหัวเราะเบาๆ ออกมา “นั้นเพราะท่านไม่มีไข่มุกน้ำตาจันทราใช่หรือไม่”“เจ้า!” กัวจื่อหรานกำมือแน่น สะกดโทสะของตนเองไว้จนร่างกายเกร็งไปหมดทุกส่วน เขาอยากบีบคอหญิงต่ำช้าผู้นี้นัก“ข้าอยู่ที่จวนสกุลกัวมานาน รับใช้พี่สาวมาหลายปี เรื่องแค่นี้เหตุใดข้าจะไม่รู้” นางยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขยะแขยงออกมา “หากท่านยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้ายินดีมอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้”“เงื่อนไขใด” “แต่งข้าเป็นภรรยาเอกของท่าน” น้ำเสียงของนางราบเรียบและมั่นคง ยืนยันความคิดตั