“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย
“เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา
“ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน”
เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้
“พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?”
กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที
“เล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริมฝีปากนุ่มและหวานละมุนนั้นยังคงตราตรึงเขาอยู่ ซ้ำยังรบกวนจิตใจทำให้เขากลับมาถึงจวนแล้วก็ยังนอนไม่หลับไปเกือบสว่าง
คิดถึงแววตาดุดันที่ถลึงตามองเขาทั้งที่เนื้อกายสั่นระริกแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“พี่ใหญ่ยิ้ม?”
“หือ?” เขาหุบยิ้มแล้วกลับมาทำสีหน้าจริงจัง “เจ้าว่าอะไรนะ”
“พี่ใหญ่ยิ้ม” กัวอี้เซียวย้ำแล้วชี้นิ้วไปที่ปากของกัวจื่อ หราน
“แปลกรึ”
“อือ” กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงัก “ปกติท่านไม่ยิ้ม”
“อย่างนั้นรึ” เขายื่นหน้าไปจ้องน้องชาย “เจ้าอยากให้พี่ยิ้มอีกหรือไม่”
กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึก
“เช่นนั้น เจ้าช่วยเขียนจดหมายเชิญแม่นางหลินอวี้เจินมาที่นี่ให้พี่หน่อยซิ”
เด็กหนุ่มเอียงคออย่างงุนงง
“หลินอวี้เจินคือพี่สาวที่มอบสมุดภาพให้เจ้า เจ้าอยากเจอนางหรือไม่”
กัวอี้เซียวฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าขึ้นลง “ข้าอยากเจอพี่สาวใจดี”
“เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมาย บอกว่าเจ้าคิดถึงนางอยากให้นางมาเยี่ยมเยือน”
“ข้าเขียนจดหมายหาพี่สาวได้จริงๆ หรือ”
“ได้ เขียนเสร็จแล้วให้คนนำมาให้พี่ พี่จะให้พ่อบ้านนำไปส่งให้นางด้วยตนเอง”
“ข้าจะเขียนประเดี๋ยวนี้เลย!”
กัวจื่อหรานมองน้องชายที่ตื่นเต้นดีใจ เขารีบกินอาหารอย่างไม่อิดออดเพื่อจะได้เขียนจดหมายหาพี่สาวใจดีผู้นั้น
แต่สำหรับกัวจื่อหรานแล้ว เขาเพียงคิดว่าจะต้อนรับหลินอวี้เจินอย่างไรดีให้สาสมกับรอยฟันบนใบหูของเขาที่นางทิ้งไว้ให้เขาต้องอับอายเช่นนี้
เพราะเจ็บริมฝีปากทำให้หลินอวี้เจินหน้านิ่วเมื่อต้องซดน้ำแกงเห็ด มื้อเที่ยงหากงานไม่ยุ่งมากนักนางจะมากินอาหารเป็นเพื่อนหลินเหิงอี้ เพื่อบังคับให้ท่านลุงใหญ่กินยาครบตามที่ท่านหมอจัดไว้ให้
“ปากเป็นอะไรรึ” หลินเหิงอี้อดถามหลานสาวไม่ได้ “ร้อนในหรือไม่”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” นางฝืนยิ้มไม่อาจบอกความจริงได้ หากมีใครล่วงรู้ว่ามีบุรุษบุกขึ้นเตียงของนาง ...นางไม่อยากจะคิดเลย...
“เมื่อคืนหลานนอนละเมอกันปากตัวเองเจ้าค่ะ
หลินเหิงอี้เบิกตาจ้องมองหลานสาวอย่างประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่เข้าใจไปว่าหลานสาวไม่สบายไม่อยากให้เขาเป็นกังวล หลังจากกินยาแล้วเขาจึงชวนหลานสาวเดินย่อยในสวนดอกไม้ เขาไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เป็นความคิดของพ่อบ้านและหวังหมิ่นที่คอยดูแลเรื่องเหล่านี้
“ลุงแข็งแรงดีแล้ว พรุ่งนี้ลุงจะทำงานตามปกติ ส่วนหลานอยากไปเที่ยวที่ไหนก็พาหวังหมิ่นไปด้วย”
“หลานกำลังสนุกเลยจะให้หลานหยุดมือแล้วหรือเจ้าค่ะ” นางแสร้งทำตาละห้อยแต่เรียกเสียงหัวเราะจากท่านลุงใหญ่ได้
“เจ้ามาพักผ่อนมาท่องเที่ยว ไม่ใช่มาทำงานจนไม่ได้ไปไหนเช่นนี้ หากพ่อของเจ้าจะได้เคืองลุงแย่ละซิ”
“ถ้าท่านพ่อรู้ว่าหลานมาช่วยดูแลยามที่ท่านลุงใหญ่ไม่สบาย รับรองได้ว่าไม่มีวันโกรธเคืองท่านลุงแน่”
หลินเหิงอี้มองหน้าหลานสาวที่ยิ้มสดใสแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ เขาไม่อยากเห็นนางจมกับความทุกข์ความผิดหวังเรื่องความรัก พอเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เบาใจลงได้บ้าง
“แต่อย่างไร เจ้ามาตันหยางควรท่องเที่ยวให้สมกับมาตันหยาง อีกไม่กี่เดือนจะสิ้นปี พอเข้าฤดูหนาวแล้วเจ้าคงไม่ได้ออกไปไหน”
“ท่านลุงใหญ่ไม่คิดจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่จู้หยางหรือเจ้าค่ะ” ตั้งแต่จำความได้ นางจำได้ว่าท่านลุงใหญ่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แค่ไม่กี่ครั้ง
“นั้นซิ...หรือปีนี้ลุงจะกลับบ้านที่จู้หยางพร้อมเจ้าดี”
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแต่แววตากลับหม่นเศร้า หลินอวี้เจินเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ท่านลุงใหญ่คงไม่ต้องการกลับพบความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาและลูกที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตา
“หรือว่า...เราจะเขียนจดหมายเชิญท่านพ่อของข้ามาพักผ่อนที่ตันหยางและร่วมฉลองปีใหม่กันที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาหม่นเศร้าของหลินเหิงอี้ ชายวัยกลางคนจึงส่ายหน้าไปมายื่นมือไปลูบศีรษะหลานรักอย่างเอ็นดู
“ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ปีนี้ลุงกลับพร้อมหลานก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นหลานจะเขียนจดหมายถึงท่านพ่อให้เตรียมตัวต้อนรับท่านลุงใหญ่นะเจ้าค่ะ” นางยกนิ้วแตะริมฝีปากทำหน้าครุ่นคิด “แต่ถ้าเราจะเดินทางกลับจู้หยาง ไม่ควรเดินทางมือเปล่า มีสินค้าตัวใดที่เรานำไปเติมที่ร้านสกุลหลินได้ก็ต้องขนไปด้วย”
คราวนี้หลินเหิงอี้ถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ นางช่างมีความเป็นวาณิชเสียเหลือเกิน หากบอกว่านางเป็นลูกสาวบัณฑิตคงไม่มีคนเชื่อเป็นแน่ หลินอวี้เจินเห็นท่านลุงอารมณ์ดีจึงลองเอ่ยถามเรื่องที่รบกวนจิตใจของนาง
“ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยขึ้น “จำได้ว่าวันแรกที่ข้ามาถึงตันหยาง ท่านลุงใหญ่พูดถึงไข่มุกน้ำตาจันทรา แล้วก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้หลานฟังอีก หลานอยากรู้เจ้าค่ะ ไข่มุกจันทราคืออะไรเจ้าคะ”
หลินเหิงอี้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “ในที่สุดหลานก็สนใจเครื่องประดับของสวยงามแล้ว”
หลินอวี้เจินย่นจมูกใส่ “หลานได้ยินผู้อื่นพูดคุยกันจึงสนใจ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หากท่านลุงไม่เล่า หลานไปถามพี่หวังหมิ่นก็ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา
หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ” แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้ “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?” ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”
ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรีย
หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย “คุณหนูเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม “อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว” “บ่าวมิกล้า” “ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?” “ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง
“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด “ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร” “ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง “คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ” เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก “คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน “กระดาษ ...หมึก” “ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้
“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ” หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก “ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ” “ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้าน