แชร์

Chapter14.ริมฝีปาก

            “กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว”  กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย

            “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย”  เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา

            “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน”

            เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้  

            “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?”

            กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา  แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่  แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น  ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที

            “เล็กน้อยเท่านั้น”

            เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ  ริมฝีปากนุ่มและหวานละมุนนั้นยังคงตราตรึงเขาอยู่  ซ้ำยังรบกวนจิตใจทำให้เขากลับมาถึงจวนแล้วก็ยังนอนไม่หลับไปเกือบสว่าง

            คิดถึงแววตาดุดันที่ถลึงตามองเขาทั้งที่เนื้อกายสั่นระริกแล้ว  เขาเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

            “พี่ใหญ่ยิ้ม?”

            “หือ?”  เขาหุบยิ้มแล้วกลับมาทำสีหน้าจริงจัง “เจ้าว่าอะไรนะ”

            “พี่ใหญ่ยิ้ม”  กัวอี้เซียวย้ำแล้วชี้นิ้วไปที่ปากของกัวจื่อ หราน

            “แปลกรึ”

            “อือ”  กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงัก “ปกติท่านไม่ยิ้ม”

            “อย่างนั้นรึ”  เขายื่นหน้าไปจ้องน้องชาย “เจ้าอยากให้พี่ยิ้มอีกหรือไม่”

            กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึก

            “เช่นนั้น เจ้าช่วยเขียนจดหมายเชิญแม่นางหลินอวี้เจินมาที่นี่ให้พี่หน่อยซิ”

            เด็กหนุ่มเอียงคออย่างงุนงง

            “หลินอวี้เจินคือพี่สาวที่มอบสมุดภาพให้เจ้า  เจ้าอยากเจอนางหรือไม่”

            กัวอี้เซียวฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าขึ้นลง “ข้าอยากเจอพี่สาวใจดี”

            “เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมาย บอกว่าเจ้าคิดถึงนางอยากให้นางมาเยี่ยมเยือน”

            “ข้าเขียนจดหมายหาพี่สาวได้จริงๆ หรือ”

            “ได้ เขียนเสร็จแล้วให้คนนำมาให้พี่ พี่จะให้พ่อบ้านนำไปส่งให้นางด้วยตนเอง”

            “ข้าจะเขียนประเดี๋ยวนี้เลย!”

            กัวจื่อหรานมองน้องชายที่ตื่นเต้นดีใจ เขารีบกินอาหารอย่างไม่อิดออดเพื่อจะได้เขียนจดหมายหาพี่สาวใจดีผู้นั้น 

แต่สำหรับกัวจื่อหรานแล้ว เขาเพียงคิดว่าจะต้อนรับหลินอวี้เจินอย่างไรดีให้สาสมกับรอยฟันบนใบหูของเขาที่นางทิ้งไว้ให้เขาต้องอับอายเช่นนี้

            เพราะเจ็บริมฝีปากทำให้หลินอวี้เจินหน้านิ่วเมื่อต้องซดน้ำแกงเห็ด  มื้อเที่ยงหากงานไม่ยุ่งมากนักนางจะมากินอาหารเป็นเพื่อนหลินเหิงอี้  เพื่อบังคับให้ท่านลุงใหญ่กินยาครบตามที่ท่านหมอจัดไว้ให้

            “ปากเป็นอะไรรึ”  หลินเหิงอี้อดถามหลานสาวไม่ได้  “ร้อนในหรือไม่”

            “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”  นางฝืนยิ้มไม่อาจบอกความจริงได้ หากมีใครล่วงรู้ว่ามีบุรุษบุกขึ้นเตียงของนาง ...นางไม่อยากจะคิดเลย...

“เมื่อคืนหลานนอนละเมอกันปากตัวเองเจ้าค่ะ

            หลินเหิงอี้เบิกตาจ้องมองหลานสาวอย่างประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่เข้าใจไปว่าหลานสาวไม่สบายไม่อยากให้เขาเป็นกังวล  หลังจากกินยาแล้วเขาจึงชวนหลานสาวเดินย่อยในสวนดอกไม้  เขาไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เป็นความคิดของพ่อบ้านและหวังหมิ่นที่คอยดูแลเรื่องเหล่านี้  

            “ลุงแข็งแรงดีแล้ว พรุ่งนี้ลุงจะทำงานตามปกติ ส่วนหลานอยากไปเที่ยวที่ไหนก็พาหวังหมิ่นไปด้วย”

            “หลานกำลังสนุกเลยจะให้หลานหยุดมือแล้วหรือเจ้าค่ะ”  นางแสร้งทำตาละห้อยแต่เรียกเสียงหัวเราะจากท่านลุงใหญ่ได้

            “เจ้ามาพักผ่อนมาท่องเที่ยว ไม่ใช่มาทำงานจนไม่ได้ไปไหนเช่นนี้ หากพ่อของเจ้าจะได้เคืองลุงแย่ละซิ”

            “ถ้าท่านพ่อรู้ว่าหลานมาช่วยดูแลยามที่ท่านลุงใหญ่ไม่สบาย รับรองได้ว่าไม่มีวันโกรธเคืองท่านลุงแน่” 

            หลินเหิงอี้มองหน้าหลานสาวที่ยิ้มสดใสแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ เขาไม่อยากเห็นนางจมกับความทุกข์ความผิดหวังเรื่องความรัก พอเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เบาใจลงได้บ้าง

            “แต่อย่างไร เจ้ามาตันหยางควรท่องเที่ยวให้สมกับมาตันหยาง อีกไม่กี่เดือนจะสิ้นปี พอเข้าฤดูหนาวแล้วเจ้าคงไม่ได้ออกไปไหน”

            “ท่านลุงใหญ่ไม่คิดจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่จู้หยางหรือเจ้าค่ะ”  ตั้งแต่จำความได้ นางจำได้ว่าท่านลุงใหญ่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แค่ไม่กี่ครั้ง

            “นั้นซิ...หรือปีนี้ลุงจะกลับบ้านที่จู้หยางพร้อมเจ้าดี”

            แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแต่แววตากลับหม่นเศร้า  หลินอวี้เจินเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ท่านลุงใหญ่คงไม่ต้องการกลับพบความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาและลูกที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตา

            “หรือว่า...เราจะเขียนจดหมายเชิญท่านพ่อของข้ามาพักผ่อนที่ตันหยางและร่วมฉลองปีใหม่กันที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ”

            หญิงสาวหัวเราะเสียงใส แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาหม่นเศร้าของหลินเหิงอี้   ชายวัยกลางคนจึงส่ายหน้าไปมายื่นมือไปลูบศีรษะหลานรักอย่างเอ็นดู

            “ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ปีนี้ลุงกลับพร้อมหลานก็แล้วกัน”

            “เช่นนั้นหลานจะเขียนจดหมายถึงท่านพ่อให้เตรียมตัวต้อนรับท่านลุงใหญ่นะเจ้าค่ะ”  นางยกนิ้วแตะริมฝีปากทำหน้าครุ่นคิด “แต่ถ้าเราจะเดินทางกลับจู้หยาง ไม่ควรเดินทางมือเปล่า มีสินค้าตัวใดที่เรานำไปเติมที่ร้านสกุลหลินได้ก็ต้องขนไปด้วย”

            คราวนี้หลินเหิงอี้ถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ  นางช่างมีความเป็นวาณิชเสียเหลือเกิน หากบอกว่านางเป็นลูกสาวบัณฑิตคงไม่มีคนเชื่อเป็นแน่       หลินอวี้เจินเห็นท่านลุงอารมณ์ดีจึงลองเอ่ยถามเรื่องที่รบกวนจิตใจของนาง

            “ท่านลุงใหญ่”  นางเอ่ยขึ้น “จำได้ว่าวันแรกที่ข้ามาถึงตันหยาง ท่านลุงใหญ่พูดถึงไข่มุกน้ำตาจันทรา แล้วก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้หลานฟังอีก  หลานอยากรู้เจ้าค่ะ ไข่มุกจันทราคืออะไรเจ้าคะ”

            หลินเหิงอี้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “ในที่สุดหลานก็สนใจเครื่องประดับของสวยงามแล้ว”

            หลินอวี้เจินย่นจมูกใส่ “หลานได้ยินผู้อื่นพูดคุยกันจึงสนใจ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หากท่านลุงไม่เล่า หลานไปถามพี่หวังหมิ่นก็ได้เจ้าค่ะ”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status