เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก
“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว
“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยน
หลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น
“ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ”
หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัย
แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน!
ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ
หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยดูแลกิจการแทนหลินเหิงอี้ชั่วคราว
“ไม่ได้พบคุณหนูนานแล้ว สบายดีหรือขอรับ” พ่อบ้านหานตงทักทาย เขาเคยพบหญิงสาวหลายครั้ง ด้วยบางคราวหลินเหิงอี้ใช้ให้เขาไปทำธุระที่จู้หยาง
“ข้าสบายดี” นางส่งยิ้มเล็กน้อย
“โชคดีที่มีคุณหนูอยู่ดูแลงานต่างๆ แทนนายท่าน” แม้เคยพบกันไม่บ่อยครั้ง แต่เคยอธิบายเรื่องการค้าขายกับนาง หญิงสาวเป็นคนหัวไว อธิบายเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจ และแม้บิดาจะเป็นอาจารย์สั่งสอนศิษย์ในสำนักศึกษาของตนเอง แต่สำหรับหลินอวี้เจินนั้นมีชอบการค้าขาย นายเคยแต่งกายเป็นชายมายืนเคียงข้างหลินเหิงอี้เพื่อดูคนงานขนถ่ายสินค้า
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เหลือบตามองท่านลุงใหญ่ที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา แม้มีบ่าวไพร่คอยรับใช้แต่ก็เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีภรรยาหรือบุตรอยู่เคียงข้าง ยามเจ็บป่วยอยู่ไกลบ้านเช่นนี้ช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถิด พี่หวังหมิ่น รบกวนดูท่านลุงใหญ่แทนข้าด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
พ่อบ้านหานตงเดินออกมาพร้อมกับหลินอวี้เจิน หญิงสาวเดินมาถึงห้องทำงานของท่านลุงใหญ่ พ่อบ้านรอจนเด็กรับใช้นำน้ำชาเข้ามาแล้วออกไปแล้วจึงเอ่ยกับหญิงสาว
“ดีจริงที่ครั้งนี้มีคุณหนูอยู่ที่นี่”
“ท่านลุงใหญ่เคยล้มป่วยมาเช่นนี้มาก่อนหรือไม่” นางถามเพราะปกติท่านลุงใหญ่ไม่ค่อยได้กลับไปจู้หยาง แต่ทุกครั้งที่พบหน้าก็ไม่เคยเห็นแววอ่อนล้าเช่นนี้ แม้ท่านหมอจะแจ้งว่าล้มป่วยครั้งนี้เพราะโหมงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว แต่หลินอวี้เจินอดกังวลไม่ได้ว่าจะมีโรคแทรกซ้อน คนไม่เคยล้มป่วย เมื่อเจ็บป่วยครั้งหนึ่งมันทรุดลงหนักและรักษาหลายวัน นางจึงสั่งให้คนเชิญหมอมาตรวจอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ไม่มีขอรับ อาจมีอ่อนเพลียบ้างแต่ไม่เคยถึงกับล้มป่วยเช่นนี้” พ่อบ้านหานตงก็กังวลใจไม่แพ้กัน
“ดีแล้วที่พ่อบ้านกลับมาพอดี ข้าคนเดียวเกรงจะดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ไม่ไหว”
นางได้แต่โคลงศีรษะไปมา หากไม่ได้มานั่งดีดลูกคิดทำบัญชีซื้อขายด้วยตนเอง นางคงไม่รู้ว่าท่านลุงมีเงินมากเพียงใด มิน่าเล่าท่านลุงรองถึงพยายามให้ท่านลุงใหญ่แต่งงานใหม่กับญาติทางฝั่งภรรยาของท่านลุงรอง ซ้ำยังเพียรส่งหญิงสาวมาปรนนิบัติรับใช้ แต่ท่านลุงใหญ่ปฏิเสธไปเสียหมดสิ้น แท้จริงกิจการของลุงรองนั้นเป็นของท่านลุงใหญ่ทั้งหมด ท่านลุงรองเพียงแค่ดูแลคุมสาขาทางจู้หยางเท่านั้น
มีทรัพย์มากหากแต่ไม่รู้จักทำให้งอกเงย สักวันย่อมหมดไป
หลินอวี้เจินตระหนักถึงข้อนี้แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งครา
“ขอถามพ่อบ้านหานตงสักเรื่องเถิด” นางตัดสินใจเอ่ยปากออกไป “ท่านลุงมีใครในใจหรือไม่”
“คุณหนูถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ” พ่อบ้านหานตงออกจะประหลาดใจกับคำถามนี้นัก
“โดยส่วนใหญ่ บุรุษจะสร้างเนื้อสร้างตัวก็เพื่อครอบครัวหรือคนรัก แต่หลังจากภรรยาของท่านลุงใหญ่ตายจากก็สิบกว่าปีแล้ว ไม่เห็นวี่แววจะแต่งงานใหม่ แต่ท่านลุงใหญ่กลับทุ่มเทแรงกายและใจให้กับการสร้างกิจการของตน ซ้ำยังแทบไม่กลับบ้านที่จู้หยาง ปล่อยท่านลุงรองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แทบหมดสิ้น ข้าอดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วท่านลุงใหญ่อาจมีใครในใจที่ไม่อาจเอื้อมอยู่ที่ตันหยางนี้ก็เป็นได้”
“เรื่องนั้น...บ่าวเองก็ไม่แน่ใจนัก” เอ่ยจบตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้วงมือไปหยิบกุญแจวางลงบนโต๊ะหน้าหญิงสาว “นี่เป็นกุญแจห้องคลังของนายท่าน ระหว่างที่นายท่านพักรักษาตัว คุณหนูรับไปดูแลเถิดขอรับ”
“พ่อบ้านหานตง!” หลินอวี้เจินส่ายหน้าไปมา “ข้ามิได้ไม่เชื่อใจพ่อบ้าน เพียงแค่สงสัยจึงสอบถามเท่านั้น”
“บ่าวเพียงแค่...” พ่อบ้านหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “...ถ้าคุณหนูเข้าไปดูในห้องคลังของนายท่าน อาจจะพบคำตอบก็ได้ขอรับ”
“เช่นนั้น” นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิด “ข้าขอรับกุญแจนี้ไว้จนกว่าท่านลุงใหญ่จะแข็งแรงดีก็แล้วกัน”
“ขอรับคุณหนู”
หญิงสาวมองจนพ่อบ้านออกไปพ้นสายตาแล้ว นางจึงหยิบกุญแจขึ้นมาพลิกดูไปมา หลินอวี้เจินไม่ได้บอกผู้ใดเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางในตรอกเล็กๆ นั่น เพราะหลังจากกลับมาก็พบว่าท่านลุงใหญ่ล้มป่วย นางไม่ต้องการสร้างความกังวลให้ผู้อื่น นางมาเมืองตันหยางเป็นแรกแทบไม่รู้จักผู้ใดเลย อาจเป็นการเข้าใจผิดก็เป็นได้
ท่าทางคุกคามของชายผู้นั้นทำให้ร่างบอบบางสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามข่มความหวาดกลัวที่คุกคามจิตใจ นางต้องหาสิ่งอื่นทำเพื่อหยุดความคิดของตนเอง
หลินอวี้เจินยื่นมือไปกำกุญแจแล้วลุกขึ้นยืน นางเดินอย่างไม่เร่งร้อนไปที่ห้องคลังของท่านลุงใหญ่ เสียงไขกุญแจดังขึ้นก่อนที่นางจะผลักบานประตูหนาหนักเข้าไป นางกวาดตามองไปรอบๆ หญิงสาวไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่ที่โผงผางจะชอบสะสมแจกันหยกหรือเครื่องประดับนัก
แต่นางจำได้ว่าหลายปีก่อนนั้น หลังจากท่านลุงใหญ่รู้ว่านางชอบวาดภาพ เมื่อใดที่เดินทางไปต่างถิ่นมักซื้อสมุดภาพหรือภาพวาดมาฝากนางเสมอ หลายครั้งที่เป็นสมุดภาพแปลกตา ท่านลุงใหญ่เล่าว่าขอแลกเปลี่ยนกับคนในคาราวานค้าขายที่เดินทางมาจากดินแดนต่างๆ เช่นฝอหลิน,ปอซือ ท่านลุงใหญ่ไม่รู้เรื่องงานศิลปะนัก จะว่าไปการที่ลูกหลานชาวนาพยายามอย่างสุดความสามารถ จนเป็นพ่อค้าที่มีทรัพย์สมบัติได้อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บิดาของนางแม้ไม่ค่อยพูดถึงท่านลุงใหญ่นัก แต่ก็เปรยกับนางอยู่เสมอว่าท่านลุงใหญ่ใหญ่เป็นคนมุมานะและอดทน ครอบครัวของเราเป็นหนี้บุญคุณท่านลุงใหญ่
นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคล
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา