หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที
ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ
“ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง”
แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว
‘น้องชาย’
“ใต้เท้ากัว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ”
“ของอี้เซียว?”
“เจ้าค่ะ” นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่ “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม”
เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับคำสั่ง หญิงสาวไม่ได้ยินว่าเขาสั่งอะไรกับคนรับใช้ คราแรกนางนึกว่าเขาจะสั่งให้คนนำของไปมอบให้คุณชายกัว ทว่าเขากลับพูดออกมาว่า
“ของของอี้เซียว เชิญแม่นางหลินนำไปมอบให้เขาเองเถิด”
แม้ใบหน้าของนางยังสงบนิ่ง แต่รู้สึกเหมือนเส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตุบ นางย่อกายคารวะเขาอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินตามคนรับใช้ออกมาเงียบๆ ด้วยความโมโหและหงุดหงิดนางเดินตามคนรับใช้ออกมาโดยไม่รู้ว่าหวังหมิ่นถูกกันมิให้เดินตามมาด้วย จนกระทั้งถึงเก๋งจีนด้านหลังที่ห่างไกลผู้คนและเสียงเพลงขับร้อง ทำให้นางเพิ่งรู้ตัวว่านางเดินออกจากลุ่มคนมาไกลเกินไปแล้ว
“ช้าก่อน”
นางเรียกคนรับใช้ ทว่าสายตาของนางเห็นเด็กหนุ่มกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะ หลินอวี้เจินไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ นางเดินเข้าไปเงียบๆ โน้มตัวลงมองเด็กหนุ่มที่กำลังตวัดพู่กันไปมา แม้ลายเส้นเหล่านั้นยุ่งเหยิงจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นภาพอะไร แต่นางกลับเห็นฝีแปรงที่มุ่งมั่น เด็ดเดียวและเฉียบขาดทำให้เผลอยิ้มออกมา
กัวอี้เซียวโยนพู่กันอย่างไม่พอใจ แขนเสื้อของเขาเปื้อนเปรอะหมึกเป็นรอยด่างดวง ทว่าเมื่อเขารู้สึกตัวว่าด้านหลังมีคนอยู่จึงเอี้ยวตัวมอง ดวงตาของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ กลายเป็นดวงตากระจ่างใสและมุมปากยกยิ้ม เขาอ้าปากแต่เหมือนต้องเค้นเสียงออกมา ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกุมลำคอของตนเอง
หลินอวี้เจินยกมือใช้ปลายนิ้วชี้ที่ปากแล้วค่อยๆ ขยับออกเสียง
“ข้าอ่านปากได้ น้องชายค่อยๆ พูดเถิด”
“พะ...พี่...พี่...สาว”
“เก่งมาก” นางกล่าวชม “พี่สาวขอนั่งด้วยได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ หลินอวี้เจินจึงเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ว่าง
“เจ้าวาดเองหมดนี่หรือ เก่งจริง”
กัวอี้เซียวไม่มีใครเอ่ยชมหรือสนใจ รู้สึกดีใจจนใบหน้าแดง เขายื่นมือมาหยิบภาพวาดของตนให้นางดู หญิงสาวเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนน้ำหมึก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างใจเย็น
“เมื่อวานข้าชนเจ้าหกล้ม วันนี้ของสิ่งหนึ่งมามอบให้แทนคำขอโทษ” นางเอ่ยแล้วส่งกล่องของขวัญส่งให้กัวอี้เซียว เด็กหนุ่มเบิกตาโตแล้วรีบเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทีแรกเขาทำท่าจะหยิบของในกล่องออกมา แต่กลับชะงักแล้วถูกมือที่เลอะคราบหมึกกับเสื้อที่สวมอยู่ก่อนจะหยิบสมุดภาพในกล่องออกมา
“แอบบอกเจ้า นี่ฝีมือข้าเอง ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่อยากเอามาอวดเจ้า” นางชวนคุย น้ำเสียงของนางหวานใสทำให้คนฟังได้ยินราวกับนางกำลังขับร้องบทเพลง
“ข้า...ชอบ...”
กัวอี้เซียวพลิกดูอย่างตั้งใจ ราวกับจมดิ่งในสมุดภาพของนาง นางมักบันทึกเรื่องราวเป็นรูปวาดง่ายๆ บิดามักส่ายหน้ากับรูปวาดของนาง แต่เมื่อนางนำไปใช้สอนเด็กๆ พวกเขามักชอบและหัวเราะกับฝีมือวาดภาพเหล่านี้ เห็นหมึกที่เปื้อนเปรอะตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่มแล้ว นางกลั้นเสียงหัวเราะ คงเพราะกัวอี้เซียวเป็นน้องชายใต้เท้ากัว จึงมีเงินละเลงหมึกเล่นเช่นนี้เป็นแน่
หญิงสาวอยู่สนทนากับเด็กหนุ่มเพลินจนลืมเวลา เสียงหัวเราะหวานใสดังเป็นระยะๆ จนกระทั้งหวังหมิ่นเดินเข้ามาตามนางเพื่อกลับบ้าน
“พี่สาวขอตัวกลับก่อนนะ”
กัวอี้เซียวมีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อยแต่พยักหน้ารับรู้
“โอกาสหน้าพี่สาวจะมาเล่นด้วยใหม่” นางยังคงยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน เมื่อเดินออกมาพ้นแล้ว จึงเอ่ยถามหวังหมิ่น
“พี่หวังหมิ่นหายไปไหนมา”
“บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ คนของใต้เท้ากัวมิให้บ่าวติดตามมาจนกระทั่งเมื่อครู่มีคำสั่งให้บ่าวเชิญคุณหนูกลับเจ้าค่ะ”
“เชิญกลับ? ไล่กลับละไม่ว่า” หลินอวี้เจินบ่นพึมพำ นางเดินออกมานอกจวนใต้เท้ากัวแล้ว หวังหมิ่นไม่ต้องการให้คุณหนูต้องเดินไปถึงจุดจอดรถม้าจึงบอกให้นางยืนรอด้านนอกแล้วรีบเดินเร็วๆ ออกไป
แต่หลินอวี้เจินกลับเดินไปเงียบๆ นางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคุณหนู ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น แค่เดินไม่กี่ก้าวเหตุในนางจะเดินไปเองไม่ได้เล่า ขณะที่ก้าวเท้าตามแผ่นหลังของหวังหมิ่น นางรู้สึกเหมือนถูกผลักไปด้านข้างเข้า มือใหญ่มารัดเอวลากนางเข้าไปในตรอกเล็กๆ
“ว้าย!”
ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อร่างเล็กถูกผลักประชิดกำแพงตึก ก่อนที่นางจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็ตะปบเข้าที่ปากของนางเสียก่อน
“บอกมา! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!!!”
บุรุษในชุดดำทมิฬขู่ตะคอก แม้จะมีผ้าสีดำปิดครึ่งหน้าและโพกศีรษะของเขาอยู่ แต่แววตาชิงชังที่จ้องมองทำให้หลินอวี้เจินหวาดกลัว นางส่ายหน้าไปมาทำให้อีกฝ่ายลดมือคงแต่เลื่อนมาที่ลำคอพร้อมจะบีบให้แหลกค่ามือในทันที
“เจ้า...เจ้าพูดเรื่องอะไร...ข้า...ข้าไม่รู้”
“อย่ามาตีหน้าซื่อ! สารภาพมาก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน!” เขาออกแรงเพียงนิดเดียวหญิงสาวก็ปวดร้าวไปทั่วลำคอ
“ข้าไม่รู้! เจ้าจำคนผิดแล้ว!”
“ทำไมข้าจะจำหน้าคนสกุลหลินไม่ได้”
“!”
หลินอวี้เจินพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาของความหวาดกลัวไหลออกมา
“ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”
ชายในชุดดำหัวเราะในลำคอ “อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อในสิ่งที่พูด”
“ปล่อยข้านะ!”
“คุณหนู! คุณหนูหลินเจ้าค่ะ!”
เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยนหลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น “ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัยแล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน! ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยด
นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคล
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้