เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด
กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้
“พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”
.....
แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู
“เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”
หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก
“ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช่วยดูแลกิจการต่างๆ”
“เจินเอ๋อร์ไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ” หลินเหิงอี้ส่งยิ้มเอ็นดูให้หลานสาวคนโปรด
“เพราะท่านพ่อกับท่านลุงใหญ่อนุญาตให้หลานได้ใช้ชีวิตอิสระต่างหากละเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกิน แม้บิดาเป็นบัณฑิตเปิดสำนักศึกษา แต่บิดากลับมิได้กวดขันและเคี่ยวเข็นให้นางเป็นกุลสตรีมากนัก ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างเข้าใจ แต่บิดาไม่เคยห้ามปรามหากนางสนใจอ่านเขียนหรือวาดรูป นางอยากเรียนรู้การทำการค้า ท่านลุงใหญ่ก็ให้หลงจู๊มาสอนด้วยตนเอง นางไม่ชอบเย็บปักถักร้อย แต่ก็พอทำได้บ้างเพียงแต่ไม่งดงามนัก บิดาก็ไม่เคยปริปากตำหนินาง นางเย็บถุงเงินให้ท่านลุงใหญ่ เป็นแบบเรียบๆ ท่านลุงใหญ่แสดงความชื่นชมพอใจ ขนาดมอบของขวัญให้นางหีบใหญ่จนบ้านลุงรองรู้เข้าไม่พอใจนัก
และที่สำคัญ เมื่อนางมีเรื่องให้ทำมากมายจนเหนื่อยล้า สมองของนางก็ไม่เหลือที่ว่างให้คิดถึงคนที่ทำให้นางต้องปวดใจ
หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขากินอิ่มแล้ว รับผ้าจากบ่าวรับใช้มาเช็ดมือ ครู่เดียวก็มีบ่าวรับใช้อีกคนนำยาเข้ามาให้ เขาขมวดคิ้วไม่อยากดื่มยาอีกแล้วแต่หลานสาวกลับยิ้มกริ่ม รับชามยามาจากบ่าวรับใช้แล้วยื่นให้หลินเหิงอี้ด้วยตนเอง
“อดทนอีกสองสามวันท่านลุงใหญ่ก็ไม่ต้องกินยาแล้วเจ้าค่ะ” นางกลั้นหัวเราะกับท่าทางของผู้ใหญ่ตัวโตที่กลัวยารสขม “อย่าดื้อเลยเจ้าค่ะ ยาเย็นจะยิ่งขม”
ท่าทางหยอกล้อของหลินอวี้เจินทำให้คนเป็นลุงหน้าเสีย จำใจคว้าชามยามาดื่มรวดเดียวหมดแล้วโบกมือไล่หญิงสาวออกไปจากห้อง
“เจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว คืนนี้ไม่ต้องตรวจบัญชีแล้ว รีบนอนเถิด”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกมา แม้จะเหนื่อยล้าและอยากหลับเต็มที่แล้ว แต่นางไม่อาจละเลยงานที่ยังค้างอยู่ได้ พรุ่งนี้เช้าจะมีเรื่องยุ่งอีก เมื่อนางเดินกลับมาที่ห้องก็ลงมืออ่านรายงานและดีดลูกคิดตรวจสอบความถูกต้อง
“คุณหนูยังไม่พักผ่อนหรือเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นเดินเข้ามาพร้อมบ่าวรับใช้อีกคนแล้วเปลี่ยนน้ำชาให้หญิงสาว “ใกล้ฤดูหนาวแล้วอากาศเริ่มเย็น วันนี้อาบน้ำเร็วหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“พี่หวังหมิ่นให้คนเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าเหมือนเดิมนั้นแหละ”
หลินอวี้เจินหัวเราะเบาๆ เรื่องเดียวที่นางเอาแต่ใจตัวเองคือการอาบน้ำ นางชอบแช่น้ำอุ่นมากยิ่งทำงานหัวปั่นทั้งวันนางยิ่งชอบการแช่น้ำอุ่น
“พี่หวังหมิ่นเองก็ไม่ต้องดูแลข้าหรอก ให้เด็กๆ จัดการยกน้ำอุ่นมาแล้วก็ออกไปเถิด พี่เองก็ดูแลท่านลุงใหญ่ทั้งวัน คนป่วยดื้อรันพี่หวังหมิ่นก็เหนื่อยไม่แพ้ข้าหรอก”
หวังหมิ่นหัวเราะคิกคัก อยู่ด้วยกันมาครึ่งเดือน นางชื่นชอบนิสัยของหลินอวี้เจินไม่น้อย นอกจากความเป็นกันเองไม่ถือตัวแล้ว ยังใจกว้างกับบ่าวรับใช้ คนไหนเจ็บป่วยหรือมีปัญหาเรื่องใด นางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
นางพอรู้มาบ้างที่หลินอวี้เจินมาถึงตันหยางเพราะคู่หมั้นไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง นางจึงหลบมารักษาแผลใจที่นี่ คราแรกนางไม่ค่อยเข้าใจนัก หลายครอบครัวที่พี่น้องร่วมกันปรนนิบัติสามี แต่เมื่อได้ใกล้ชิดหลินอวี้เจินจึงเข้าใจได้ นางมีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระ คล้ายเด็กผู้ชายในบ้างครั้ง อาจเพราะถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ การงานที่กุลสตรีพึ่งกระทำนางทำได้แต่ไม่งดงามประณีตนัก แต่ก็มิได้ห้าวหาญฝึกยุทธ์หรือขี่ม้า จะว่าไปก็ยังไม่เคยเห็นหลินอวี้เจินขี่ม้าเลย
“คุณหนู น้ำอุ่นพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“พี่หวังหมิ่นไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าไม่เรียกใช้แล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามา”
“คุณหนูรีบอาบน้ำนะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวน้ำจะเย็นเสียก่อน”
หลินอวี้เจินยกมือขึ้นโบกไล่ แต่สายตายังจ้องอยู่ที่กระดาษตรงหน้า หวังหมิ่นคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของนางแล้วจึงพาบ่าวรับใช้คนอื่นออกมา ในห้องจึงเหลือเพียงหญิงสาวนั่งอ่านเอกสารการซื้อขายอยู่ลำพัง นางอ่านทวนซ้ำจนมั่นใจแล้วจึงใช้ตราประทับของหลินเหิงอี้ประทับลงไป เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
หญิงสาวลุกขึ้นบิดเอวไปมา กวาดตามองจนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแล้วจึงปลดสายคาดเอวแล้วถอดเสื้อผ้าออกด้วยท่าทางเกียจคร้าน นางไม่ชอบให้ผู้อื่นมาค่อยปรนนิบัติเวลานางอาบน้ำ แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นเช่นนี้ หญิงสาวเดินมาที่อ่างอาบน้ำ กลิ่นหอมจากสมุนไพรที่หวังหมิ่นใส่ลงไป ทำให้ใบหน้าอ่อนหวานระบายยิ้มอย่างพอใจ มือเรียวยื่นไปแกว่งมือในน้ำ น้ำร้อนคลายตัวลงจนเริ่มอุ่นแล้ว เพราะนางมัวแต่ทำงานเพลินไป หญิงสาวแกะปมสายเอี้ยมแล้วถอดกางเกงชั้นในเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าแล้วจึงก้าวลงไปในอ่างน้ำอุ่น
เพียงร่างกายได้สัมผัสน้ำอุ่น นางเผลอครางเบาๆ อย่างผ่อนคลาย ยิ่งใส่สมุนไพรหอมลงไปด้วยยิ่งทำให้นางรู้สึกสบายตัว มือเรียวหยิบผ้ามาเช็ดถูกผิวกายเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงขอบอ่างไม้ วางแขนไว้ยังขอบอ่าง นางเคยเผลอหลับในอ่างแล้วร่างไถลลงไปในน้ำทำให้สำลักน้ำอยู่สองสามครั้ง นางจึงพาดแขนไว้กับขอบอ่างเผื่อตัวเองเผลอหลับไปอีก
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา
หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ” แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้ “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?” ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”
ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรีย