นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้
หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคลุมกันลมยืนถือพัดกลมใต้ต้นดอกท้อ
“ใครกัน” นางเพ่งมองที่รูปแต่ไม่ปรากฏข้อความใด รูปวาดดูเก่าแก่อายุน่าจะเกิดสิบปี ฝีมือการวาดประณีตงดงามราวกับทำให้หญิงงามในภาพมีชีวิต
“หรือจะเป็นหญิงในดวงใจของท่านลุงใหญ่”
หลินอวี้เจินพึมพำเบาๆ นางไม่ได้แตะต้องสิ่งใดในห้องลับ เพียงแค่กวาดตามองรอบๆ แล้วจึงเดินออกมาเงียบๆ ใส่กุญแจเรียบร้อยแล้วกลับไปช่วยพ่อบ้านหานตกตรวจสอบรายการซื้อขายสินค้า
........
“ใต้เท้าไม่ควรออกไปตามลำพังเช่นนั้นนะขอรับ”
“จางหยวน...ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นแค่องครักษ์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่จะมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้”
กัวจื่อหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านมากกว่าจะไม่พอใจที่องครักษ์หนุ่มแสดงความกังวลออกมา
“ขออภัยแต่บ่าวมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของใต้เท้า แต่บ่าวกลับไม่รู้ว่าใต้เท้าออกไปนอกจวน”
“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน”
กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนเอกสารที่ลงนามแล้วออกไปด้านข้าง ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“อย่ากังวัลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
องครักษหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “บ่าวหวังใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
“ข้าไม่รับปาก แต่รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้อมูลที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ได้แล้วขอรับ” จางหยวนยื่นหนังสือรายงานที่ราบรวมข้อมูลมาส่งให้ผู้เป็นนาย
กัวจื่อหรานหนุ่มรับมาเปิดออกแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก พบกันครั้งแรกเป็นความบังเอิญ ครั้งนั้นเขาไม่รู้ว่านางคือหลินอวี้เจิน เขามีธุระที่ต้องไปสะสางด้วยตนเองที่จู้หยาง ไม่คิดว่าจะบังเอิญเห็นหญิงสาวเดินหนีชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้นางจะก้มหน้าก้มตาเดินหนีอยู่ แต่เขากลับเห็นแววตาฉ่ำน้ำตาของนางทำให้ต้องเข้าช่วยเหลือ พบกันอีกครั้งนางกลับเป็นหลานสาวของหลินเหิงอี้
ชายหนุ่มอ่านรายงานแล้วเผลอขมวดคิ้ว ข้อมูลทั่วๆ ไปไม่ได้เรียกความสนใจเท่ากับ
‘ยกเลิกการหมั้นหมาย? คู่หมั้นไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง?’
เขารับถ้อยน้ำชาจากจางหยวนยกขึ้นจิบหมดถ้วยแล้ว แต่ยังคลึงถ้วยชาเล่นในมือขณะไล่สายตาอ่านรายละเอียดอันไร้สาระเหล่านี้
“มาที่นี่ก็คงมารักษาแผลใจละซิ”
“ทหารเงาของเราเคยเข้าไปค้นที่บ้านเศรษฐีหลินมาแล้ว แต่หาไข่มุกน้ำตาจันทราไม่พบขอรับ”
เปรี้ยะ!
ถ้วยน้ำชาในมือของกัวจื่อหรานเกิดรอยแตกร้าว จางหยวนลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเอ่ยไปต้องโมโหมากขนาดนี้
“สายรายงานมาว่าสองสามวันมานี่เศรษฐีหลินไม่สบายล้มหมอนอนเสื่อ หลานสาวจึงดูแลกิจการแทนผู้เป็นลุงขอรับ”
“เป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ กล้าออกหน้ารึ! ช่างกล้านัก!” เสียทีบิดาเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เหตุใดบุตรสาวกลับไร้กิริยาเช่นนี้
“จะทำประการใดต่อไปขอรับ”
ใบหน้าคมเข้มกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก มือแกร่งโบกไปมาเหมือนต้องการตัดบท
“อ่อ! กัวอี้เซียวเข้านอนหรือยัง?”
“กำลังนั่งดูสมุดภาพของแม่นางหลินขอรับ”
กัวจื่อหรานถอนหายใจหนักๆ “ข้าไม่ชอบใจที่อี้เซียวสนิทสนมกับหญิงผู้นั้น อี้เซียวใสซื่อจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปเป่าหูอี้เซี้ยวอะไรไว้บ้าง”
“คุณชายเป็นคนฉลาด ไม่เป็นเช่นที่ใต้เท้าคิดแน่นอน” จางหยวนเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปหาอี้เซียว”
เขาปิดรายงานเกี่ยวกับหลินอวี้เจินแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมายโดยมีจางหยวนก้าวตามไปติดๆ
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ยังคงพลิกสมุดภาพดูด้วยความเพลิดเพลิน บ่าวรับใช้เห็นกัวจื่อหรานเดินตรงมาก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาเดินไปนั่งข้างน้องชายยื่นมือไปปัดรอยเลอะที่ข้างแก้ม กัวอี้เซียวมักทำหมึกเลอะหน้าตาอยู่เสมอ
“มีเรือลำใหญ่จริงๆ หรือพี่ใหญ่”
กัวอี้เซียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาอยากรู้ราวกับเด็ก อยู่กับผู้อื่นเขาเอ่ยเพียงคำสองคำ แต่กับกัวจื่อหรานแล้ว เขาพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้ แต่ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกราวกับหยุดไว้ที่อายุเจ็ดขวบเท่านั้น
“จริงซิ” กัวจื่อหรานตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ดึกแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูสมุดภาพนี้ใหม่”
กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงักปิดสมุดภาพแล้วกอดไว้แนบอกแน่นอย่างห่วงแหน แล้วเดินไปปีนขึ้นเตียงนอนโดยไม่ยอมให้สมุดภาพอยู่ห่างกาย เขายื่นมือไปหมายจะหยิบออกและจัดผ้าห่มให้น้องชายแต่อีกฝ่ายกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“ข้าจะนอนกับสมุดภาพของข้า” เด็กหนุ่มยังกอดหนังสือไม่ยอมปล่อย “ของสำคัญของข้าต้องอยู่ใกล้ตัวข้า”
“เจ้าชอบสมุดภาพเล่มนี้มาก” เขาไม่ค่อยเห็นน้องชายชื่นชอบสิ่งใดนัก จึงออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดเสียงแผ่ว
“ข้าชอบพี่สาวมาก” กัวอี้เซียวอ้ำอึ้ง “พี่ใหญ่อย่ารังแกนางนะ”
คราวนี้กัวจื่อหรานขมวดคิ้ว น้องชายจ้องตาเหมือนรอคำตอบ เขาไม่เอ่ยอะไรแต่เหน็บผ้าห่มให้น้องชาย
“พี่ใหญ่”
“หลับตาแล้วหลับเสีย”
“ท่านสัญญากับข้าก่อน”
กัวจื่อหรานรู้ดีว่าน้องชายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แม้กัวอี้เซียวจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่เขาเวทนาสงสารในชะตากรรมของน้องชายนัก จึงมักตามอกตามใจเสมอ
“ได้ พี่ไม่รักแกนาง”
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
‘ท่านพี่ อภัยให้ข้าด้วย’ ‘น้องหญิง....พี่ผิดเอง เป็นความผิดของพี่’ ‘ข้าผิดต่อท่าน’ ‘เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ข้าไม่ดีเอง’ ‘ท่านพี่เป็นคนดี เป็นข้าที่ผิดเอง แม้ข้าไม่เต็มใจแต่งกับท่านพี่ ท่านเองก็รู้แต่ยังดูแลข้าอย่างดี ไม่มีอนุหรือภรรยารองมาข่มเหงข้า แต่ข้า...ข้าก็ยังทำผิดต่อท่านพี่’ ‘น้องหญิง อย่าพูดอีกเลย’ ‘ข้าผิดต่อท่าน ต่อสิ่งที่ทำผิดไป ข้า...ตั้งท้องลูกของผู้อื่น...’ ‘เจ้า!’‘ข้าผิดต่อท่านพี่.... ก่อนแต่งงานกับท่านพี่ ข้ามีชายที่รักชอบพอกันแต่บิดามารดาบังคับให้ข้าแต่งงานกับท่าน’ ‘ลูกในท้องเจ้า...เป็นลูกของคนผู้นั้น’ ‘ข้าละอายต่อท่านพี่นัก ชาตินี้ไม่หวังให้ท่านพี่ให้อภัย ได้แต่ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ข้าด้วย’ ‘เจ้า...ตั้งใจตกลงไปในน้ำ....’ เสียงนั้นเบาจนคล้ายเสียงละเมอ ‘ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยรักข้า แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำเช่นนี้’ ‘ข้าขอโทษ ข้าผิดต่อท่านแล้ว’ แม้นางสารภาพความจริงต่อเขา แม้รู้ว่าลูกในท้องไม่ใช่ลูกของตน แต่เขาก็ให้หมอรักษ
หลินอวี้เจินจึงเติบโตเสมือนมีบิดาสองคน และบิดาทั้งสองรักและตามใจนางมาก เพียงแต่การตามใจนั้นอยู่ในขอบเขต นางอยากเรียนเขียนอ่านหรือวาดภาพ นางได้ทำในสิ่งนั้น นางไม่ชอบทำอาหารหรืองานเย็บปักผ้า นางก็ไม่ต้องทำ นางไม่ชอบรัดเท้าก็ไม่ต้องรัด นางอยากเรียนรู้เรื่องการทำการค้า เขาให้หลงจู๊มาสอนและยกร้านผ้าเล็กๆ ให้นางบริหารจัดการ และเมื่อนางเลือกคนรักที่ตั้งใจจะแต่งงานใช้ชีวิตครองคู่ แม้เขาจะไม่ค่อยเห็นชอบกับผู้ชายบอบบางมาดนักปราญ แต่ก็ไม่ขัดใจนาง นางปวดใจจากคนรักหักหลัง เขาก็ให้นางมาพักรักษาใจที่นี่ หลินอวี้เจินเห็นท่าทางเหม่อลอยของท่านลุงใหญ่แล้วก็ยกมือขึ้นโบกไปมา ทำให้หลินเหิงอี้ได้สติแล้วส่งยิ้มให้หลานสาว “ท่านลุงใหญ่อยากพักผ่อนอีกสักวันไหมเจ้าค่ะ วันนี้ข้าดูแลงานแทนท่านก็ได้” “เจ้ารับปากคนในตระกูลกัวแล้ว จะไม่ไปได้อย่างไร” หลินเหิงอี้เกรงว่านางจะเอาแต่ใจและเสียมารยาทต่อหน้ากัวจื่อหราน เขาหันไปกำชับกับหวังหมิ่นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว “หวังหมิ่น ดูแลคุณหนูด้วย คอยห้ามปรามอย่าให้นางทำอะไรล่วงเกินใต้เท้ากัว” “เจ้าค่ะนายท่า
“ทำไมเจ้าผ่ายผอมเช่นนี้” หลินอวี้เจินขมวดคิ้วไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่นที่มองนางอย่างตำหนิ นางกลับจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่หลุบตาลงไม่กล้าสบตา จวนใต้เท้ากัวใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีกระดาษและหมึกให้คุณชายได้ถลุงเล่นไม่เสียดาย คงมิได้ขาดแคลนข้าวปลาอาหารหรอกกระมัง“คุณชายน้อยเลือกกินอาหาร ดื้อรั้นไม่ค่อยกินข้าวปลา หากใต้เท้ากัวไม่กินข้าวด้วยก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยขอรับ” พ่อบ้านรายงานอย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากเห็นว่านางเป็นคนที่คุณชายเปิดใจให้“ไม่ได้ๆ เจ้าอายุสิบสี่แล้วไม่ใช่รึ เจ้าต้องตัวสูงกว่านี้ มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ เจ้าผอมเกินไปแล้ว” นางโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินจูงมือเด็กหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้ “มาดูนี่ซิ วันนี้พี่สาวมีของเล่นมาเล่นกับเจ้าด้วย”หลินอวี้เจินพยักหน้า หวังหมิ่นก็รับกล่องจากบ่าวรับใช้ที่ช่วยถือนำมาเปิดตรงหน้าหญิงสาว นางหยิบตุ๊กตาหุ่นกระดาษออกมา ลอบมองสีหน้าของกัวอี้เซียว แน่นอนว่าเขาทำตาโตจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ยื่นมือมาหมายจะจับตุ๊กตากระดาษ แต่นางเร็วกล่าชูขึ้นเหนือศีรษะตนเอง“เมื่อเช้าเจ้ากินข้าวเช้าหรือยัง” นางถามด้วยรอยยิ้ม“กะ...กิน...กินแล้ว”หญิงสาวกลั้นหัวเราะ เด็กคนนี
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ
ความอ่อนล้ากดทับที่สองบ่า เขาโน้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของตนจรดหน้าผากของนาง ดวงตาของชายหนุ่มเห็นมุมปากของหญิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้วดวงตาสุกใสของนางก็จ้องมองเขาอยู่ อยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อน แต่นางกลับไร้ความเขินอาย ซ้ำยังหัวเราะออกมาเบาๆ หลิวอวี้เจินเห็นแววความหม่นล้าฉาบเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา แม้ควรรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดกันเกินไป แต่ในยามนี้ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกลับปล่อยวางเรื่องจารีตต่างๆ นั้นเสีย “เจ้าหัวเราะเรื่องใด” “ท่านเดินเข้ามาทางประตู” “หือ?”เขาเลิกคิ้วฉงนกับถ้อยคำของนาง ขยับตัวออกห่างเพื่อประคองนางขึ้นนั่ง หยิบหมอนรองแผ่นหลังให้นางได้เอนหลังพิงหัวเตียง “ปกติท่านมาพบข้ายามดึกเข้าทางหน้าต่างมิใช่หรือ?”นางย่นจมูกใส่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าของเขาออก เขาคงวิ่งวุ่นทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาดูสภาพตนเองเลยสินะ นางคุ้นชินกับภาพกัวจื่อหรานผู้หยิ่งยโส เอาแต่ใจ มิใช่บุรุษที่อมทุกข์เช่นนี้ นางไม่ต้องการเห็นทุกข์ใจจึงชวนเขาพูดคุยด้วยเรื่องอื่น “ที่นี่บ้านข
“ข้า...ข้าจะไปตามท่านหมอ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ เขากลับไปเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกครั้ง“ไม่... ไม่ต้อง... อี้เซียว” นางส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันการ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหลินยี่ห้านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอแน่แล้วจึงลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มมาให้นางล้างคอ สายตามองหากระโถนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเตียงนัก เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมาเพื่อให้ลูกสาวได้กลั้วปาก “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว” นางไม่อยากรบกวนบิดาเลย รู้สึกละอายแก่ใจแต่ยังไม่มีแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เอง ทว่าบิดากลับหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าเวลานี้ตนต้องเป็นฝ่ายดูแลลูกสาว“เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ดูแลเจ้าแล้วจะให้ผู้อื่นทำหรือไร” หลินยี่ห้านซับคราบน้ำที่ริมฝีปากของบุตรสาวอีกครั้ง “เมื่อยามที่เจ้ายังเล็ก ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อยังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าเลย”“แต่ลูกโตแล้ว ควรเป็นลูกที่ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อ” เห็นบิดายิ้มบางๆ แต่นางรู้ว่าหัวใจของบิดาทุกข์ระทมไม่น้อย “ท่านพ่อไม่อยากถามอะไรลูกหรือ?”หลินยี่ห้านได้แต่ยิ้ม ภรรยาของเขาเป็นสตรีอ่อนโยนไม่ค่อยพูดจา หลินอวี้เจินมีความอ่อนหวานที่ถอดแบบมารดามาทั้งหมด ย
“ท่านคงรู้แล้ว แม้ไม่มียาถอนพิษแต่หนทางรักษาแม่นางหลินนั้นยังพอมี” เฉียนออิ๋นอิ๋นยกมือลูบลำคอของตนเอง “ท่านยอมสละไข่มุกน้ำตาจันทราเพื่อนางหรือ?”“ข้าย่อมทำได้!” คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วนั้น กลับกลายเป็นคมมีดกรีดหัวใจเฉียนอิ๋นอิ๋น แต่กระนั้นนางยังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่นางฝึกฝนมานานเพียงเพื่อได้เคียงข้างบุรุษที่นางทุมเทใจให้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า เย็นชา“เช่นนั้นท่านจะรีดเค้นเอายาถอนพิษกับข้าทำไม? เหตุใดไม่นำไข่มุกน้ำตาจันทราไปรักษานางเสีย” ดวงตาของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย การเงียบงันคือคำตอบของเขาและทำให้นางหัวเราะเบาๆ ออกมา “นั้นเพราะท่านไม่มีไข่มุกน้ำตาจันทราใช่หรือไม่”“เจ้า!” กัวจื่อหรานกำมือแน่น สะกดโทสะของตนเองไว้จนร่างกายเกร็งไปหมดทุกส่วน เขาอยากบีบคอหญิงต่ำช้าผู้นี้นัก“ข้าอยู่ที่จวนสกุลกัวมานาน รับใช้พี่สาวมาหลายปี เรื่องแค่นี้เหตุใดข้าจะไม่รู้” นางยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขยะแขยงออกมา “หากท่านยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้ายินดีมอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้”“เงื่อนไขใด” “แต่งข้าเป็นภรรยาเอกของท่าน” น้ำเสียงของนางราบเรียบและมั่นคง ยืนยันความคิดตั