นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้
หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคลุมกันลมยืนถือพัดกลมใต้ต้นดอกท้อ
“ใครกัน” นางเพ่งมองที่รูปแต่ไม่ปรากฏข้อความใด รูปวาดดูเก่าแก่อายุน่าจะเกิดสิบปี ฝีมือการวาดประณีตงดงามราวกับทำให้หญิงงามในภาพมีชีวิต
“หรือจะเป็นหญิงในดวงใจของท่านลุงใหญ่”
หลินอวี้เจินพึมพำเบาๆ นางไม่ได้แตะต้องสิ่งใดในห้องลับ เพียงแค่กวาดตามองรอบๆ แล้วจึงเดินออกมาเงียบๆ ใส่กุญแจเรียบร้อยแล้วกลับไปช่วยพ่อบ้านหานตกตรวจสอบรายการซื้อขายสินค้า
........
“ใต้เท้าไม่ควรออกไปตามลำพังเช่นนั้นนะขอรับ”
“จางหยวน...ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นแค่องครักษ์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่จะมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้”
กัวจื่อหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านมากกว่าจะไม่พอใจที่องครักษ์หนุ่มแสดงความกังวลออกมา
“ขออภัยแต่บ่าวมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของใต้เท้า แต่บ่าวกลับไม่รู้ว่าใต้เท้าออกไปนอกจวน”
“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน”
กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนเอกสารที่ลงนามแล้วออกไปด้านข้าง ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“อย่ากังวัลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
องครักษหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “บ่าวหวังใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
“ข้าไม่รับปาก แต่รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้อมูลที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ได้แล้วขอรับ” จางหยวนยื่นหนังสือรายงานที่ราบรวมข้อมูลมาส่งให้ผู้เป็นนาย
กัวจื่อหรานหนุ่มรับมาเปิดออกแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก พบกันครั้งแรกเป็นความบังเอิญ ครั้งนั้นเขาไม่รู้ว่านางคือหลินอวี้เจิน เขามีธุระที่ต้องไปสะสางด้วยตนเองที่จู้หยาง ไม่คิดว่าจะบังเอิญเห็นหญิงสาวเดินหนีชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้นางจะก้มหน้าก้มตาเดินหนีอยู่ แต่เขากลับเห็นแววตาฉ่ำน้ำตาของนางทำให้ต้องเข้าช่วยเหลือ พบกันอีกครั้งนางกลับเป็นหลานสาวของหลินเหิงอี้
ชายหนุ่มอ่านรายงานแล้วเผลอขมวดคิ้ว ข้อมูลทั่วๆ ไปไม่ได้เรียกความสนใจเท่ากับ
‘ยกเลิกการหมั้นหมาย? คู่หมั้นไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง?’
เขารับถ้อยน้ำชาจากจางหยวนยกขึ้นจิบหมดถ้วยแล้ว แต่ยังคลึงถ้วยชาเล่นในมือขณะไล่สายตาอ่านรายละเอียดอันไร้สาระเหล่านี้
“มาที่นี่ก็คงมารักษาแผลใจละซิ”
“ทหารเงาของเราเคยเข้าไปค้นที่บ้านเศรษฐีหลินมาแล้ว แต่หาไข่มุกน้ำตาจันทราไม่พบขอรับ”
เปรี้ยะ!
ถ้วยน้ำชาในมือของกัวจื่อหรานเกิดรอยแตกร้าว จางหยวนลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเอ่ยไปต้องโมโหมากขนาดนี้
“สายรายงานมาว่าสองสามวันมานี่เศรษฐีหลินไม่สบายล้มหมอนอนเสื่อ หลานสาวจึงดูแลกิจการแทนผู้เป็นลุงขอรับ”
“เป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ กล้าออกหน้ารึ! ช่างกล้านัก!” เสียทีบิดาเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เหตุใดบุตรสาวกลับไร้กิริยาเช่นนี้
“จะทำประการใดต่อไปขอรับ”
ใบหน้าคมเข้มกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก มือแกร่งโบกไปมาเหมือนต้องการตัดบท
“อ่อ! กัวอี้เซียวเข้านอนหรือยัง?”
“กำลังนั่งดูสมุดภาพของแม่นางหลินขอรับ”
กัวจื่อหรานถอนหายใจหนักๆ “ข้าไม่ชอบใจที่อี้เซียวสนิทสนมกับหญิงผู้นั้น อี้เซียวใสซื่อจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปเป่าหูอี้เซี้ยวอะไรไว้บ้าง”
“คุณชายเป็นคนฉลาด ไม่เป็นเช่นที่ใต้เท้าคิดแน่นอน” จางหยวนเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปหาอี้เซียว”
เขาปิดรายงานเกี่ยวกับหลินอวี้เจินแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมายโดยมีจางหยวนก้าวตามไปติดๆ
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ยังคงพลิกสมุดภาพดูด้วยความเพลิดเพลิน บ่าวรับใช้เห็นกัวจื่อหรานเดินตรงมาก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาเดินไปนั่งข้างน้องชายยื่นมือไปปัดรอยเลอะที่ข้างแก้ม กัวอี้เซียวมักทำหมึกเลอะหน้าตาอยู่เสมอ
“มีเรือลำใหญ่จริงๆ หรือพี่ใหญ่”
กัวอี้เซียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาอยากรู้ราวกับเด็ก อยู่กับผู้อื่นเขาเอ่ยเพียงคำสองคำ แต่กับกัวจื่อหรานแล้ว เขาพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้ แต่ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกราวกับหยุดไว้ที่อายุเจ็ดขวบเท่านั้น
“จริงซิ” กัวจื่อหรานตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ดึกแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูสมุดภาพนี้ใหม่”
กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงักปิดสมุดภาพแล้วกอดไว้แนบอกแน่นอย่างห่วงแหน แล้วเดินไปปีนขึ้นเตียงนอนโดยไม่ยอมให้สมุดภาพอยู่ห่างกาย เขายื่นมือไปหมายจะหยิบออกและจัดผ้าห่มให้น้องชายแต่อีกฝ่ายกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“ข้าจะนอนกับสมุดภาพของข้า” เด็กหนุ่มยังกอดหนังสือไม่ยอมปล่อย “ของสำคัญของข้าต้องอยู่ใกล้ตัวข้า”
“เจ้าชอบสมุดภาพเล่มนี้มาก” เขาไม่ค่อยเห็นน้องชายชื่นชอบสิ่งใดนัก จึงออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดเสียงแผ่ว
“ข้าชอบพี่สาวมาก” กัวอี้เซียวอ้ำอึ้ง “พี่ใหญ่อย่ารังแกนางนะ”
คราวนี้กัวจื่อหรานขมวดคิ้ว น้องชายจ้องตาเหมือนรอคำตอบ เขาไม่เอ่ยอะไรแต่เหน็บผ้าห่มให้น้องชาย
“พี่ใหญ่”
“หลับตาแล้วหลับเสีย”
“ท่านสัญญากับข้าก่อน”
กัวจื่อหรานรู้ดีว่าน้องชายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แม้กัวอี้เซียวจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่เขาเวทนาสงสารในชะตากรรมของน้องชายนัก จึงมักตามอกตามใจเสมอ
“ได้ พี่ไม่รักแกนาง”
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
“กินผักด้วยอย่ากินแต่เนื้ออย่างเดียว” กัวจื่อหรานหยิบตะเกียบคีบผักใส่ถ้วยข้าวให้น้องชาย “เรามิได้ยากจนเสียหน่อย” เด็กหนุ่มบนพึมพำฝืนเคี้ยวผักเพราะเขากลัวพี่ชายจะดุเอา “ได้ หากเจ้าไม่กินผักก็กินยาบำรุงแทน” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยกล้ำกลืนกินผักที่กัวจื่อหรานคีบให้ “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บ?” กัวจื่อหรานเลิกคิ้วจ้องมองหน้าน้องชายวัยสิบสี่ที่จ้องใบหูของเขา แม้จะทายาไปแล้วแต่รอยแดงและฟันยังคงอยู่ แม้กระทั้งจางหยวนยังแอบหัวเราะรอยฟันนี่ เขาจึงต้องใช้เส้นผมมาบดบังรอยฟันนี่เสียแต่ไม่คิดว่ากัวอี้เซียวจะมองเห็น ไม่ซิ เขาลืมไปว่าน้องชายคนนี้ช่างสังเกตนัก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนของกัวอี้เซียวต้องอยู่ที่เดิม ขยับย้ายไปสักนิด กัวอี้เซียวจะโกรธเกรี้ยวโวยวายขึ้นมาทันที “เล็กน้อยเท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับและไม่โกหก กัวอี้เซียวก็ไม่รบเร้าถามสิ่งใดอีก สายตาของกัวจื่อหรานเหลือบไปมองสมุดภาพที่วางอยู่ใกล้มือกัวอี้เซียว ตั้งแต่ได้สมุดภาพเล่มนี้ กัวอี้เซียวไม่ยอมให้อยู่ห่างมือเลย พลันเขาคิดถึงเจ้าของสมุดภาพ ริ
“เจ้าเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อใดกัน” หลินเหิงอี้หัวเราะออกมา ตบไหล่หลานสาวเบาๆ ให้เดินไปนั่งที่ศาลา “เล่ากันว่าไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นล้ำค่าที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ตระกูลกัวที่เคยร่วมทัพทำศึกด้วยกันมา จึงเสมือนเป็นตัวแทนของอดีตองค์ฮ่องเต้ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลกัวได้ และมอบให้บุตรชายคนโตของแต่ละรุ่น บุตรชายจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรานี้มอบให้หญิงสาวที่แต่งงานด้วย เมื่อทั้งสองมีบุตรชาย มารดาจะเป็นผู้มอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบให้ภรรยาเอกของตน เป็นเช่นนี้ทุกรุ่นสืบต่อมา” “ให้ก็เหมือนไม่ได้ให้ ยังไงก็เป็นของในตระกูลกัวอยู่ดี” นางบ่นพึมพำเบาๆ “ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย หรือเพราะที่ใต้เท้ากัวยังไม่แต่งภรรยาเพราะไข่มุกน้ำตาจันทราหายไป” “ไข่มุกน้ำตาจันทราหายรึ?” คราวนี้หลินเหิงอี้ขมวดคิ้ว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” “เอ่อ...หลานคาดเดาส่งเดช เพราะเห็นว่าใต้เท้ากัวยังไม่ได้แต่งภรรยา” “เหตุใดหลานสนใจเรื่องใต้เท้ากัว? หรือเพราะวันที่ไปมอบของขวัญแทนลุง ได้พบใต้เท้ากัวจึงหลงใหลในรูปโฉมหล่อเหลาของใต้เท้าเข้าแล้ว”
“เจินเอ๋อร์... เจ้าเข้าใจข้าเถิดนะ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” หญิงสาวหลบสายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม นางหลุบตาลงที่หลังมือของตนเอง มือใหญ่ที่เคยประคองให้ไออุ่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น กลับสร้างความเยียบเย็นที่หัวใจจนรู้สึกว่า หัวใจของตนเองคงหยุดเต้นไปชั่วขณะ “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาของนางแห้งผากแม้อยากหลั่งน้ำตาเพียงใดนางทำได้เพียงแค่อดทนทนรับฟังเรื่องปวดร้าวเหล่านี้ “ข้ารักเจ้า แต่...ข้าจำเป็นต้องแต่งซินเอ๋อร์” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย “เจ้าอดทนรอข้าสักครึ่งปีเถิด แล้วข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้านเป็นภรรยารองของข้า” “ท่านพูดอะไรออกมา!” หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้ากลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า นางไม่ได้หวังว่าตนเองต้องได้ตำแหน่งภรรยาเอก นางรู้ว่าบุรุษแต่งภรรยาได้หลายคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับนางเป็นหมั่นเหมาะ จะแต่งนางเป็นภรรยาเดียว “เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้ารัก...แค่...แค่รอให้ข้าแก้ปัญหากับซินเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก่อน” “ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย!ข้ารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”หญิงสาวอยากร้องไห้
ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้ เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใดหลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้านจนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์ ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไปราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่ นา
หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ” แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้ “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?” ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”