หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย
“คุณหนูเจ้าค่ะ”
หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว”
“บ่าวมิกล้า”
“ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?”
“ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง”
หลินอวี้เจินยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่หวังหมิ่นนะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมา
“ได้ซิ ข้าจะเรียกพี่หวังหมิ่น” นางหัวเราะเบาๆ “พี่หวังหมิ่นอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ”
“บ่าวเป็นคนเมืองตันหยาง” นางเอ่ยเสียงเบาข่มความขื่นขมในอก “บ่าวเคยเป็นหญิงรับใช้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถูกขับไล่ออกมา คราวนั้นนายท่านซื้อตัวบ่าวไว้จึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำงานรับใช้นายท่านได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้เอง” นางพยักหน้ารับเข้าใจ “พี่หวังหมิ่น ข้าอยากเดินเล่น พี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
หวังหมิ่นเคยทำงานในบ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่โตตั้งแต่เด็ก นางเข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี คุณหนูในห้องหอหากจะออกนอกบ้านย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ติดตาม แต่หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย นางรู้ดีว่าตระกูลหลินเพิ่งสร้างฐานะได้ไม่นาน แต่กระนั้นก็ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่มักโอ้อวด และรังแกบ่าวไพร่ หลินเหิงอี้เป็นนายที่ดี แม้พูดจาเสียงดังและนิสัยโผงผางไปบ้าง แต่ไม่เคยดูแคลนผู้ใด หากใครทำผิดจึงลงโทษ หากทำดีสัตย์ซื่อก็ตบรางวัลให้ทำให้ผู้ที่ทำงานด้วยล้วนทำอย่างเต็มที่
“ถ้าแค่ใกล้ๆ ละแวกนี้ บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้เจ้าค่ะ” นางยิ้มบางๆ อดเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้
“ตอนที่นั่งรถม้าเข้าเมืองมา ข้าเห็นร้านขายภาพเขียนมีคนเข้าออกจำนวนมาก ข้าอยากไปร้านนั้นจะได้หรือไม่”
หวังหมิ่นนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ ร้านที่ว่าอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่นานก็ถึงที่หมาย ตอนนี้ยังแดดไม่ร้อนจัด ก็เหมาะสมกับการไปข้างนอกได้อยู่
“บ่าวจะให้คนเตรียมรถม้าก่อนนะเจ้าค่ะ”
“ไกลมากหรือ? เราเดินกันไปได้หรือไม่”
หวังหมิ่นมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง หลินอวี้เจินแม้ไม่ได้งดงามปานล่มเมือง แต่นางมีโครงหน้ารูปไข่ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวขาวราวหยกใส ท่าทางกระตือรือร้นของนางดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากหญิงสาวผู้อื่น
“เกรงว่าจะไม่เหมาะสม คุณหนูนั่งรถม้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
“เวลาที่ข้าอยู่ที่จู้หยาง ก็เดินจากบ้านไปดูแลร้านขายผ้าของท่านลุงใหญ่เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“นั่งรถม้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเตรียมรถ คุณหนูเปลี่ยนเสื้อดีไหมเจ้าคะ”
“เปลี่ยนทำไม ข้าแต่งแบบนี้ออกไปข้างนอกมิได้หรือ”
นางเบิกตากว้าง ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางสวมชุดสีเขียวบงกชแบบเรียบๆ แต่ตัดเย็บประณีต บนศีรษะประดับเพียงปิ่นหยกชิ้นเดียวแต่กระนั้นกลับขับเน้นให้นางดูงดงามน่ามองไม่น้อย
“เช่นนั้นสวมเสื้อคลุมอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ แดดแรงนัก”
หลินอวี้เจินเพียงแค่ยิ้มรับ นางเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น เกรงว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมจึงเอ่ยถามออกไปก่อน หวังหมิ่นเดินเร็วๆ สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมรถม้าและเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างบอบบางของหญิงสาว จากนั้นสั่งงานบ่าวรับใช้แล้วจึงพาหลินอวี้เจินขึ้นรถม้า ขณะที่รถม้าผ่านร้านรวงต่างๆ มือเรียวเล็กยื่นไปแง้มผ้าม่านมองออกไปด้านนอกด้วยความสนใจ
“ที่นี่คึกคักยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ แต่พอถึงฤดูหนาวจะเงียบเหงานัก ปิดบ้านอยู่กันเงียบเชียบ ช่วงฤดูหนาวพ่อค้ามักหยุดเดินทางที่นี่จึงไม่ค่อยมีคนอยู่”
“แต่ท่านลุงใหญ่มิค่อยได้กลับบ้านที่จู้หยางนัก เขามิได้อยู่ที่ตันหยางหรือ?”
“นายท่านเดินทางตลอดเจ้าค่ะ แต่ปีที่ผ่านมานายท่านอยู่ที่นี่”
หลินอวี้เจินไม่ได้ถามอะไรอีก นางนึกถึงที่เคยพูดคุยกับบิดา บิดาเคยเล่าว่าที่ท่านลุงใหญ่มิใคร่กลับบ้านเพียงเพราะไม่อยากคิดถึงภรรยาและลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตา จึงไม่ค่อยกลับมาที่จู้หยางบ่อยนัก นางเข้าใจดี แม้ความเจ็บปวดที่นางได้รับมิอาจเทียบกับท่านลุงใหญ่ แต่นางเองยังต้องการเวลาสำหรับรักษาบาดแผลในหัวใจ ไม่คิดถึงเรื่องราวที่จำต้องหลบหนีมาถึงที่นี่อีก
ไม่นานนักรถม้ามาถึงที่หมาย หวังหมิ่นลงจากรถก่อนแล้วประคองหญิงสาวก้าวลงมา วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ทำให้หลินอวี้เจินสามารถเดินดูภาพวาดในร้านได้อย่างสบายใจ นางมักยืนมองภาพแต่ละภาพนิ่งงันและครุ่นคิด สงบจิตใจแล้วจ้องมองรอยตวัดฝีแปรง น้ำหนักอ่อนเบา บ่งบอกถึงจิตใจของจิตกรผู้นั้น บิดาของนางชื่นชอบการวาดภาพแต่ไม่เชี่ยวชาญนัก จึงเชิญอาจารย์ท่านอื่นมาสอนที่สำนักศึกษาของตน นางเองก็พลอยได้ฝึกฝนไปด้วย นางไล่ดูแต่ละภาพ อ่านโคลงกลอนที่ปรากฏเหล่านั้น ภาพทิวเขาสูงตระหง่านมีธารน้ำตกใส นางหมุนตัวหันไปหาหวังหมิ่น หวังจะถามหาที่ตั้งของภาพนี้ เป็นสถานที่จริงในตันหยางหรือเป็นเพียงจินตนาการของจิตกรกัน
“พี่หวังหมิ่น อ๊ะ!”
นางหมุนตัวกลับมาโดยไม่รู้ว่าด้านหลังมีคนยืนอยู่ นางเกือบชนกับชายคนหนึ่งเขา ด้วยความไม่ต้องการแตะต้องร่างกายของฝ่ายตรงข้าม นางจึงถอยหลังหลบ แต่ไม่คิดว่าคนที่ยืนด้านหลังก็ตกใจถอยหลังเช่นกัน แต่เท้าของเขานั้นไขว้กันจนทำให้ล้มลงก้นกระแทกพื้น
สีหน้าของอีกฝ่ายเจ็บปวดไม่น้อยแต่ไม่สงเสียงร้องสักนิด หลินอวี้เจินตั้งสติได้จึงรีบนั่งลงยื่นมือไปแตะแขนของเขา ดวงตาตื่นตกใจจ้องมองนางไม่ยอมกะพริบตา หลินอวี้เจินแม้อายุสิบเจ็ดแต่นางช่วยบิดาดูแลสำนักศึกษา บ่อยครั้งที่ต้องช่วยดูแลคุณชายน้อยที่มาเรียนหนังสือ จึงไม่รู้สึกว่าการที่ตนแตะต้องร่างกายเด็กหนุ่มคนนี้เป็นสิ่งผิด ที่จริงนางเอกก็มีส่วนผิดที่ทำให้เขาตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น
“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด “ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร” “ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง “คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ” เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก “คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน “กระดาษ ...หมึก” “ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้
“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ” หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก “ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ” “ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้าน
หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง” แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว ‘น้องชาย’ “ใต้เท้ากัว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ” “ของอี้เซียว?” “เจ้าค่ะ” นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่ “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม” เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับค
เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยนหลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น “ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัยแล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน! ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยด
นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคล
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างตามด้วยอ้าปากหาวคำใหญ่แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด กัวจื่อหรานรอจนน้องชายหลับสนิทแล้วจึงลุกขึ้นยืน เขามองสมุดภาพในที่โผล่พ้นขอบผ้าห่มของกัวอี้เซียว ใบหน้าอ่อนโยนหายไปสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายกาจและแววตาดุดันที่หมายมั่นจะเค้นเอาความจริงจากคนตระกูลหลินให้ได้ “พี่ไม่ได้ผิดคำพูดกับเจ้านะอี้เซียว พี่แค่ต้องเค้นความจริงเอาจากนางแค่นั้น”..... แม้จะนั่งกินข้าวอยู่ แต่นางก็เผลออ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนออกมา ชายวัยกลางคนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเห็นแล้วก็ทั้งสงสารและเอ็นดู “เพราะลุงแท้ๆ ทำให้หลานต้องลำบากเช่นนี้”หลินเหิงอี้อาการดีขึ้นเจ็ดส่วนแล้วแต่หลานสาวบังคับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนมานานหลังจากคุยกับพ่อบ้านหานตงเห็นว่าหลินอวี้เจินสามารถจัดการงานต่างๆ ได้ดี เขาเองก็เบาใจและผ่อนคลายลงมาก “ท่านลุงใหญ่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น” หลินอวี้เจินรีบปฏิเสธ แต่นางเพลียมากจริงๆ จึงได้เสียมารยาทอ้าปากหาวทั้งที่กินอาหารเป็นเพื่อนท่านลุงใหญ่ “หลานดีใจ ไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่จะไว้ใจหลาน ให้หลานช
การงานที่วุ่นวายยึดครองพื้นที่ความคิดของนางไปจนหมดสิ้น ทั้งที่นางเคยคิดว่าตนเองรัก ติงกว่างอาน มากจนไม่อาจทนเห็นเขากับหลินซูซิน-ญาติผู้น้องของนางได้ แต่เมื่อนางความคิดและแรงกายมาทุ่มเทดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ที่ล้มป่วย ทำให้นางเกิดสงสัยในตัวเองว่า แท้จริงแล้วนางรักติงกว่างอานจริงหรือไม่ หรือเพราะแค่ความผูกพัน เขาเป็นบุรุษที่อ่อนโยน ให้เกียรตินาง และยอมรับที่นางเป็น นางทำกับข้าวไม่เก่ง เย็บปักเสื้อผ้าได้แต่ไม่สวยงามนัก แต่เขาก็ยังสัญญาว่าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเวลาผ่านมาไม่ถึงสี่เดือน เหตุใดความรู้สึกที่มีต่อเขาเลือนรางนัก ที่นางเสียใจอาจเพราะนางคาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดของตน นางผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจเบาๆ จากริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำไมนางจะไม่รู้นิสัยของหลินซูซินบุตรสาวของท่านลุงรอง ภายใต้กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน หลินซูซินต้องการอยู่เหนือนาง ยิ่งท่านลุงใหญ่มอบร้านผ้าให้นางดูแล ก็ได้ยินว่าคราวนั้นหลินซูซินขว้างปาแจกันแตกไปหลายใบ แต่นางไม่คิดว่าหลินซูซินจะยอมเอาร่างกายเป็นเดิมพัน ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ทำลายงา
กลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ป่าทำให้กัวจื่อหรานไม่อยากถอยห่างจากร่างนุ่มนิ่ม เขาวางนางนอนแล้วแต่ตนเองยังนั่งข้างร่างที่ขยับไม่ได้ ทรวงอกของนางสะท้อนขึ้นลงเพราะการหายใจแรง ปทุมถันคู่งามดุนดันเสื้อคลุมที่เขามัดร่างนางไว้จนเห็นเป็นทรงกลมน่าสัมผัสพบกันสองครั้งนางแต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา เขาจึงไม่คิดว่าภายใต้เสื้อผ้าตัวหลวมที่นางสวมนั้นมีเรือนร่างงดงามราวเทพธิดา ร่างอรชนสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ แรงปรารถนาบังเกิดตามสัญชาตญาณ ความเป็นชายแข็งแกร่งรุ่มร้อน เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมตนเองได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกภาพเย้ายวนล่อลวงจนแทบกลายเป็นโจรราคะไปเสียแล้ว เขาสูดลมหายใจหวังสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนของตน แต่กลับได้กลิ่นหญิงสาวเข้าเต็มปอด เขาจึงเงยตัวขึ้นแล้วฝืนพูดน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้น ราวกับเสือที่เห็นเหยื่อตัวน้อยอยู่เบื้องหน้า“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าบอกมาซิว่า ไข่มุกน้ำตาจันทราอยู่ที่ใด”‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เขาพูดเรื่องอะไร นางไม่รู้จักของพรรคนั้นเสียหน่อยท่าทางฮึกฮักของนางทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่า นางอยากพูดแต่พูดไม่ได้“ข้าจะคลายจุดให้ แต่เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าไม่อยากรับผิดชอ
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ
ความอ่อนล้ากดทับที่สองบ่า เขาโน้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของตนจรดหน้าผากของนาง ดวงตาของชายหนุ่มเห็นมุมปากของหญิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้วดวงตาสุกใสของนางก็จ้องมองเขาอยู่ อยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อน แต่นางกลับไร้ความเขินอาย ซ้ำยังหัวเราะออกมาเบาๆ หลิวอวี้เจินเห็นแววความหม่นล้าฉาบเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา แม้ควรรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดกันเกินไป แต่ในยามนี้ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกลับปล่อยวางเรื่องจารีตต่างๆ นั้นเสีย “เจ้าหัวเราะเรื่องใด” “ท่านเดินเข้ามาทางประตู” “หือ?”เขาเลิกคิ้วฉงนกับถ้อยคำของนาง ขยับตัวออกห่างเพื่อประคองนางขึ้นนั่ง หยิบหมอนรองแผ่นหลังให้นางได้เอนหลังพิงหัวเตียง “ปกติท่านมาพบข้ายามดึกเข้าทางหน้าต่างมิใช่หรือ?”นางย่นจมูกใส่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าของเขาออก เขาคงวิ่งวุ่นทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาดูสภาพตนเองเลยสินะ นางคุ้นชินกับภาพกัวจื่อหรานผู้หยิ่งยโส เอาแต่ใจ มิใช่บุรุษที่อมทุกข์เช่นนี้ นางไม่ต้องการเห็นทุกข์ใจจึงชวนเขาพูดคุยด้วยเรื่องอื่น “ที่นี่บ้านข
“ข้า...ข้าจะไปตามท่านหมอ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ เขากลับไปเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกครั้ง“ไม่... ไม่ต้อง... อี้เซียว” นางส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันการ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหลินยี่ห้านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอแน่แล้วจึงลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มมาให้นางล้างคอ สายตามองหากระโถนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเตียงนัก เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมาเพื่อให้ลูกสาวได้กลั้วปาก “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว” นางไม่อยากรบกวนบิดาเลย รู้สึกละอายแก่ใจแต่ยังไม่มีแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เอง ทว่าบิดากลับหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าเวลานี้ตนต้องเป็นฝ่ายดูแลลูกสาว“เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ดูแลเจ้าแล้วจะให้ผู้อื่นทำหรือไร” หลินยี่ห้านซับคราบน้ำที่ริมฝีปากของบุตรสาวอีกครั้ง “เมื่อยามที่เจ้ายังเล็ก ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อยังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าเลย”“แต่ลูกโตแล้ว ควรเป็นลูกที่ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อ” เห็นบิดายิ้มบางๆ แต่นางรู้ว่าหัวใจของบิดาทุกข์ระทมไม่น้อย “ท่านพ่อไม่อยากถามอะไรลูกหรือ?”หลินยี่ห้านได้แต่ยิ้ม ภรรยาของเขาเป็นสตรีอ่อนโยนไม่ค่อยพูดจา หลินอวี้เจินมีความอ่อนหวานที่ถอดแบบมารดามาทั้งหมด ย
“ท่านคงรู้แล้ว แม้ไม่มียาถอนพิษแต่หนทางรักษาแม่นางหลินนั้นยังพอมี” เฉียนออิ๋นอิ๋นยกมือลูบลำคอของตนเอง “ท่านยอมสละไข่มุกน้ำตาจันทราเพื่อนางหรือ?”“ข้าย่อมทำได้!” คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วนั้น กลับกลายเป็นคมมีดกรีดหัวใจเฉียนอิ๋นอิ๋น แต่กระนั้นนางยังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่นางฝึกฝนมานานเพียงเพื่อได้เคียงข้างบุรุษที่นางทุมเทใจให้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า เย็นชา“เช่นนั้นท่านจะรีดเค้นเอายาถอนพิษกับข้าทำไม? เหตุใดไม่นำไข่มุกน้ำตาจันทราไปรักษานางเสีย” ดวงตาของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย การเงียบงันคือคำตอบของเขาและทำให้นางหัวเราะเบาๆ ออกมา “นั้นเพราะท่านไม่มีไข่มุกน้ำตาจันทราใช่หรือไม่”“เจ้า!” กัวจื่อหรานกำมือแน่น สะกดโทสะของตนเองไว้จนร่างกายเกร็งไปหมดทุกส่วน เขาอยากบีบคอหญิงต่ำช้าผู้นี้นัก“ข้าอยู่ที่จวนสกุลกัวมานาน รับใช้พี่สาวมาหลายปี เรื่องแค่นี้เหตุใดข้าจะไม่รู้” นางยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขยะแขยงออกมา “หากท่านยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้ายินดีมอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้”“เงื่อนไขใด” “แต่งข้าเป็นภรรยาเอกของท่าน” น้ำเสียงของนางราบเรียบและมั่นคง ยืนยันความคิดตั