Share

Chapter5.ยกเว้น

            หลินอวี้เจินเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน บ้านหลังนี้ของท่านลุงใหญ่ตบแต่งเรียบง่ายผิดกับบ้านจู้หยางนัก  ยิ่งเทียบกับบ้านของท่านลุงรองมิได้เลย แต่กลับคล้ายบ้านของบิดาของนางยิ่ง   บิดาของนางเน้นความเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอย  โต๊ะไม้เรียบง่ายแต่แข็งแรงคงทน ภาพประดับส่วนใหญ่เป็นฝีมือนางกับบิดาเอง  นางชอบศึกษาการค้าขายมากพอๆ กับที่ฝึกฝนตนเองเรื่องการวาดภาพ   ท่านลุงใหญ่มิใคร่รู้เรื่องพวกนี้นัก หากแต่ถ้ามีหนังสือดีหรือสมุดภาพน่าสนใจก็มักส่งมาให้นางเสมอ  ร้านขายผ้าที่ท่านลุงให้นางดูแลนั้น บางครั้งบางคราว นางวาดลวดลายให้คนนำไปปักเพิ่มมูลค่าให้ผ้าของทางร้านได้อีกด้วย

            “คุณหนูเจ้าค่ะ” 

            หวังหมิ่นเรียกน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ  หญิงสาวหันมาตามเสียงเรียกเห็นท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวของอีกฝ่ายทั้งที่อายุมากกว่านาง หลินอวี้เจินส่งยิ้มกว้างแล้วเดินไปจับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม

            “อย่าเรียกข้าคุณหนูเลย เรียกอวี้เจินก็พอแล้ว”

            “บ่าวมิกล้า”

            “ท่านลุงใหญ่เข้มงวดมากหรือ?”

            “ไม่เจ้าค่ะ นายท่านดูแลพวกเราดียิ่ง” 

            หลินอวี้เจินยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าพี่หวังหมิ่นนะ”

            “ไม่ได้เจ้าค่ะ”  นางส่ายหน้าไปมา

            “ได้ซิ ข้าจะเรียกพี่หวังหมิ่น”  นางหัวเราะเบาๆ “พี่หวังหมิ่นอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ”

            “บ่าวเป็นคนเมืองตันหยาง” นางเอ่ยเสียงเบาข่มความขื่นขมในอก “บ่าวเคยเป็นหญิงรับใช้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถูกขับไล่ออกมา คราวนั้นนายท่านซื้อตัวบ่าวไว้จึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำงานรับใช้นายท่านได้สามปีแล้วเจ้าค่ะ”

            “อย่างนี้เอง”  นางพยักหน้ารับเข้าใจ “พี่หวังหมิ่น ข้าอยากเดินเล่น พี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”   

            หวังหมิ่นเคยทำงานในบ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่โตตั้งแต่เด็ก  นางเข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี คุณหนูในห้องหอหากจะออกนอกบ้านย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ติดตาม  แต่หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย นางรู้ดีว่าตระกูลหลินเพิ่งสร้างฐานะได้ไม่นาน แต่กระนั้นก็ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่มักโอ้อวด  และรังแกบ่าวไพร่  หลินเหิงอี้เป็นนายที่ดี แม้พูดจาเสียงดังและนิสัยโผงผางไปบ้าง แต่ไม่เคยดูแคลนผู้ใด หากใครทำผิดจึงลงโทษ  หากทำดีสัตย์ซื่อก็ตบรางวัลให้ทำให้ผู้ที่ทำงานด้วยล้วนทำอย่างเต็มที่

            “ถ้าแค่ใกล้ๆ ละแวกนี้ บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณหนูได้เจ้าค่ะ”  นางยิ้มบางๆ อดเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้

            “ตอนที่นั่งรถม้าเข้าเมืองมา ข้าเห็นร้านขายภาพเขียนมีคนเข้าออกจำนวนมาก ข้าอยากไปร้านนั้นจะได้หรือไม่”

            หวังหมิ่นนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ  ร้านที่ว่าอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่นานก็ถึงที่หมาย ตอนนี้ยังแดดไม่ร้อนจัด ก็เหมาะสมกับการไปข้างนอกได้อยู่

            “บ่าวจะให้คนเตรียมรถม้าก่อนนะเจ้าค่ะ” 

            “ไกลมากหรือ? เราเดินกันไปได้หรือไม่”

            หวังหมิ่นมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง  หลินอวี้เจินแม้ไม่ได้งดงามปานล่มเมือง แต่นางมีโครงหน้ารูปไข่ ดวงตาสุกใส ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวขาวราวหยกใส ท่าทางกระตือรือร้นของนางดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากหญิงสาวผู้อื่น

            “เกรงว่าจะไม่เหมาะสม คุณหนูนั่งรถม้าไปเถิดเจ้าค่ะ”

            “เวลาที่ข้าอยู่ที่จู้หยาง ก็เดินจากบ้านไปดูแลร้านขายผ้าของท่านลุงใหญ่เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

            “นั่งรถม้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเตรียมรถ คุณหนูเปลี่ยนเสื้อดีไหมเจ้าคะ”

            “เปลี่ยนทำไม  ข้าแต่งแบบนี้ออกไปข้างนอกมิได้หรือ” 

            นางเบิกตากว้าง ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ นางสวมชุดสีเขียวบงกชแบบเรียบๆ แต่ตัดเย็บประณีต บนศีรษะประดับเพียงปิ่นหยกชิ้นเดียวแต่กระนั้นกลับขับเน้นให้นางดูงดงามน่ามองไม่น้อย

            “เช่นนั้นสวมเสื้อคลุมอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ แดดแรงนัก”

            หลินอวี้เจินเพียงแค่ยิ้มรับ นางเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่น เกรงว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสมจึงเอ่ยถามออกไปก่อน หวังหมิ่นเดินเร็วๆ สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมรถม้าและเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างบอบบางของหญิงสาว จากนั้นสั่งงานบ่าวรับใช้แล้วจึงพาหลินอวี้เจินขึ้นรถม้า ขณะที่รถม้าผ่านร้านรวงต่างๆ มือเรียวเล็กยื่นไปแง้มผ้าม่านมองออกไปด้านนอกด้วยความสนใจ

            “ที่นี่คึกคักยิ่งนัก”

            “เจ้าค่ะ แต่พอถึงฤดูหนาวจะเงียบเหงานัก ปิดบ้านอยู่กันเงียบเชียบ ช่วงฤดูหนาวพ่อค้ามักหยุดเดินทางที่นี่จึงไม่ค่อยมีคนอยู่”

            “แต่ท่านลุงใหญ่มิค่อยได้กลับบ้านที่จู้หยางนัก เขามิได้อยู่ที่ตันหยางหรือ?”

            “นายท่านเดินทางตลอดเจ้าค่ะ แต่ปีที่ผ่านมานายท่านอยู่ที่นี่”

            หลินอวี้เจินไม่ได้ถามอะไรอีก นางนึกถึงที่เคยพูดคุยกับบิดา บิดาเคยเล่าว่าที่ท่านลุงใหญ่มิใคร่กลับบ้านเพียงเพราะไม่อยากคิดถึงภรรยาและลูกที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตา จึงไม่ค่อยกลับมาที่จู้หยางบ่อยนัก  นางเข้าใจดี แม้ความเจ็บปวดที่นางได้รับมิอาจเทียบกับท่านลุงใหญ่  แต่นางเองยังต้องการเวลาสำหรับรักษาบาดแผลในหัวใจ ไม่คิดถึงเรื่องราวที่จำต้องหลบหนีมาถึงที่นี่อีก

            ไม่นานนักรถม้ามาถึงที่หมาย หวังหมิ่นลงจากรถก่อนแล้วประคองหญิงสาวก้าวลงมา  วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ทำให้หลินอวี้เจินสามารถเดินดูภาพวาดในร้านได้อย่างสบายใจ  นางมักยืนมองภาพแต่ละภาพนิ่งงันและครุ่นคิด   สงบจิตใจแล้วจ้องมองรอยตวัดฝีแปรง   น้ำหนักอ่อนเบา บ่งบอกถึงจิตใจของจิตกรผู้นั้น บิดาของนางชื่นชอบการวาดภาพแต่ไม่เชี่ยวชาญนัก  จึงเชิญอาจารย์ท่านอื่นมาสอนที่สำนักศึกษาของตน  นางเองก็พลอยได้ฝึกฝนไปด้วย  นางไล่ดูแต่ละภาพ อ่านโคลงกลอนที่ปรากฏเหล่านั้น  ภาพทิวเขาสูงตระหง่านมีธารน้ำตกใส นางหมุนตัวหันไปหาหวังหมิ่น หวังจะถามหาที่ตั้งของภาพนี้  เป็นสถานที่จริงในตันหยางหรือเป็นเพียงจินตนาการของจิตกรกัน

            “พี่หวังหมิ่น อ๊ะ!”

นางหมุนตัวกลับมาโดยไม่รู้ว่าด้านหลังมีคนยืนอยู่  นางเกือบชนกับชายคนหนึ่งเขา ด้วยความไม่ต้องการแตะต้องร่างกายของฝ่ายตรงข้าม นางจึงถอยหลังหลบ แต่ไม่คิดว่าคนที่ยืนด้านหลังก็ตกใจถอยหลังเช่นกัน แต่เท้าของเขานั้นไขว้กันจนทำให้ล้มลงก้นกระแทกพื้น

            สีหน้าของอีกฝ่ายเจ็บปวดไม่น้อยแต่ไม่สงเสียงร้องสักนิด  หลินอวี้เจินตั้งสติได้จึงรีบนั่งลงยื่นมือไปแตะแขนของเขา  ดวงตาตื่นตกใจจ้องมองนางไม่ยอมกะพริบตา  หลินอวี้เจินแม้อายุสิบเจ็ดแต่นางช่วยบิดาดูแลสำนักศึกษา บ่อยครั้งที่ต้องช่วยดูแลคุณชายน้อยที่มาเรียนหนังสือ  จึงไม่รู้สึกว่าการที่ตนแตะต้องร่างกายเด็กหนุ่มคนนี้เป็นสิ่งผิด  ที่จริงนางเอกก็มีส่วนผิดที่ทำให้เขาตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status