Share

Chapter4.  ภาระหน้าที่

            ทั้งที่ในที่จวนมีบ่าวรับใช้และทหารยามมากมายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาและวังเวง     มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ไข่มุกน้ำตาจันทราหายไปจากตระกูลกัว

            กัวจื่อหรานระบายลมหายใจหนักหน่วง เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา  เจ็ดปีที่แล้วเขายังไม่ได้นั่งในตำแหน่งนี้ ช่วงนั้นเขาอยู่เมืองหลวง   เขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาทเพราะเคยเรียนฝึกเพลงกระบี่กับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท  ขณะนั้นเขาทราบข่าวเพียงแค่ว่า  อนุของบิดาพยายามหลบหนีออกจากออกจากตันหยางพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา  ซึ่งเป็นไข่มุกของตระกูลกัวที่จะมอบให้เฉพาะผู้เป็นภรรยาของประมุขรุ่นปัจจุบัน

            ตามหลักแล้วไข่มุกน้ำตาจันทราเป็นสิ่งที่มอบให้ภรรยาเอกของตระกูล และมารดาจะส่งมอบให้บุตรชายคนโตเพื่อมอบต่อให้ภรรยาเอก  เป็นเช่นนี้สืบทอดมานานยิ่ง  แต่มารดาของเขาตายจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก  ไข่มุกน้ำตาจันทราควรอยู่ในมือบิดา รอจนกว่าเขาจะพบสตรีที่เป็นคู่ชีวิตจึงส่งมอบให้ ‘สะใภ้ของบุตรชายคนโต’ รับดูแลต่อไป

            แม้บิดาของเขามีภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่อนุนั้นไม่อาจนับได้หวาดไหว  เขาเองเมื่ออายุสิบสองถูกส่งตัวไปร่ำเรียนวิชายุทธกับอาจารย์ท่านเดียวกับองค์รัชทายาท หลังจากนั้นสามปีจึงได้กลับบ้านเพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งสืบทอดจากบิดา

            กัวจื่อหรานมีพี่น้องร่วมบิดาหลายคน ทว่าเขาไม่สนิทสนมกับใครเลยสักคน  ทุกคนมักก้มหน้าหรือหลบสายตายามที่พบกันเสมอ นานวันเข้าเขาจึงชินชา จนกระทั้งปีที่เขาอายุสิบแปดจึงได้เกิดเรื่องขึ้น  เป็นปีแห่งการพลิกผัน เขารับตำแหน่งสืบทอดผู้ปกครองเมืองตันหยางจากบิดาที่ล้มป่วย และน้องชายคนเล็กถูกลักพาตัว พร้อมกับคำสั่งเสียก่อนสินใจของบิดาที่ติดตามหาไข่มุกน้ำตาจันทราคืนให้ได้

            เป็นเวลาเนิ่นนานราวเจ็ดปีที่กัวจื่อหรานออกสืบเสาะค้นหาการหายไปของ ‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’อย่างเงียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นข่าวและเป็นที่ครหา แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงกระซิบนินทาเรื่องทิ่บิดาลอบมอบไข่มุกประจำตระกูลให้อนุคนโปรด เขารังเกียจข่าวคาวเช่นนี้ยิ่งนัก!

            มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นก่อนจะทุบไปที่ผนังห้องเพื่อระบาดความโกรธแค้น!

เขาไม่มีทางเชื่อว่าบิดาจะทำเช่นนั้น  ทางเดียวที่จะแก้คำครหานั้นได้คือตามหาสิ่งที่หายไปและสืบให้รู้ความจริง

สองเดือนที่แล้ว สายสืบส่งข่าวมาว่า คนที่อนุของบิดาติดต่อก่อนตายเป็นเพียงพ่อค้าที่ตั้งตัวมาจากครอบครัวชาวนา แต่เพียงไม่นานกลับพลิกผันเป็นเศรษฐีได้  อาจเพราะแต่เดิมมีชาติกำเนิดมาจากชาวนายากจน  หลินเหิงอี้จึงมีนิสัยโผงผาง พูดจาเสียงดังแลดูไร้มารยาท แต่เจ้าเล่ห์ในการต่อรอง  ไม่รู้เหตุใดอนุของบิดาผู้เรียบร้อยอ่อนหวานของเขาจึงได้รู้จักชายไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้

            “หลานสาว? นี่กล้าพาหลานสาวมาถึงที่นี่รึ!!”

กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอ เอาซิ! ขอให้ได้เห็นหน้าเห็นตาหลานสาวคนใจสกปรกผู้นั้นก่อนเถิด แล้วเขาอาจเมตตาต้อนรับอย่างไม่รู้ลืม!

            เพล้ง!!!

            เสียงของตกแตกทำให้กัวจื่อหรานตื่นจากภวังค์  เขาก้าวเท้าออกไปตามเสียงที่ได้ยิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานนัก   หญิงรับใช้สองคนที่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาต่างพากันถอยออกห่างเหลือเพียงชายเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่บนพื้นที่มีเศษแก้วกระจัดกระจาย

            “อี้เซียวเจ้ากำลังทำอะไร” น้ำเสียงเนืองๆ ถามอย่างไม่ได้จะเอาความผิดแต่ประการใด เขาโบกมือให้บ่าวรับใช้ถอยห่างแล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า

            “พี่ใหญ่!”  เด็กหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าเห็นดอกไม้ในแจกันนี่สวยดี อยากจะเอาดอกไม้ให้ท่านพี่แต่ข้าเอาออกไม่ได้ก็เลยทำแจกันแตก”

            “อ่อ…”  กัวจื่อหรานมองดูเศษแก้วที่กระจัดกระจายเกลื่อนอยู่ที่พื้น แจกันแก้วเจียระไนเป็นของล้ำค่า บรรดาบ่าวรับใช้จึงหวาดกลัวจนตัวสั่น

“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

            “ไม่ๆ แต่ข้าทำแจกันแตก” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วยิ้มเจือน “พี่ใหญ่โกรธข้าหรือไม่”

            “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” เขาพยุงน้องชายต่างมารดาขึ้นยืนแล้วหันไปทางสั่งบ่าวไพร่จัดการเก็บกวาดเศษแก้ว  “คราวหน้าเจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย”

            “อืม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้วอยากกินของหวานๆ พี่ใหญ่ไปกินกับข้านะ”

            “พี่ไม่ชอบของหวาน” กัวจื่อหรานถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปกินเถอะ”

            “อืม”    

            กัวจื่อหรานได้แต่มองร่างของน้องชายต่างมารดาด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน      ปีนี้กัวอี้เซียวอายุสิบสี่แล้ว  ตอนที่กัวอี้เซียวอายุเจ็ดขวบเคยถูกโจรลักพาตัวไป ตอนนั้นบิดาล้มป่วยอยู่ก่อนแล้ว เป็นเขากับกองทหารไล่ล่าจนพากัวอี้เซียวกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับนิ่งเงียบไปหลายวัน    

คราแรกหมอเข้าใจว่าเป็นเพราะตกใจอย่างหนัก แต่เมื่อค่อยๆ ดูอาการต่อมาจึงรู้แน่ชัดว่า กัวอี้เซียวได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนเหมือนสติปัญญาจะหยุดการเจริญเติบโต  เขากลายเป็นเด็กเจ็ดขวบที่ไม่ประสีประสาและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แม้ในขณะนี้เขาจะเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีแล้วก็ตาม

            บิดาของของเขามีลูกมากมายก็จริง  แต่มีเพียงไม่กี่คนที่บิดารับมาอยู่ในจวนและมอบฐานะให้ สำหรับกัวอี้เซียวก็เป็นหนึ่งใน ‘ลูกรัก’ ที่บิดาเป็นกังวล ก่อนที่จะสิ้นใจทรงย้ำหนักหนาให้เขาดูแลกัวอี้เซียวอย่างดีที่สุด           

            ภาระและหน้าที่มันช่างแสนหนักหน่วงจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนไหล่ทั้งสองถูกกดทับด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น  อีกนานเท่าไหร่ที่ภาระหน้าที่เหล่านั้นจะเบาบางลงเสียที

จะมีสักวันไหมที่เขาจะได้ยิ้มหรือหัวเราะเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป

            หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่หลินอวี้เจินก็พร้อมที่จะออกไปผจญภัย  แต่เพราะหลินเหิงอี้ยุ่งกับการตระเตรียมของขวัญสำหรับท่านเจ้าเมือง  หลินอวี้เจินไม่มีหญิงรับใช้ข้างกาย แม้ครอบครัวของนางมิได้ขัดสน  ฐานะของท่านลุงใหญ่ค้ำชูครอบครัวให้มีความเป็นอยู่สุขสบาย แต่ที่บ้านมีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน หลังจากมารดาตายไป  นางรับหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านด้วยตนเอง และเมื่อบิดาอนุญาตให้นางเดินทางไกลเป็นครั้งแรก  ท่านลุงใหญ่เป็นผู้จัดการตระเตรียมรถม้าและคนดูแลนางไว้พร้อมสรรพ ด้วยเป็นช่วงที่ส่งสินค้ากลับมาที่เมืองจู้หยางพอดี  นางจึงได้อาศัยเดินทางกลับมาที่ตันหยางพร้อมกัน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status