แชร์

Chapter3. หวังใจเหลือเกินว่า

หลินเหิงอี้หัวเราะอารมณ์ดีซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาเป็นแบบนี้นัก  อาจเป็นเพราะได้อยู่กับหลานรักก็เป็นได้ เขาพานางเดินเข้ามาในบ้านพักของตน เรือนหลังขนาดกำลังดีไม่ใหญ่โตเกินไป มีบ่าวรับใช้อยู่ประมาณยี่สิบคน  พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บสินค้าที่ซื้อมาเพื่อนำไปขายต่ออีกเมือง

            “ท่านปู่ท่านย่าฝากยาสมุนไพรมาให้ท่านลุงไว้บำรุงร่างกายด้วยเจ้าค่ะ”   แม้นางจะไม่สนิทสนมกับท่านปูและท่านย่า แต่ก็ไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ

            “เหตุใดไม่เก็บไว้เองหนอ” หลินเหิงอี้โคลงศีรษะไปมา เขาเป็นลูกชายคนโตแต่ไม่ได้อยู่ดูแลบิดามารดา ต้องให้น้องชายคนรองรับผิดชอบหน้าที่นี้

            “ท่านปู่กับท่านย่าเป็นห่วงท่านลุงนี่เจ้าค่ะ”  หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงสดใส “ท่านลุงไม่มีผู้ใดดูแลข้างกาย เอ๊ะ! หรือจะมี?”

            ด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก หลินอวี้เจินจึงกล้าหยอกล้อ  ยังไม่ทันที่หลินเหิงอี้จะเอ่ยตอบอะไร  หญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

            “อาหารเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”  

            หลิวเหิงอี้พยักหน้ารับ “หลานอยากกินข้าวก่อนไหม หรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดี”

            หลิวอวี้เจินสบตากับหญิงสาวเบื้องหน้า นางแต่งกายเรียบง่าย ใบหน้าแต้มแต่งสีสันบางๆ แลดูสุภาพเรียบร้อย แล้วนางก็กลอกตามองทางท่านลุงที่ยืนรอคำตอบของนางอยู่  แม้นางไม่เอ่ยปากถามอะไร แต่กลับรู้ได้ว่าหลานสาวสงสัยเรื่องใดอยู่

            “บ่าวชื่อหวังหมิ่นเจ้าค่ะ หากคุณหนูหลิวอวี้เจินมีสิ่งใดต้องการสามารถเรียกใช้บ่าวได้”

            “ไม่ต้องเรียกข้าคุณหนูหรอก”  นางโบกไม้โบกมือไปมา “หากท่านลุงไม่ถือสา หลานอยากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเจ้าค่ะ”

            “เอาเถิด เราอยู่กันเอง ลุงไม่เคร่งครัดอะไร” 

หลินเหิงอี้มองหลานสาวเต็มตาอีกครั้ง  เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เคยอุ้มหยอกล้อนั้น บัดนี้กลายเป็นสาวงามไม่น้อย  หลินยี่ห้านแทบไม่เคยขอความช่วยเหลือใดๆ จากเขาเลย จนกระทั้งมีจดหมายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น   แต่เดิมเขาเองก็ไม่ค่อยชอบคู่หมั้นของหลินอวี้เจินนัก  เป็นผู้ชายที่ดูเหลาะแหละมากกว่าที่จะเป็นผู้นำครอบครัวได้  แต่เมื่อหลานสาวรักใคร่ชอบพอและหลินยี่ห้านเห็นเหมาะสม เขาเป็นแค่ลุงจึงไม่ได้คัดค้าน แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นมาจนได้

            “เช่นนั้นหลานพักผ่อนก่อนเถิด”  หลินเหิงอี้พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต  “ลุงต้องเตรียมหาของขวัญไปมอบให้ท่านเจ้าเมือง”

            “ท่านลุงสนิทสนมกับท่านเจ้าเมืองด้วยหรือเจ้าคะ”

 นางอดประหลาดใจไม่ได้  ต้นตระกูลของนางเป็นชาวนา มีท่านลุงใหญ่บุกเบิกทำการค้า แต่จากที่บิดาเล่าให้นางฟัง รุ่นหลานอย่างนางถือว่าเกิดมาไม่ต้องพบความยากลำบากเพราะท่านลุงหลินเหิงอี้

            “อีกสองวันวันเกิดท่านเจ้าเมือง”    หลินเหิงอี้อธิบาย “ใต้เท้ากัวจื่อหราน อายุเพียงยี่สิบห้า แต่ผลงานมากมายนัก ที่นี่เคยประสบปัญหาโจรดักปล้นสินค้าบ่อยครั้ง ใต้เท้ากัวนำทหารไม่กี่ร้อยนายกวาดล้างจนสงบ ทำให้ชาวเมืองไม่ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ลุงเองแม้เป็นคนต่างถิ่นแต่อยู่ที่นี่มาหลายปี อย่างไรก็ควรมีของขวัญไปคารวะใต้เท้ากัว”

            “ใต้เท้ากัวจื่อหราน”  หลินอวี้เจินทวนคำ

            “อืม หล่อเหลางามสง่า ยิ่งอยู่บนหลังอาชาองอาจดุจแม่ทัพใหญ่เชียวล่ะ” หลินเหิงอี้ลอบมองหลานสาวแล้วกระตุกยิ้ม “ที่สำคัญยังไม่ได้แต่งภรรยาเอกเสียด้วย”

            “ท่านลุง!”  หญิงสาวถอนหายใจใส่  “เลิกล้อเล่นกับหลานเถิดเจ้าค่ะ”           

หลินเหิงอี้วิได้แต่มองหลานสาวอย่างพอใจ เขาเลือกใช้ชีวิตเดินทางไปทั่วเพื่อค้าขาย เพราะทำงานหนักจึงแต่งงานช้า ภรรยาของเขามีบุตรยาก ตั้งครรภ์แรกก็พร้อมกับภรรยาของน้องชายคนเล็ก แต่เขากลับโชคร้ายสูญเสียภรรยาและลูกในครรภ์ไปในเวลาเดียวกัน  เมื่อเห็นหลินอวี้เจินเกิด เขาจึงเผลอคิดไปว่าหลินอวี้เจินก็เหมือนลูกของตน   แต่ด้วยการเลี้ยงดูของน้องชายผู้เป็นบัณฑิต  นางจึงมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป  เขาจึงพึ่งพอใจที่เห็นหลินอวี้เจินมีบุคลิกนิสัยใจคอเช่นนี้ และยอมให้นางดูแลร้านขายผ้าของเขา แม้จะเป็นเพียงการดูแลบัญชีและเรื่องทั่วไป แต่นางก็ทำได้ดียิ่ง เขาคิดเสมอว่าหากตนเป็นอะไรไป ทรัพย์สมบัติทั้งหมดในส่วนของเขานั้นจะยกให้หลินอวี้เจิน

ชายวัยกลางคนหวังใจเหลือเกินว่า...จะไม่มีเรื่องยุ่งวุ่นวายใจใดๆ กับหลานสาวสุดที่รักคนนี้ระหว่างที่เธอพักรักษาแผลใจที่เมืองตันหยางแห่งนี้

            บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งตวัดชายเสื้อแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานในห้อง  ดวงตาคมปราบปรายตามองหนังสือรายงานซึ่งวางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้แดงหรูหราสมฐานะเจ้าเมืองตันหยาง

            “มีความเคลื่อนไหวใดอีกหรือไม่”   จำได้ว่าหลายปีมานี่ หลินเหิงอี้อาศัยอยู่ในเมืองตันหยางโดยไร้สตรีข้างกาย

            “เท่าที่สายของเรารายงานมา หลินเหิงอี้เพิ่งรับหลานสาวมาอยู่ด้วยขอรับ”

            “หลานสาว?”     

            “ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของหลินยี่ห้าน น้องชายคนเล็กของหลินเหิงอี้ขอรับ”

กัวจื่อหราน นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือลูบคางของตน “มีข้อมูลหรือไม่”

            “รู้เพียงเบื้องต้นว่าชื่อหลินอวี้เจิน อายุสิบเจ็ดบิดาคือหลินยี่ห้านเปิดสำนักศึกษาเล็กๆ นางหมั้นหมายกับบุรุษผู้หนึ่งแต่เมื่อสามเดือนก่อนกลับไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง บิดาจึงส่งมารักษาแผลใจกับผู้เป็นลุงคือหลินเหิงอี้”          

จางหยวน ผู้ติดตามข้างกายกัวจื่อหรานมานานกว่าสิบปีเงยหน้ารายงาน “หากใต้เท้าต้องการ ข้าน้อยจะสืบหาข้อมูลมาให้ทราบมากกว่านี้”

            “ดี...เพื่อจำเป็นเราอาจต้องใช้นาง”

            “เพื่อแลกกับไข่มุกน้ำตาจันทราหรือขอรับ” 

            กัวจื่อหรานกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าต่าง   ตันหยางเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์นอกแนวกำแพงเมืองคือภูเขาสูงตระหง่านเป็นแหล่งสินแร่มีค่ายิ่ง  ตระกูลกัวปกครองเมืองตันหยางมาหลายชั่วอายุคน กัวจื่อหรานที่รับตำแหน่งนี้มาเจ็ดปีพอดี  แม้จะรับตำแหน่งนี้มาเพียงเจ็ดปี แต่เพราะติดตามบิดามาตั้งแต่เด็ก  เขาถูกฝึกฝนมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง ทั้งฝึกยุทธและศึกษาการปกครองล้วนไม่ด้อยกว่าผู้ใด  เขาปกครองตันหยางด้วยความเด็ดขาด เหล่าหทารในการปกครองล้วนภักดีต่อเขา  เช่นเดียวกับชาวบ้านที่รักใคร่เทิดทูนเขาประดุจเทพเซียน

            “ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าต้องเอาไข่มุกน้ำตาจันทรา กลับคือสู่ตระกูลกัวให้ได้!”

            น้ำเสียงที่ประกาศกร้าวของกัวจื่อหราน ทำให้คนสนิทได้ยินถึงกับเย็นสันหลังวาบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แล้วยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามดุจราชสีห์

            กัวจื่อหรานหันหลังกลับมามองจางหยวนแล้วโบกมือ

            “เจ้าไปพักผ่อนได้แต่พรุ่งนี้ข้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับหลานสาวของหลินเหิงอี้”

            “ขอรับ”  จางหยวนประสานมือทำความเคารพแล้วก้าวออกไปเงียบๆ

            กัวจื่อหรานบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี  มีใบหน้าเคร่งขรึมอยู่เสมอ แม้หน้าที่การงานหนักหน่วงเพียงใด      แต่สำหรับเขาแล้ว “ไข่มุกน้ำตาจันทรา” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอ

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status