แชร์

Chapter2.หลินอวี้เจิน

 ในบรรดาหลานทั้งหมด หลินเหิงอี้ชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด  นางเรียบร้อยสุภาพอ่อนหวานแต่ซ่อนความดื้อรั้นไว้  เขามักตามใจและเอ็นดูนางมากกว่าผู้ใด

หลินอวี้เจิน มีชายที่หมั้นหมายกันเมื่อราวสองปีก่อน  เป็นการหมั้นหมายอย่างเรียบง่ายเพียงแลกหยกประจำตระกูล  นางหมั้นหมายกับติงกว่างอาน เขาเคยเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลินยี่ห้าน

จนกระทั้งปีนี้สอบจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ  นำความปลื้มปิติมาสู่วงศ์ตระกูลรวมทั้งนางด้วย ทว่านางกลับต้องมาพบความจริงว่าคู่หมั้นของนางนอกใจ  และทำหลินซูซิน ญาติผู้น้องตั้งครรภ์   ติงกว่างอานไม่ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายกับนาง แต่ขอแต่งหลินซูซินเข้าบ้านก่อนแล้วอีกครึ่งปีจะแต่งนางเข้าไป

ราวกับฟ้าผ่าทั้งที่แดดเปรี้ยง นางแน่นหน้าอกหายใจแทบไม่ออก  บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่นางกับเขาเคยพูดคุยกันแล้วว่า  หากแต่งนางเป็นภรรยาแล้วจะมีนางเพียงหนึ่ง  ไม่มีภรรยารองหรือแม้แต่อนุ  นางอาจเป็นหญิงที่เห็นแก่ตัวแต่นางไม่อาจใช้สามีร่วมกับผู้อื่น   นางเห็นมามากแล้ว ครอบครัวที่มีหลายภรรยานั้นวุ่นวายเพียงใด นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตบแต่งแย่งชิงสามีกับภรรยารองหรืออนุเป็นแน่  นางหวังเพียงสร้างครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่น  เช่นเดียวกับบิดามารดาของนาง

หลินอวี้เจินอาจปวดใจน้อยกว่านี้ ถ้าสตรีที่ติงกว่างอานมีความสัมพันธ์ไม่ใช่ญาติผู้น้องของนางเอง

            ‘เจินเอ๋อร์...เจ้าโกรธเกลียดข้าเถิด แต่อย่าโทษติงกว่างอ่านเลย เป็นข้าที่เข้าไปหาเขาในคืนที่เขาเมามายเอง แต่เจ้าจะให้ลูกของข้าเป็นลูกไม่มีพ่อหรือ? เจ้าทำได้หรือ?’

            หลินอวี้เจินยกมือทาบหน้าอก  ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนเจ็บปวดหัวใจไปหมด  แค่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น ร่างกายนางแทบจะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว   หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดที่วิ่งวนในศีรษะ   รับรู้ได้ว่ารถม้าหยุดนิ่งสนิทแล้ว นางจึงก้าวลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แม้นางจะเป็นเพียงสตรี  แต่บิดาสอนเรียนเขียนอ่านด้วยตนเอง

            “ท่านลุงใหญ่” ให้นางดูแลร้านขายผ้า ทำให้นางออกนอกบ้านไปดูกิจการที่ร้านบ่อยๆ  นางไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ  บิดาให้อิสระแก่นาง แต่อยู่ในกรอบจารีตประเพณีอันดีงาม  ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้

            “เจินเอ๋อร์!!”      

            “ท่านลุงใหญ่”   

            หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วเร่งเดินไปหาชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ปีนี้อายุสี่สิบปีแล้ว  หลินเหิงอี้เบิกตามองหลานสาวที่ไม่ได้เจอกันปีเศษ   แต่กระนั้นข่าวคราวความเคลื่อนในบ้านเขาย่อมรู้ดีทุกเรื่อง  หลินเหิงอี้ไม่มีบุตร  หลังภรรยารักตายจากเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับกิจการการค้าของตระกูล ในบรรดาหลานๆ ที่เขาพบเจอนั้น  เขาชื่นชอบหลินอวี้เจินมากที่สุด

อาจเพราะนางมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่และมีความดื้อรั้นเหมือนเด็กน้อย ผิดกับหลานอีกสองคนที่ถูกเลี้ยงอย่างตามอกตามใจจนแทบจะเสียคนอยู่แล้ว      หลินยี่ห้านเป็นน้องชายคนเล็กของเขา มีนิสัยรักสันโดษ ใฝ่รู้ ในครั้งนั้นแม้ครอบครัวยังเป็นเพียงชาวนา แต่บิดาเห็นหลินยี่ห้านหัวดีจึงผลักดันให้ได้รับการศึกษา ต่อมาแม้สอบเป็นบัณทิตเล็กๆ ได้ก็ทำงานราชการตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่โต แต่ด้วยความเถรตรงจึงไม่ก้าวหน้า ทำงานอยู่นานหลายปีสุดท้ายก็รวบรวมเงินที่มีอยู่เปิดสำนักศึกษา

ปีแรกๆ มีเด็กมาเรียนแค่สี่ห้าคน  แต่ช่วงนั้นกิจการการค้าของเขาเป็นไปอย่างดี  ได้กำไรค่อนข้างงาม  ฐานะเปลี่ยนไปอย่างมากจนหลายคนไม่เชื่อว่าแต่เดิมครอบครัวนี้เป็นเพียงชาวนายากจนมาก่อน   เขาช่วยเหลือหลินยี่ห้านตั้งแต่เด็ก จะว่าไปก็เลี้ยงน้องจนเหมือนเลี้ยงลูก  เมื่อหลินยี่ห้านเปิดสำนักศึกษา  เขาย่อมให้ความช่วยเหลือ ค่อยแนะนำชักจูงให้บุตรหลานผู้อื่นมาเรียนที่สำนักศึกษาของน้องชายคนเล็ก จากนั้นจึงเริ่มมีนักเรียนเพิ่มขึ้น สำนักศึกษาจึงดีขึ้นตามลำดับ

            “เป็นอย่างไรบ้าง เดินทางมาแรมเดือนลำบากเจ้าแล้ว”

            หญิงสาวส่ายหน้าไปมา  แม้บิดาให้อิสระแก่นาง  แต่นางไม่เคยเดินทางออกนอกเมืองเลยสักครั้ง นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรก  อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บิดาอนุญาตให้นางเดินทางมาหา ‘ท่านลุงใหญ่’  ที่เมืองตันหยางแห่งนี้           

            “ไม่เลยเจ้าค่ะ หลานตื่นเต้นมากกว่า” หญิงสาวยิ้มราวเด็กน้อยที่ได้ออกมาผจญภัย

            “มาที่นี่ ลุงจะพาเที่ยวไม่ให้มีเวลาเหงาเลย”

            “ท่านลุงจะมีเวลาพาหลานเที่ยวหรือคะ” นางหัวเราะออกมา ใครต่อใครรู้ดีว่าหลินเหิงอี้มีงานยุ่งมากเพียงใด

            “เพื่อหลานรัก ลุงย่อมหาเวลาให้ได้อยู่แล้ว”

            ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง  หลินเหิงอี้นึกขึ้นได้เรียกบ่าวรับใช้ให้จัดการย่ามเดินทางให้หลานสาว แต่นางกลับยื้อไว้จะถือเอง

            “มีอะไรสำคัญหรือ?”  หลินเหิงอี้ถามอย่างแปลกใจ

            “แค่...อุปกรณ์วาดรูปเจ้าค่ะ”        

หลินอวี้เจินพูดอย่างเขินอาย นางไม่ห่วงเรื่องเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับใด        แต่อุปกรณ์สำหรับวาดรูปรวมทั้งเครื่องเขียน ล้วนเป็นสิ่งคัญยิ่งสำหรับนาง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกใจสงบและนิ่งลงได้อย่างประหลาด ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม

“ไม่ต้องกังวลไป คนของลุงจะดูแลอย่างดีดุจเดียวกับ ‘น้ำตาจันทรา’ เชียวละ”  หลินเหิงอี้หัวเราะในลำคอแล้วส่งย่ามของหลานสาวให้คนสนิทถือเดินนำไปที่ห้องพักของหลานรัก  

หลินอวี้เจินเอียงคออย่างสงสัย “น้ำตาจันทราคืออะไรหรือเจ้าคะ”

“ไข่มุกน้ำตาจันทรา”  ชายต่างวัยมองอย่างงุนงงไม่แพ้กัน “นี่หลานไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลยหรือ?”

หลินอวี้เจินส่ายหน้าไปมา “หลานไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้”

หญิงสาวตอบไปตามจริง แม้หญิงสาวทั่วไปสนใจเครื่องประดับ หรือแพรพรรณงดงาม แต่สำหรับนางกลับหลงใหลในหนังสือหรือตำรา  อาจเพราะบิดาเพาะบ่มนางด้วยกลิ่นอายของกระดาษ นางจึงชอบการอ่านเป็นอย่างยิ่ง และชื่นชอบพอๆ กับการวาดรูป  นางวาดรูปได้ธรรมดาสามัญ มิอาจอวดอ้างกับผู้ใดได้  แต่การวาดรูปนั้นทำให้นางผ่อนคลายที่สุดและใจสงบที่สุด

 “เอาเถิด อยู่ไปนานๆ ก็คุ้นชินไปเอง”  หลินเหิงอี้แหงนหน้าหัวเราะ “ลุงไม่ให้อยู่ว่างเป็นแน่”

“หากมีสิ่งใดที่หลานทำได้ หลานยินดีทำให้เจ้าค่ะ”   นางหัวเราะคิกคัก แม้ไม่ได้พบกันบ่อยนัก แต่เมื่อครั้งที่ยังเด็ก นางจำได้ว่าหลินเหิงอี้เอ็นดูนางมาก เคยอุ้มนางดูโคมไฟ  ตามใจนางประหนึ่งเป็นลูกในไส้ก็ว่าได้   บิดาไม่ห้ามปรามด้วยเข้าใจว่าหลินเหิงอี้เห็นนางเป็นเหมือนลูกจริงๆ  เพราะหลินเหิงอี้เสียทั้งภรรยาและลูกไปก่อนที่นางจะเกิดแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status