ระหว่างการเดินทางไปเยือนตำหนักฮองเฮายามนี้
รอบด้านนับได้ว่างดงามมากนัก ประหนึ่งเดินผ่านสรวงสรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น เพราะมีทั้งน้ำตกจำลอง ทะเลสาบสีฟ้าคราม สวนดอกไม้นานาพันธุ์ สระดอกบัวหลากสีสัน ศาลาริมบึง และพระตำหนักแสนวิจิตรต่างๆ
ร่างระหงสมส่วนในอาภรณ์แตกต่างกำลังเดินเคียงข้างจับประคองไปตามทาง เพื่อชื่นชมทุกความละลานตาสุดจะหยั่ง
หนึ่งคือสาวงามผู้สวมชุดหรูหราเครื่องประดับประดาเต็มศีรษะ ใบหน้าแต้มชาดสะดุดตา อีกหนึ่งคือสาวงามสวมเพียงชุดสาวใช้ธรรมดาผ้าสีเขียวใบไผ่
ทั้งสองคือโม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ย
พวกนางพากันเดินแช่มช้อยแต่นำหน้าบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิงไปไกลโขอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทั้งอย่างนั้น รถม้าและขบวนข้ารับใช้คนอื่นได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ อย่างงุนงง
หมิงจินที่เดินเยื้องไปทางแผ่นหลังของหมิงเฉิงเล็กน้อย ลอบมองพระชายาเอกของพี่ชายกับสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาคมกริบเฉียบคม
เขาสังเกตได้ว่า สาวใช้ผู้นี้คล้ายกับมิได้เป็นฝ่ายจับประคองพระชายา หากแต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คล้ายกับจับประคองสาวใช้
เรียวคิ้วคมพลันขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นสตรีทั้งสองคนผู้เดินทอดน่องท่ามกลางแสงแดดจ้าที่มีริมทางเป็นทิวทัศน์งามเด่น พวกนางต่างเปล่งประกายเจิดจรัสเฉพาะตัวออกมา
คนหนึ่งสวยงามราวกับนางมารจำแลงมาจากอีกภพ รัศมีโดดเด่นเหนือหมู่มวล ส่วนอีกคนกลับงดงามราวภาพฝันอันแสนหวาน ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ผู้อ่อนโยน
สตรีทั้งสองพูดคุยหยอกล้อประหนึ่งเป็นสหาย
หาใช่นายบ่าว!
แววตาคมเฉี่ยวราวกับเหยี่ยวตัวใหญ่ของกุนซือหนุ่มในชุดราชองครักษ์จ้องมองสตรีบ้านโหวไม่วางตา
เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยผ่าน...
ยามนี้โม๋เอ๋อร์กับหยูเสวี่ยคล้ายกับลืมตัวไปแล้วจริงๆ ว่าตนเองกำลังเล่นงิ้วโรงใด
เนื่องจากโม๋เอ๋อร์ต้องการเวลาสักเล็กน้อยให้ตัวเองได้ปรับตัว หลังจากที่ทำพลาดเรื่องอาการตื่นเต้นอันยากจะเข้าใจ
ทั้งยังนึกห่วงใยหยูเสวี่ยที่บอบบางแต่ต้องมาเดินตรากตรำเสียไกล นางจึงจงใจปฏิเสธนั่งรถม้าด้วยเหตุผลว่าต้องการชื่นชมธรรมชาติรอบด้านอย่างแช่มชื่นรื่นรมย์
ภายในวังแห่งนี้ก็กระไร กว้างใหญ่เหลือเกิน ให้รู้สึกเหมือนพากันเดินข้ามภูเขาเป็นลูกๆ กระนั้น
แล้วอย่างนี้ หยูเสวี่ยจะไม่เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร
“คุณหนูไหวหรือไม่? นั่งพักก่อนดีหรือเปล่า?”
โม๋เอ๋อร์กระซิบถามหยูเสวี่ยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน
“ไม่เป็นไร พิษในร่างกายสลายไปหมดแล้ว อย่าได้ห่วง”
หยูเสวี่ยตอบกลับพร้อมพยายามจับประคองพระชายา แต่ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก แค่เดินอย่างเดียวก็หน้าซีดแล้ว จึงกลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายช่วยยื้อเอาไว้มิให้ล้มลงไปเสียมากกว่า
พิษชนิดนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด แม้จะได้โม๋เอ๋อร์ช่วยสลายให้จนสิ้น แต่ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ อีกทั้งวันนี้ต้องเดินเท้ามาไกล นางไม่เคยได้ออกแรงเท่านี้มาก่อน คุณหนูในห้องหอเยี่ยงนางจึงอ่อนปวกเปียกสิ้นดี
ขณะที่กำลังเดินชมอุทยานหลวงมาเรื่อยๆ หยูเสวี่ยมองทางหางตาแล้วประเมินเห็นว่าห่างออกมาจากรัชทายาทและขบวนเดินทางพอควร จึงกระซิบถามโม๋เอ๋อร์ตามตรงอย่างห่วงใย
“ก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดรัชทายาทจึงทำท่าทางคล้ายกับต้องการรังแกเจ้าเยี่ยงนั้น”
ผู้ถูกถามถอนหายใจออกมาแล้วหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด
เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะยอมรับเสียงเบาว่า “ในรถม้า ข้าช่วยนวดให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ แล้วก็ขึ้นนั่งตักเขาอย่างย่ามใจ ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งร้อนๆ แข็งๆ ทิ่มแทงตรงบั้นท้าย ข้าตกใจมาก คิดว่ามันต้องเป็นอาวุธร้ายแน่ๆ จึงหนีเขา แต่เขาก็ตามติดอย่างที่เห็น”
โม๋เอ๋อร์เล่าจบก็ได้เห็นหยูเสวี่ยทำสีหน้าแปลกประหลาด เมื่อกวาดสายตาไปทางขวาอีกนิด ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาดำคล้ำของสามี และน้ำเสียงเย็นยะเยือกคำรามว่า
“เรื่องนี้ ใช่สมควรเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือไร?”
“...”
จบเสียงเข้มที่ดังขึ้นด้านหลังนางในระยะประชิดตัว โม๋เอ๋อร์ก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดที่ลำคอด้วยวงแขนล่ำสัน แล้วลากกันไปยังทิศทางหนึ่ง
โม๋เอ๋อร์ใช้เวลาตอบคำถามของหยูเสวี่ยเนิ่นนานจนเกินไป ทั้งยังไม่ทันตั้งตัว กระทั่งสามีมาที่ด้านหลังเมื่อใดยังไม่อาจทราบ แม้แต่เสียงร้องยังไม่ทันหลุดออกจากริมฝีปากบางอิ่ม นางก็ถูกลากออกห่างจากหยูเสวี่ยเสียแล้ว
หมิงเฉิงห้ามใจตนเองมิให้อุ้มพระชายาพาดบ่าแล้วตีก้น จึงทำได้เพียงรัดคอโอบไหล่ให้นางออกจากการสนทนา
ในหัวข้อเรื่องของแข็งร้อนทิ่มแทงบั้นท้าย
ซึ่งเขารู้ดีว่ามันคือสิ่งใด หากแต่นางกลับไม่รู้ ทั้งยังเอามาพูดเล่าสู่กันฟังประหนึ่งมันคือเรื่องทั่วไป
มันสมควรหรือไม่?
เรื่องนี้ควรรู้เพียงสองคนมิใช่หรือไร?
ชายหนุ่มจึงจับหญิงสาวผู้เป็นภรรยาในท่วงท่าหมิ่นเหม่ คล้ายกอดรัดกันอย่างเร่าร้อน ประหนึ่งอุทยานแห่งนี้คือห้องนอน
สตรีผู้ถูกกอดรัดจนใบหน้าฝังอยู่ในแผงอกหนาแน่นทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ออกมา “สามีปล่อยภรรยานะ”
อีกครั้งที่โม๋เอ๋อร์ต้องทำทีเป็นสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร เพื่อบอกกล่าวเจ้าของวงแขนร้อนผ่าวอย่างไม่เข้าใจอันใด เพราะว่านางกำลังรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว เมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ไม่มีทาง!”
และอีกคราที่เสียงทุ้มต่ำตอบกลับอย่างเผด็จการ
หมิงเฉิงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสตรีนางนี้เป็นใครกันแน่!
ไยน่าตียิ่งนัก!
รอบด้านแห่งนี้คืออุทยานหลวงอันยิ่งใหญ่มีภูเขาจำลอง มีน้ำตกงดงามปล่อยสายธารามาบรรจบกับบึงดอกบัว มีสะพานโค้งยาวเชื่อมต่อระหว่างอุทยานสองฝั่ง มีศาลาชมจันทร์ยามราตรี มีตั่งประดับบุปผาให้นั่งชมตะวันในยามทิวา มีทุกสิ่งสรรสร้างที่เรียกได้ว่าละลานตาอย่างที่สุดสถานที่แห่งนี้จึงมักจะมีเหล่าชนชั้นสูงแห่งวังหลวงมาเดินเล่นด้วยเหตุผลต่างๆ บ้างเดินชมทิวทัศน์ บ้างล่อลวงพยัคฆ์ บ้างโปรยเสน่ห์สาวงามยามนี้ในอุทยานหลวงจึงมีองค์หญิงและคุณหนูที่มีสายสัมพันธ์กับราชนิกุล กำลังเดินไปเดินมาประปรายห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ที่กำลังอยู่ในท่วงท่าคล้ายกอดรัดประหนึ่งจะฟัดกัน จึงมีองค์หญิงหมิงเยว่ชิงกับคุณหนูกู่โหยว่หลันยืนมองอยู่ในระยะสายตาไม่ไกลนัก พวกนางมองสองชายหญิงนิ่งนานสตรีทั้งสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เนื่องจากสตรีสกุลกู่ได้เป็นพระสนมขั้นผินและให้กำเนิดธิดาหนึ่งคน คือหมิงเยว่ชิงตำแหน่งสนมขั้นผินไหนเลยจะเพียงพอต่ออำนาจให้วงศ์ตระกูล การให้กำเนิดสายเลือดมังกรเป็นธิดาหาใช่โอรสจะเพียงพอให้ยืนหยัดได้อย่างไรเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งหนึ่งในพระชายาแห่งองค์รัชทายาทจึงเป็นเป้าหมายในการต่อชะตาให้สกุล ซึ่ง
พฤกษายืนต้นออกดอกบานสะพรั่ง ลมเย็นพัดโชยพากลีบดอกร่วงโรยพลิ้วตัวลงมาที่ใต้ต้นอย่างสวยงามสีสันละลานตาของกลีบบุปผา พากันปลิดปลิวทิ้งตัวลงมาโอบล้อมรอบเรือนกายของสองชายหญิงใต้ต้น จนเกิดเป็นภาพชวนมอง ดุจมายาแห่งดอกไม้บนชั้นฟ้าโม๋เอ๋อร์ยังคงพยายามบิดตัวออกจากวงแขนร้อนผ่าวของหมิงเฉิงอย่างนุ่มนวลแนบเนียน ผนึกปราณเย็นซ่อนเร้นปราณเทพและไม่คิดออกแรงให้มากกว่าที่ควร จนอาจผิดสังเกตในขณะที่หมิงเฉิงก็ก้มหน้าประชิดนางไม่ห่างไป ดวงตาเรียวคมจับจ้องดวงเนตรงามในระยะที่ใกล้กันมาก วงแขนที่รัดรึงยิ่งรัดแน่นไม่คิดคลายออกร่างระหงนุ่มนิ่มจึงฝังแน่นตรงแผงอกหนา ยังผลให้ลมหายใจกรุ่นร้อนจากปลายจมูกโด่งสันเป่ารดใบหน้านวลเนียนตลอดเวลาหญิงสาวจึงร้อนวูบวาบไปหมด รู้สึกตื่นเต้นแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็นตลอดเวลาเช่นกันอุทยานหลวงนับเป็นอาณาเขตส่วนพระองค์ของราชนิกุล รอบด้านพวกเขามีนางกำนัลเดินก้มหน้า ขันทีเดินไปมาไม่มีใครกล้าเงยหน้ามอง นั่นจึงทำให้หมิงเฉิงยิ่งย่ามใจ และเมื่อได้สัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมกรุ่นใกล้ๆ ยิ่งพึงใจและที่สำคัญ นัยน์ตาของนางมีสีเขียววูบขึ้นมาแวบหนึ่งสลับกับสีดำขลับถึงสองครั้ง และเขาก็มอง
“ภรรยาอยากรู้ว่าสามีพกพาสิ่งใด ไยรบกวนจิตใจให้รู้สึกเยี่ยงนี้ ทั้งแข็งทั้งร้อนถึงเพียงนั้น”“...”โม๋เอ๋อร์ยังไม่หยุด ทุกความสงสัยควรได้รับความกระจ่าง ดวงตากลมโตจึงจับจ้องที่เอวของหมิงเฉิง ความนัยสายตาที่สื่อออกมา คือพร้อมกระตุกดึงสายรัดเอวของเขาออกทุกเมื่อ“ท่านพกแท่งไฟมาหรือไร? ไยร้อนทะลุทะลวงกางเกงชั้นในเหลือเกิน”“...”ชั่วจังหวะที่เรียวคิ้วดุจกระบี่กระตุกไม่หยุด ฝ่ามือน้อยๆ ของคนงามตรงหน้าก็ยกขึ้นมาตามความหมายทางสายตา หมิงเฉิงย่อมเข้าใจ ฝ่ามือใหญ่จึงรีบเอื้อมขึ้นมาจับมือเล็กนุ่มของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อขัดขวางทุกความคิดนางในใจเพียรย้ำตนเองให้ใจเย็น เพราะที่นี่คืออุทยานหลวง หาใช่ห้องนอนส่วนตัวที่จะปล่อยให้นางกระทำได้“รอกลับเข้าเรือนก่อนมิได้หรือไร?” เขาถามเสียงต่ำ ความหมายชัดเจน คือให้ดูแน่แต่ต้องรอก่อน“หื้อ!” โม๋เอ๋อร์ให้นึกขัดใจ อยากดูเดี๋ยวนี้เลยมิได้หรือไร? ไยเล่นตัว!ภาพชายหญิงแนบชิด พร้อมประโยคชวนวาบหวิวเช่นนั้น ทำผู้คนต้องขนอ่อนลุกชันไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุมถึงแม้กู่โหยว่หลันจะเคยถูกเกี้ยวมาหลายครา แต่ทว่ายังไม่เคยเจอคำพูดเช่นนี้ และด้วยเพราะเป็นเพียงสาวน้อยแรกร
แน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่ต้องการเพิ่มอนุชายาเข้ามาให้สามี เพราะที่มีอยู่ก็หลายคนแล้ว นางต้องป้องกันอาณาเขตให้ตนเองตามหน้าที่พึงกระทำ จึงกล่าวด้วยภาษาดอกไม้ที่ได้ฝึกฝนอย่างดี เพื่อปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลว่า“น้องสาวท่านนี้ อุตส่าห์เดินมาเป็นลมถึงที่นี่ เจ็บมากหรือไม่? ถ้ารู้ว่าเป็นคนอ่อนแอ ไยไม่รักษาตัวเองให้ดี หากรัชทายาทกับข้าไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าคงลำบากแย่แล้ว”พระชายาในรัชทายาทผู้สวมอาภรณ์หรูหราสีแดงเพลิง ประดับปิ่นหงส์สยายปีกมีม่านทองระย้า แต่งหน้าจัดจ้าน กิริยาข่มขวัญผู้คน นางเอ่ยวาจานุ่มนวล แต่แอบเชือดเฉือนได้แสบสัน ความหมายซ่อนนัยประโยคนั้นคือเจ้าจะแส่หาเรื่องไปไย? ไฉนไม่อยู่แต่ในห้องหับ ออกมาเพ่นพ่านหมายรบกวนสามีผู้อื่นทำไมไม่ทราบ!หมิงเยว่ชิงได้ยินเช่นนั้นย่อมเข้าใจเพราะเกิดและเติบโตในวัง ก็ให้รู้สึกขัดเคืองฉับพลัน จึงโต้แย้งว่า“พระชายาย่อมเห็นแจ้ง ว่าคุณหนูท่านนี้เป็นลมล้มลงกะทันหัน ใครกันจะเลือกสถานที่ได้ ท่านมิใช่จิตใจคับแคบจนเกินไป” ยามเอ่ยยังยึดแขนหมิงเฉิงเอาไว้แน่น แล้วออดอ้อนว่า“พี่สาม ท่านช่วยนางเถิด เห็นหรือไม่? ว่านางบอบบางเหลือเกิน น่าเห็นใจนัก พระชายาของท่านไยร้ายกา
ห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ ใต้ต้นไม้หนึ่งที่เบื้องล่างมีหินอ่อนทรงเหลี่ยมคล้ายตั่งสำหรับนั่งได้สองคนหยูเสวี่ยถือโอกาสพาร่างระหงอ่อนแรงมานั่งลงเพื่อรั้งรอโม๋เอ๋อร์ที่ถูกองค์รัชทายาทพาตัวไปร่มไม้ตรงนี้ช่วยให้นางหายเหนื่อยได้ไม่น้อย ใบหน้างามที่มีหยาดเหงื่อเกาะพราวได้รับการซับออกไปอย่างนุ่มนวลด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดสอ้าน พวงแก้มเนียนที่ซับสีเลือดจนแดงเปล่งปลั่งเริ่มกลับมาเป็นอมชมพูระเรื่อดวงเนตรงามคอยมองตามพระชายาไม่วางตา แผ่นหลังของนางตั้งตรง ฝ่ามือน้อยๆ วางเอาไว้ที่หน้าตักอย่างสำรวม ชายกระโปรงขยับเบาๆ พลิ้วไปตามสายลมหญิงสาวนั่งนิ่งท่าทางสุภาพเกินกิริยาสาวใช้อย่างลืมตัว ซึ่งอันที่จริงนางไม่ควรนั่ง แต่ด้วยความเหนื่อยจึงไม่ทันได้คิดอะไรหากกล่าวกันตามจริงแล้ว มองเพียงผิวเผิน ก็แค่สาวใช้แอบนั่งเพื่อหลบงานหนัก โทษก็แค่ถูกเจ้านายตำหนิ หรือสั่งให้ไปกวาดลานสามวัน ไม่นับว่าเป็นอะไรห่างออกไปไม่ไกล หมิงจินยืนมองหยูเสวี่ยอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมลอบสังเกตทุกปฏิกิริยาของนางอย่างเผลอไผลเขาเห็นนางคล้ายคุณหนูในห้องหอ กำลังนั่งรอคนสนิทไปวิ่งเล่นเพื่อเก็บดอกไม้มาฝากเสียมากกว่าหาใช่สาวใช้ผู้อู
ห่างออกมาจากคู่ชายหญิงประหนึ่งคู่ยวนยางที่ศาลาแปดเหลี่ยมริมบึง ...เรือนร่างระเหิดระหงในอาภรณ์สีชิง[1]หรูหรา ประดับประดาปิ่นทองระย้างดงาม กำลังนั่งชมทิวทัศน์อันร่มรื่นอยู่เงียบๆ นางคือพระสนมชิงเฟย เจ้าของวงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำ กิริยาดุจนางฟ้านางสวรรค์ แต่ภายในกลับซ่อนเขี้ยวเล็บอันแหลมคมเคลือบพิษร้ายเอาไว้ได้แนบเนียนเสมอมาสายตาคู่งามจับจ้องไปทางองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาและพระชายาผู้งดงาม นางมองอย่างไม่วางตา แฝงความเคียดแค้นชิงชังเต็มเปี่ยม ในใจครุ่นคิดเพียงว่าต้องการฆ่าฝ่ายชาย โค่นล้มตระกูลฝ่ายหญิงให้สิ้นชื่อ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่นางเก็บเอาไว้มิได้บอกใครชิงเฟยผู้นี้มีนามว่า ชิงจิ้ง เป็นสตรีที่แอบหลงใหลในตัวหมิงเฉิงเมื่อแรกเห็นหลายครั้งหลายคราที่มีงานเลี้ยงในวังหลวง นางมีโอกาสติดตามบิดาที่เป็นขุนนางใหญ่มาร่วมตามสิทธิ์ ได้เจอหมิงเฉิงก็อยากจะแนบชิด สรรหาวิธีสารพัดอย่างใจกล้าบ้างทำทีบังเอิญเจอหน้า บ้างทำท่าอ่อนแอออดอ้อน กระทั่งงัดมารยายั่วยวนเข้าใส่ แม้แต่ยื่นไมตรีแบบตรงๆ อย่างเปิดเผยไร้ยางอายในที่ลับตา นางก็เคยทำมาแล้วแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเฉยชา ห่างเหิน ไว้ท่าวางเ
ตำหนักฉีหยางกงอันเป็นที่ประทับของเจียงฮองเฮาหมิงเฉิงพาพระชายาของตนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เบื้องหลังมีองครักษ์คนสนิทที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่ไม่สำคัญ ต้องถูกรั้งให้รอได้เพียงแค่ด้านนอกตำหนักเท่านั้นตามกฎของพระราชวังต้าหมิง หากเป็นอาณาเขตของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และยิ่งเป็นตำหนักส่วนพระองค์ของมารดาแห่งแผ่นดิน ทุกคนต้องอยู่ลานกว้าง ต้องยืนก้มหน้าอย่างสงบ ตากแดดแผดเผา ตากลมเหน็บหนาวห้ามเดินเพ่นพ่านและห้ามนั่งเด็ดขาด!โม๋เอ๋อร์เห็นหยูเสวี่ยถูกกันเอาไว้เช่นนั้นก็ให้นึกขัดเคืองยิ่งนัก ดวงหน้างามพลันบึ้งตึง ดวงตากลมโตถูกฉาบทับด้วยความเย็นเยียบทันที กิริยาน่ารักสดใสพลันอึมครึมทันใดหญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเครียดไปทางหมิงเฉิง “คนสนิทของท่านเข้ามาได้ แล้วเหตุใดคนของข้าจึงเข้ามามิได้”สรรพนามที่ใช้เรียกสามีของภรรยาเปลี่ยนไปจนสิ้น เหลือเพียงความห่างเหิน เย็นชา น้ำเสียงเจือโทสะที่เผยออกมาเช่นนั้น ทำเอาหมิงเฉิงกับหมิงจินต้องลอบพิจารณาพร้อมกัน เห็นใบหน้างามแสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่คือเรื่องร้ายแรงยิ่ง ก็ให้นึกแปลกใจโม๋เอ๋อร์แค่นเสียงคำหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน
เวลาต่อมา ...พิธีการคำนับองค์ฮองเฮาตามจารีตประเพณีดำเนินไปอย่างถูกต้องทุกสิ่งกิริยาของโม๋เอ๋อร์ล้วนหมดจดงดงาม สูงส่งแต่นุ่มนวล ปราศจากการถือตัวเย่อหยิ่งใดๆ จริตมารยาทไร้ที่ติ กอปรกับดวงตากลมโตกระจ่างใส รอยยิ้มจริงใจ การพูดคุยเป็นธรรมชาติไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ยังผลให้เจียงฮองเฮานึกเอ็นดูไม่น้อยแต่กระนั้น ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาล้วนบอกนางได้ว่าพระชายาตรงหน้าเพียงกระทำไปตามหน้าที่ ไม่ว่าใครจักเป็นสามีหรือแม่สามี สตรีนางน้อยผู้นี้ย่อมทำได้ดีไม่ยากเย็นยิ่งได้พินิจดวงตาเจิดจรัสคู่นั้น ยิ่งได้ประจักษ์ถึงความรักความหลงใหลที่ควรมีต่อองค์รัชทายาท ล้วนไม่ปรากฏในดวงเนตรงามแต่อย่างใดเจียงฮองเฮาจ้องนิ่งที่พระชายาเอกของโอรสอย่างลึกล้ำ สีพระพักตร์นิ่งสงบไม่เปิดเผยความนัยใดๆเจียงเฟิ่งผู้นี้เดิมทีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต ต้นตระกูลเรืองอำนาจนับร้อยปี ค้ำชูราชสำนักทุกสมัยมาช้านานนางคือตัวเลือกว่าจักต้องเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ถือกำเนิดลืมตาไม่ว่าใครในรัชสมัยนี้ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางย่อมเป็นฮองเฮาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงแม้นางจะครอบครองตำแหน่งสูงส่ง อำนาจมากล้น ผู้คนห้อมล้อมเอาใจมาตั้งแต่เ
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้