ห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ ใต้ต้นไม้หนึ่งที่เบื้องล่างมีหินอ่อนทรงเหลี่ยมคล้ายตั่งสำหรับนั่งได้สองคน
หยูเสวี่ยถือโอกาสพาร่างระหงอ่อนแรงมานั่งลงเพื่อรั้งรอโม๋เอ๋อร์ที่ถูกองค์รัชทายาทพาตัวไป
ร่มไม้ตรงนี้ช่วยให้นางหายเหนื่อยได้ไม่น้อย ใบหน้างามที่มีหยาดเหงื่อเกาะพราวได้รับการซับออกไปอย่างนุ่มนวลด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดสอ้าน พวงแก้มเนียนที่ซับสีเลือดจนแดงเปล่งปลั่งเริ่มกลับมาเป็นอมชมพูระเรื่อ
ดวงเนตรงามคอยมองตามพระชายาไม่วางตา แผ่นหลังของนางตั้งตรง ฝ่ามือน้อยๆ วางเอาไว้ที่หน้าตักอย่างสำรวม ชายกระโปรงขยับเบาๆ พลิ้วไปตามสายลม
หญิงสาวนั่งนิ่งท่าทางสุภาพเกินกิริยาสาวใช้อย่างลืมตัว ซึ่งอันที่จริงนางไม่ควรนั่ง แต่ด้วยความเหนื่อยจึงไม่ทันได้คิดอะไร
หากกล่าวกันตามจริงแล้ว มองเพียงผิวเผิน ก็แค่สาวใช้แอบนั่งเพื่อหลบงานหนัก โทษก็แค่ถูกเจ้านายตำหนิ หรือสั่งให้ไปกวาดลานสามวัน ไม่นับว่าเป็นอะไร
ห่างออกไปไม่ไกล หมิงจินยืนมองหยูเสวี่ยอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมลอบสังเกตทุกปฏิกิริยาของนางอย่างเผลอไผล
เขาเห็นนางคล้ายคุณหนูในห้องหอ กำลังนั่งรอคนสนิทไปวิ่งเล่นเพื่อเก็บดอกไม้มาฝากเสียมากกว่า
หาใช่สาวใช้ผู้อู้งานไม่!
ชั่วครู่ต่อมาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ เอ่ยถามเสียงทุ้มนุ่มว่า
“เหนื่อยมากหรือ? เจ้ายังไม่หายป่วย ไยมิให้บ่าวคนอื่นติดตามพระชายาแทน เจ้าจะได้พักผ่อน”
หยูเสวี่ยค่อยๆ ละสายตาจากโม๋เอ๋อร์อย่างใจเย็น เพื่อผินใบหน้ามองหมิงจิน แล้วตอบกลับอย่างสุขุมว่า
“ท่านองค์รักษ์อย่าได้ห่วง เสี่ยวโม๋ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ห่วงก็แต่พระชายาก็เท่านั้น”
หญิงสาวกล่าวคำพลางเบนหน้าไปทางโม๋เอ๋อร์อีกครา ปากก็เจรจาเข้าเรื่องตามเจตนาที่วางเอาไว้ทันทีว่า
“สังเกตเห็นองค์รัชทายาทมิใคร่พึงใจพระชายาเลยสักนิด เสี่ยวโม๋ให้รู้สึกทุกข์ใจนัก ท่านองครักษ์จินมิใช่เป็นคนสนิทขององค์รัชทายาทกระนั้นหรือ? หากเสี่ยวโม๋ได้ท่านช่วยเหลือสานสัมพันธ์สามีภรรยาให้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ เสี่ยวโม๋คงจะหมดกังวล หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเจ้าค่ะ”
กล่าวจบก็หันหน้ามองหมิงจินอีกที แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนส่งให้ สีหน้าไร้การเสแสร้ง มีเพียงการเอาใจใส่และภักดีต่อเจ้านาย นางร่ายคำต่อด้วยน้ำเสียงคงไว้ซึ่งมารยาท กิริยาวาจาแฝงด้วยความจริงใจเปิดเผยทุกส่วน
“คุณหนูโหวเป็นสตรีดีพร้อม นางใสซื่อบริสุทธิ์งดงาม หากองค์รัชทายาททรงเปิดใจ ย่อมหมายถึงทรงพบเจอหยกล้ำค่า ล้วนดีไม่น้อยเจ้าค่ะ”
หมิงจินลอบยกยิ้มตรงมุมปาก สาวใช้เป็นห่วงเจ้านายเป็นเรื่องดี เพียงแต่สตรีนางนี้ ไยมิใช่ฝากฝังสั่งงานกันชัดเจน
ทั้งยังเลือกใช้งานถูกคนเสียด้วย...
เห็นทีครานี้ ...นอกจากจะคอยเป็นกุนซือ เรื่องการเมืองการปกครองให้องค์รัชทายาท ราชองครักษ์หนุ่มคงต้องเป็นกุนซือ เรื่องสานสัมพันธ์การครองรักให้พระชายาเพื่อสาวใช้นางนี้อีกหนึ่งคน
บนสะพานโค้งอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างฝั่งของอุทยานหลวงกับพระตำหนักฉีหยางกงโดยมีบึงบัวขนาดใหญ่คั่นกลาง
เจียงเฟิ่ง ผู้เป็นฮองเฮาครองวังหลังแห่งต้าหมิงกำลังเดินชมทิวทัศน์ตามวิสัย โดยมีสวี่กูกูนางกำนัลรุ่นใหญ่เดินใกล้ๆ และนางกำนัลรุ่นเยาว์คอยจับประคอง
สายพระเนตรดุจหงส์ทอดมองไปไกลยังทิศทางโดยรอบ
ภาพที่ปรากฏกลางอุทยาน คือองค์รัชทายาทกำลังเดินคุยกับพระชายาคล้ายคู่รักทะเลาะกัน
ซึ่งเดิมที หมิงเฉิงมิใคร่เสวนากับสตรีนางใด แต่กับสตรีนางนี้ กลับเสียเวลาทะเลาะด้วย
ช่างน่าสนใจ...
เจียงฮองเฮาเก็บทุกรายละเอียดเข้าสู่สายพระเนตรอันคมกริบทั้งหมด ก่อนจะตรัสกับคนสนิทด้วยเสียงนุ่มแผ่ว
“วันนี้องค์รัชทายาทกับพระชายาเสด็จมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
สวี่กูกูค้อมศีรษะตอบ “เพคะ! คาดว่าทรงกำลังเดินทางมายังตำหนักฉีหยางกงในอีกไม่ช้าเพคะ”
นางกำนัลอายุมากแล้ว สายตาจึงมองมิได้ไกลนัก ทั้งยังก้มหน้านอบน้อมตลอดเวลา จึงไม่เห็นหมิงเฉิงในอุทยานหลวงริมน้ำตกจำลอง
ฮองเฮาส่งเสียงในลำคอระหง คล้ายไม่ใส่พระทัยเท่าใด “อืม...เช่นนั้นเรากลับไปนั่งรอองค์รัชทายาทในตำหนักเถิด”
“เพคะ”
ขบวนเสด็จที่มีทั้งขันทีและนางกำนัลจึงค้อมกายเพื่อรอสตรีสูงศักดิ์เดินผ่านหน้า เพียงครู่ขบวนทั้งหมดก็เดินตามหลังไป สะพานโค้งจึงโล่งในอีกครา ปราศจากผู้ใด
สายตาเรียวคมของหมิงเฉิงเห็นบุคคลสำคัญบนสะพานโค้งพอดี จึงหยุดเดินหนียังผลให้สตรีผู้เดินตามฝังร่างงามเข้าไปในแผ่นหลังกว้างทันใด
โม๋เอ๋อร์ละสายตาจากเอวสอบภายใต้อาภรณ์สีดำเดินเส้นไหมสีแดงเข้มของพระสวามีแล้วเงยมองหน้าเขาฉงน
“หยุดเดินทำไมเล่า!”
หมิงเฉิงหันมาเอ่ยเสียงต่ำออกคำสั่งว่า “อาวุธของข้า เอาไว้ข้าจะให้เจ้าได้ดูในห้องแค่สองคน แต่ยามนี้ต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาก่อน ตามมา!” ชายหนุ่มเอ่ยแบบมิได้คิดอันใดเลยสักนิด เขามั่นใจเช่นนั้น
ถ้อยวาจาที่บอกกล่าวว่าจะให้ดูอาวุธของเขาในห้องเพียงสองต่อสอง สร้างความหวังฉายวาบผ่านดวงตากลมโตทันที
สตรีเช่นโม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธ การพยักหน้ายกยิ้มมักทำให้ทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย
หญิงสาวใคร่เห็นยิ่งนัก จึงคลี่ยิ้มสว่างเจิดจ้าล้อแสงตะวันเจิดจรัสถึงน่านฟ้า
นับได้ว่าเป็นภาพที่แสบตาอย่างมาก หมิงเฉิงให้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ แสร้งตีหน้าขรึมอย่างยากลำบากเข้าไปทุกที
ห่างออกมาจากคู่ชายหญิงประหนึ่งคู่ยวนยางที่ศาลาแปดเหลี่ยมริมบึง ...เรือนร่างระเหิดระหงในอาภรณ์สีชิง[1]หรูหรา ประดับประดาปิ่นทองระย้างดงาม กำลังนั่งชมทิวทัศน์อันร่มรื่นอยู่เงียบๆ นางคือพระสนมชิงเฟย เจ้าของวงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำ กิริยาดุจนางฟ้านางสวรรค์ แต่ภายในกลับซ่อนเขี้ยวเล็บอันแหลมคมเคลือบพิษร้ายเอาไว้ได้แนบเนียนเสมอมาสายตาคู่งามจับจ้องไปทางองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาและพระชายาผู้งดงาม นางมองอย่างไม่วางตา แฝงความเคียดแค้นชิงชังเต็มเปี่ยม ในใจครุ่นคิดเพียงว่าต้องการฆ่าฝ่ายชาย โค่นล้มตระกูลฝ่ายหญิงให้สิ้นชื่อ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่นางเก็บเอาไว้มิได้บอกใครชิงเฟยผู้นี้มีนามว่า ชิงจิ้ง เป็นสตรีที่แอบหลงใหลในตัวหมิงเฉิงเมื่อแรกเห็นหลายครั้งหลายคราที่มีงานเลี้ยงในวังหลวง นางมีโอกาสติดตามบิดาที่เป็นขุนนางใหญ่มาร่วมตามสิทธิ์ ได้เจอหมิงเฉิงก็อยากจะแนบชิด สรรหาวิธีสารพัดอย่างใจกล้าบ้างทำทีบังเอิญเจอหน้า บ้างทำท่าอ่อนแอออดอ้อน กระทั่งงัดมารยายั่วยวนเข้าใส่ แม้แต่ยื่นไมตรีแบบตรงๆ อย่างเปิดเผยไร้ยางอายในที่ลับตา นางก็เคยทำมาแล้วแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเฉยชา ห่างเหิน ไว้ท่าวางเ
ตำหนักฉีหยางกงอันเป็นที่ประทับของเจียงฮองเฮาหมิงเฉิงพาพระชายาของตนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เบื้องหลังมีองครักษ์คนสนิทที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่ไม่สำคัญ ต้องถูกรั้งให้รอได้เพียงแค่ด้านนอกตำหนักเท่านั้นตามกฎของพระราชวังต้าหมิง หากเป็นอาณาเขตของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และยิ่งเป็นตำหนักส่วนพระองค์ของมารดาแห่งแผ่นดิน ทุกคนต้องอยู่ลานกว้าง ต้องยืนก้มหน้าอย่างสงบ ตากแดดแผดเผา ตากลมเหน็บหนาวห้ามเดินเพ่นพ่านและห้ามนั่งเด็ดขาด!โม๋เอ๋อร์เห็นหยูเสวี่ยถูกกันเอาไว้เช่นนั้นก็ให้นึกขัดเคืองยิ่งนัก ดวงหน้างามพลันบึ้งตึง ดวงตากลมโตถูกฉาบทับด้วยความเย็นเยียบทันที กิริยาน่ารักสดใสพลันอึมครึมทันใดหญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเครียดไปทางหมิงเฉิง “คนสนิทของท่านเข้ามาได้ แล้วเหตุใดคนของข้าจึงเข้ามามิได้”สรรพนามที่ใช้เรียกสามีของภรรยาเปลี่ยนไปจนสิ้น เหลือเพียงความห่างเหิน เย็นชา น้ำเสียงเจือโทสะที่เผยออกมาเช่นนั้น ทำเอาหมิงเฉิงกับหมิงจินต้องลอบพิจารณาพร้อมกัน เห็นใบหน้างามแสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่คือเรื่องร้ายแรงยิ่ง ก็ให้นึกแปลกใจโม๋เอ๋อร์แค่นเสียงคำหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน
เวลาต่อมา ...พิธีการคำนับองค์ฮองเฮาตามจารีตประเพณีดำเนินไปอย่างถูกต้องทุกสิ่งกิริยาของโม๋เอ๋อร์ล้วนหมดจดงดงาม สูงส่งแต่นุ่มนวล ปราศจากการถือตัวเย่อหยิ่งใดๆ จริตมารยาทไร้ที่ติ กอปรกับดวงตากลมโตกระจ่างใส รอยยิ้มจริงใจ การพูดคุยเป็นธรรมชาติไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ยังผลให้เจียงฮองเฮานึกเอ็นดูไม่น้อยแต่กระนั้น ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาล้วนบอกนางได้ว่าพระชายาตรงหน้าเพียงกระทำไปตามหน้าที่ ไม่ว่าใครจักเป็นสามีหรือแม่สามี สตรีนางน้อยผู้นี้ย่อมทำได้ดีไม่ยากเย็นยิ่งได้พินิจดวงตาเจิดจรัสคู่นั้น ยิ่งได้ประจักษ์ถึงความรักความหลงใหลที่ควรมีต่อองค์รัชทายาท ล้วนไม่ปรากฏในดวงเนตรงามแต่อย่างใดเจียงฮองเฮาจ้องนิ่งที่พระชายาเอกของโอรสอย่างลึกล้ำ สีพระพักตร์นิ่งสงบไม่เปิดเผยความนัยใดๆเจียงเฟิ่งผู้นี้เดิมทีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต ต้นตระกูลเรืองอำนาจนับร้อยปี ค้ำชูราชสำนักทุกสมัยมาช้านานนางคือตัวเลือกว่าจักต้องเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ถือกำเนิดลืมตาไม่ว่าใครในรัชสมัยนี้ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางย่อมเป็นฮองเฮาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงแม้นางจะครอบครองตำแหน่งสูงส่ง อำนาจมากล้น ผู้คนห้อมล้อมเอาใจมาตั้งแต่เ
หลังจากร่วมเสวนากับบุตรชายและลูกสะใภ้พอควร เจียงฮองเฮาจึงรับสั่งมอบของกำนัลมากมายแก่พระชายาโหวตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทั้งยังทรงอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักชั้นในเพื่อเลือกเฟ้นสิ่งล้ำค่าด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ เสื้อผ้าแพรพรรณมากมาย รวมถึงเครื่องประดับงดงามหายากทั้งหลายโม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มสว่างจ้า ดวงตาวาวใสดุจวารี นางยินดีรับมอบทุกสิ่งไม่คิดปฏิเสธ รีบลุกออกจากเก้าอี้ทันที ไร้ซึ่งเยื่อใยต่อชายข้างกายทันใด ทุกสิ่งล้วนน่าสนใจยิ่งกว่าสามีหนักหนาหมิงเฉิงเห็นเช่นนั้น เรียวคิ้วพลันขมวด ใบหน้าเริ่มบึ้งตึง นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เพราะนางผู้สร้างความว่างเปล่าด้านข้างให้เขา กำลังสนใจทุกสิ่งยกเว้นเขาภายในห้องชั้นใน ...ชั่วจังหวะที่โม๋เอ๋อร์กำลังพาหยูเสวี่ยเดินชมสมบัติมากมายอย่างแช่มชื่น ดวงตากลมโตพลันเหลือบไปเห็นสวนพฤกษาทางฝั่งหนึ่งของตำหนักหญิงสาวนึกชอบมาก จึงเดินมาขออนุญาตเจียงฮองเฮาด้วยตนเอง หลังจากได้รับรอยยิ้มใจดีเป็นเชิงยินยอม โม๋เอ๋อร์ก็จับจูงมือหยูเสวี่ยให้เดินไปทางนั้นทันที สตรีทั้งสองจึงเดินเล่นในสวนหลังตำหนักที่รอบด้านมีภูเขาจำลอง น้ำตกขนาดเล็ก ที่ให้ความรู้สึกคล้ายป่าใหญ่ถูกทำใ
ตะวันเปลี่ยนทิศ แสงแดดอ่อนจาง บ่งบอกเวลาล่วงเข้ายามเย็นหมิงเฉิงจึงเอ่ยชักนำโม๋เอ๋อร์ให้ทูลลาเจียงฮองเฮา โดยที่ตัวเขากับองครักษ์คนสนิทเดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่คิดรั้งรอพระชายา เพราะว่าไม่ต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกันให้ใจสั่นเหมือนช่วงก่อนหน้า รัชทายาทหนุ่มทำตัวเหินห่างพระชายาในอีกครา เย็นชามากว่าเดิมหลายส่วน บนใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมแขวนความเคร่งเครียดชัดเจน คล้ายกำลังสับสนในบางสิ่งผสานการสะกดกลั้นทุกห้วงความคิดและความต้องการในส่วนลึกของหัวใจอย่างยากลำบากหมิงจินที่เดินเยื้องแผ่นหลังหมิงเฉิงถึงกับต้องหรี่ตามอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่เข้มข้นมากกว่าทุกวันอันที่จริง ตัวตนของหมิงเฉิงก็มักจะเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว หากแต่ครานี้ เสมือนว่าเขามิได้เย็นชาตามวิสัย หากแต่กำลังกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนเองด้วยการนำความเย็นชามาใส่ หมายปิดบังอำพรางความต้องการที่แท้จริงเสียมากกว่า ซึ่งหมิงจินไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นอะไรเมื่อแผ่นหลังกว้างใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนของบุรุษสองคนเดินย่ำเท้าหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งองครักษ์ติดตามคนอื่นๆ ยังแทบเดินตามไม่ทันโม๋เอ๋อร์ก็ได้นั่งรถม้าส่วนพระองค์เพียงคนเด
หมิงเหอนั้น ถึงแม้ว่าจะมีชายาแล้วหลายคน แต่ด้วยนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญเป็นทุนเดิม จึงคิดจะเข้าไปเกี้ยวพาสตรีในครรลองสายตาในทันที ทว่ากลับถูกเว่ยหลุนที่พึงใจเช่นกันพลันเอ่ยปากห้ามเอาไว้อย่างมีชั้นเชิงว่า“ทูลองค์ชาย กระหม่อมคิดว่า เทศกาลล่าสัตว์ที่ใกล้จะถึงนี้ หากองค์ชายได้รับหน้าที่จัดสรร ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลงานโดดเด่นต้องพระทัยฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ และมิใช่ว่าองค์ชายใหญ่ก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกัน องค์ชายไม่ทรงคิดว่าควรเข้าเฝ้าทันทีเพื่อตัดหน้าหรือพะย่ะค่ะ”เมื่อหมิงเหอได้ยินเช่นนั้นพลันอึ้งไป เขาขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้ม สายตาคมยังคงจับจ้องไปที่โม๋เอ๋อร์ แต่ปากกลับบ่นพึมพำว่า “หึ! มิใช่ว่าเจ้าก็พึงใจนางเช่นกันหรอกหรือ เว่ยหลุน! อย่าแม้แต่จะคิดแย่งสตรีที่ข้าหมายตาเชียว”นับว่าเป็นการคุยเรื่องการเมืองได้เคร่งเครียดยิ่งเว่ยหลุนรีบทำสีหน้าขึงขังเคร่งขรึมยามเอ่ย“กระหม่อมมีคู่หมั้นแล้ว ไหนเลยจักกล้าทำตัวออกนอกลู่นอกทางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”หมิงเหอหันมามองอย่างเหยียดหยัน ไม่เชื่อคำอีกฝ่ายแม้แต่น้อยจังหวะนั้น พลันมีทหารผู้หนึ่งเดินขึงขังเข้ามา แล้วแจ้งว่า“ทูลองค์ชายรอง องค์ชายใหญ่กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่า
ถึงแม้จะเป็นการปฏิเสธไร้ซึ่งเยื่อใย ทว่ายามนี้เว่ยหลุนคล้ายกับวิญญาณหลุดลอยจากร่างไปแล้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและสำเนียงคำเอ่ยที่ไพเราะเสนาะโสตยิ่งลืมตัวเผลอไผล เขาทำได้เพียงมองเหม่อสตรีตรงหน้า พูดจาไม่ออกสักคำ ทว่าฝ่ามือกลับว่องไว กลายร่างเป็นโจรเด็ดบุปผา เขาก้าวขึ้นหน้า เกือบประชิดคนงาม แล้วเอื้อมมือไปจับชายเสื้อสีแดงของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแม่นยำ รุกล้ำกันอย่างเหิมเกริม ไม่มีเก็บข่มอันใดทว่าชั่วอึดใจ ...พลันรับรู้ได้ถึงพลังเย็นปริศนาสายหนึ่ง ซึ่งทำให้ลำตัวของเขาชาวาบ ก่อนจะค่อยๆ ปวดหนึบจนมืออ่อน ชายอาภรณ์ของสตรีที่จับเอาไว้พลันหลุดออกไปเมื่อใดมิอาจทราบ ลำตัวหนาใหญ่พลันแข็งกระด้างชะงักเกร็ง ประหนึ่งถูกแช่แข็งและตรึงด้วยโซ่เหล็กที่มองไม่เห็นเว่ยหลุนยืนนิ่งแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ทำอันใดมิได้มากไปกว่ากลายร่างเป็นรูปปั้นในบัดดลเดิมทีเว่ยหลุนผู้นี้เป็นแม่ทัพหนุ่มผู้กร้าวแกร่ง ไม่เคยหวั่นต่อสมรภูมิรบใดหากแต่น่าเสียดายที่บังเอิญได้มาพบสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์แม้หัวใจมักแพ้พ่ายให้แก่สตรีงดงามอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยละหลวมถึงเพียงนี้ แต่ยามนี้คล้ายกับว่าเขาเป็นเอามาก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดี
กลางทางเดินของสวนสวยห่างออกมาจากร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มนามเว่ยหลุนโม๋เอ๋อร์ที่ถูกหยูเสวี่ยจับประคองให้เดินอย่างเร็วก็นึกแปลกใจ ทั้งยังนึกเป็นห่วงสหายใหม่อย่างยิ่งยวด เห็นเขาจู่ๆ ก็เดินขึ้นหน้าประชิดเข้ามาจับชายผ้าตรงแขนเสื้อ นางจึงพลั้งเผลอปล่อยพลังปราณเย็นสายหนึ่งเข้าใส่ เพราะนึกหวงตัวมิอาจให้ชายใดได้แตะต้องนอกจากสามีเพราะนาง ...ชายผู้นั้นจึงต้องชาหนึบไปทั่วร่าง กลายเป็นก้อนน้ำแข็งยืนนิ่ง ทำได้เพียงยืนเหม่อมอง สายตาล่องลอย น้ำลายคล้ายจะไหลย้อยออกมาจากปากเช่นนั้นอา...นางทำร้ายผู้คนโดยใช่เหตุเข้าเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันคิดร้ายอันใดต่อนางเลยอืม...หรือว่าเขาไม่สบาย คงเมาเกสรดอกไม้อันใดมา ควรเรียกหมอหลวงให้เขาดีหรือไม่?หญิงสาวมักมองโลกในแง่ดีเช่นนี้เอง ยามไม่มีใครทำให้โกรธกรุ่นก็มักจะเป็นสตรีจิตใจงามอย่างที่สุด แม้ทำร้ายอีกฝ่ายไปแล้วก็ยังนึกห่วงใยขึ้นมา หยูเสวี่ยย่อมรู้จักโม๋เอ๋อร์ในเรื่องนี้ จึงรีบจับประคองให้อีกฝ่ายเดินหนีมาอย่างเร็ว เพื่อป้องกันคำครหา นางต้องปกป้องโม๋เอ๋อร์ทุกสิ่งยิ่งเห็นสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มทอประกายหยาดเยิ้ม ทั้งยังเข้าประชิดจับชายแขนเสื้อกันเช่นนั้น
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้