ตะวันเปลี่ยนทิศ แสงแดดอ่อนจาง บ่งบอกเวลาล่วงเข้ายามเย็น
หมิงเฉิงจึงเอ่ยชักนำโม๋เอ๋อร์ให้ทูลลาเจียงฮองเฮา โดยที่ตัวเขากับองครักษ์คนสนิทเดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่คิดรั้งรอพระชายา เพราะว่าไม่ต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกันให้ใจสั่นเหมือนช่วงก่อนหน้า
รัชทายาทหนุ่มทำตัวเหินห่างพระชายาในอีกครา เย็นชามากว่าเดิมหลายส่วน บนใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมแขวนความเคร่งเครียดชัดเจน คล้ายกำลังสับสนในบางสิ่งผสานการสะกดกลั้นทุกห้วงความคิดและความต้องการในส่วนลึกของหัวใจอย่างยากลำบาก
หมิงจินที่เดินเยื้องแผ่นหลังหมิงเฉิงถึงกับต้องหรี่ตามอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่เข้มข้นมากกว่าทุกวัน
อันที่จริง ตัวตนของหมิงเฉิงก็มักจะเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว หากแต่ครานี้ เสมือนว่าเขามิได้เย็นชาตามวิสัย หากแต่กำลังกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนเองด้วยการนำความเย็นชามาใส่ หมายปิดบังอำพรางความต้องการที่แท้จริงเสียมากกว่า ซึ่งหมิงจินไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นอะไร
เมื่อแผ่นหลังกว้างใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนของบุรุษสองคนเดินย่ำเท้าหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งองครักษ์ติดตามคนอื่นๆ ยังแทบเดินตามไม่ทัน
โม๋เอ๋อร์ก็ได้นั่งรถม้าส่วนพระองค์เพียงคนเดียว เมื่อเห็นโอกาสเหมาะ ด้านข้างโล่งสบาย จึงออกคำสั่งให้หยูเสวี่ยขึ้นมานั่งเสียด้วยกัน
หยูเสวี่ยมีหรือจะปฏิเสธ นางคลี่ยิ้มตอบรับอย่างยินดี แล้วเข้ามานั่งรถม้ากับโม๋เอ๋อร์ทันใด
สตรีทั้งสองจึงชื่นชมทิวทัศน์ไปทั่วพระราชวังต้าหมิง อย่างสำเริงสำราญ ปราศจากความรู้สึกขัดเคืองที่ถูกบุรุษทิ้งขว้างเอาไว้เบื้องหลัง
เมื่อพบเจอสวนสวยบุปผางามสระน้ำสีครามอันโดดเด่น ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก พวกนางก็พากันหยุดรถม้าแล้วลงไปเดินเล่นเที่ยวชมอย่างแช่มชื่นรื่นรมย์
“เราไม่เคยออกมาเห็นฟ้าเห็นตะวันเช่นนี้เลย” หยูเสวี่ยเอ่ยพึมพำดวงตาฉ่ำน้ำประหนึ่งสาวน้อยในห้วงฝัน
“อื้ม...” โม๋เอ๋อร์ยิ้มรับ “หากเจ้าชอบ ข้าย่อมดูแลเจ้าอย่างดี และจะพาเจ้าออกมาเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ ดีหรือไม่?”
รอยยิ้มซาบซึ้งดวงตาชื่นชมมิรู้ว่าเกิดขึ้นกี่ครานับตั้งแต่เจอกัน หยูเสวี่ยให้นึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้นางได้เจอโม๋เอ๋อร์ สหายคนนี้เติมเต็มชีวิตอันโดดเดี่ยวของนางได้อย่างแท้จริง
“ลำบากพระชายาแล้วเพคะ” หญิงสาวตอบเสียงเบา “ควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องดูแลพระองค์ตลอดไป”
โม๋เอ๋อร์ได้ฟังจึงยิ้มร่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
หยูเสวี่ยจึงหลุดยิ้มเช่นกัน “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ทั้งสองพากันเดินชมความสวยงามของมวลบุปผชาติริมทางแห่งวังหลวงอยู่ครู่ใหญ่ ต่างส่งยิ้มให้กันอย่างแช่มชื่นในหัวใจ คำว่ามิตรภาพตกผลึกฝังแน่นไม่จำเป็นต้องเอ่ยหรือแสร้งทำ
ห่างออกมาจากดอกไม้นานาชนิด มีบุรุษหนุ่มสองคนกำลังยืนคุยกัน พวกเขาถึงกับตะลึงไปเมื่อมองเห็นสตรีงดงามปานเทพธิดาเพลิงในอาภรณ์สีแดง
นางเป็นใคร?
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพร้อมกันระหว่างบุรุษหนุ่มทั้งสองโดยมิได้นัดหมาย
หนึ่งคือองค์ชายรองแห่งต้าหมิงนามว่า หมิงเหอ
อีกหนึ่งคนคือแม่ทัพหนุ่มนามว่า เว่ยหลุน
ชายหนุ่มทั้งคู่ถึงกับลืมหัวข้อที่กำลังสนทนาระหว่างกันไปจนสิ้น เมื่อสายตาคมพลันสะดุดกับโม๋เอ๋อร์
ท่ามกลางมวลบุปผาสีสันตระการตาที่ว่างดงามมากแล้ว ยิ่งเมื่อมีสตรีชุดแดงเดินกรีดกรายนวยนาดระหว่างสีสันเหล่านั้น ยิ่งเพิ่มระดับความโดดเด่นซึ่งกันและกัน จนไม่อาจประเมินได้ว่า เป็นบุปผาหรือตัวสตรีที่งดงามมากกว่ากัน
ในยามนี้ โม๋เอ๋อร์ไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ากำลังทำให้บุรุษถึงสองคนบังเกิดเสียงของหัวใจที่เต้นในจังหวะผิดปกติ
หมิงเหอนั้น ถึงแม้ว่าจะมีชายาแล้วหลายคน แต่ด้วยนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญเป็นทุนเดิม จึงคิดจะเข้าไปเกี้ยวพาสตรีในครรลองสายตาในทันที ทว่ากลับถูกเว่ยหลุนที่พึงใจเช่นกันพลันเอ่ยปากห้ามเอาไว้อย่างมีชั้นเชิงว่า“ทูลองค์ชาย กระหม่อมคิดว่า เทศกาลล่าสัตว์ที่ใกล้จะถึงนี้ หากองค์ชายได้รับหน้าที่จัดสรร ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลงานโดดเด่นต้องพระทัยฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ และมิใช่ว่าองค์ชายใหญ่ก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกัน องค์ชายไม่ทรงคิดว่าควรเข้าเฝ้าทันทีเพื่อตัดหน้าหรือพะย่ะค่ะ”เมื่อหมิงเหอได้ยินเช่นนั้นพลันอึ้งไป เขาขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้ม สายตาคมยังคงจับจ้องไปที่โม๋เอ๋อร์ แต่ปากกลับบ่นพึมพำว่า “หึ! มิใช่ว่าเจ้าก็พึงใจนางเช่นกันหรอกหรือ เว่ยหลุน! อย่าแม้แต่จะคิดแย่งสตรีที่ข้าหมายตาเชียว”นับว่าเป็นการคุยเรื่องการเมืองได้เคร่งเครียดยิ่งเว่ยหลุนรีบทำสีหน้าขึงขังเคร่งขรึมยามเอ่ย“กระหม่อมมีคู่หมั้นแล้ว ไหนเลยจักกล้าทำตัวออกนอกลู่นอกทางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”หมิงเหอหันมามองอย่างเหยียดหยัน ไม่เชื่อคำอีกฝ่ายแม้แต่น้อยจังหวะนั้น พลันมีทหารผู้หนึ่งเดินขึงขังเข้ามา แล้วแจ้งว่า“ทูลองค์ชายรอง องค์ชายใหญ่กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่า
ถึงแม้จะเป็นการปฏิเสธไร้ซึ่งเยื่อใย ทว่ายามนี้เว่ยหลุนคล้ายกับวิญญาณหลุดลอยจากร่างไปแล้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและสำเนียงคำเอ่ยที่ไพเราะเสนาะโสตยิ่งลืมตัวเผลอไผล เขาทำได้เพียงมองเหม่อสตรีตรงหน้า พูดจาไม่ออกสักคำ ทว่าฝ่ามือกลับว่องไว กลายร่างเป็นโจรเด็ดบุปผา เขาก้าวขึ้นหน้า เกือบประชิดคนงาม แล้วเอื้อมมือไปจับชายเสื้อสีแดงของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแม่นยำ รุกล้ำกันอย่างเหิมเกริม ไม่มีเก็บข่มอันใดทว่าชั่วอึดใจ ...พลันรับรู้ได้ถึงพลังเย็นปริศนาสายหนึ่ง ซึ่งทำให้ลำตัวของเขาชาวาบ ก่อนจะค่อยๆ ปวดหนึบจนมืออ่อน ชายอาภรณ์ของสตรีที่จับเอาไว้พลันหลุดออกไปเมื่อใดมิอาจทราบ ลำตัวหนาใหญ่พลันแข็งกระด้างชะงักเกร็ง ประหนึ่งถูกแช่แข็งและตรึงด้วยโซ่เหล็กที่มองไม่เห็นเว่ยหลุนยืนนิ่งแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ทำอันใดมิได้มากไปกว่ากลายร่างเป็นรูปปั้นในบัดดลเดิมทีเว่ยหลุนผู้นี้เป็นแม่ทัพหนุ่มผู้กร้าวแกร่ง ไม่เคยหวั่นต่อสมรภูมิรบใดหากแต่น่าเสียดายที่บังเอิญได้มาพบสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์แม้หัวใจมักแพ้พ่ายให้แก่สตรีงดงามอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยละหลวมถึงเพียงนี้ แต่ยามนี้คล้ายกับว่าเขาเป็นเอามาก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดี
กลางทางเดินของสวนสวยห่างออกมาจากร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มนามเว่ยหลุนโม๋เอ๋อร์ที่ถูกหยูเสวี่ยจับประคองให้เดินอย่างเร็วก็นึกแปลกใจ ทั้งยังนึกเป็นห่วงสหายใหม่อย่างยิ่งยวด เห็นเขาจู่ๆ ก็เดินขึ้นหน้าประชิดเข้ามาจับชายผ้าตรงแขนเสื้อ นางจึงพลั้งเผลอปล่อยพลังปราณเย็นสายหนึ่งเข้าใส่ เพราะนึกหวงตัวมิอาจให้ชายใดได้แตะต้องนอกจากสามีเพราะนาง ...ชายผู้นั้นจึงต้องชาหนึบไปทั่วร่าง กลายเป็นก้อนน้ำแข็งยืนนิ่ง ทำได้เพียงยืนเหม่อมอง สายตาล่องลอย น้ำลายคล้ายจะไหลย้อยออกมาจากปากเช่นนั้นอา...นางทำร้ายผู้คนโดยใช่เหตุเข้าเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันคิดร้ายอันใดต่อนางเลยอืม...หรือว่าเขาไม่สบาย คงเมาเกสรดอกไม้อันใดมา ควรเรียกหมอหลวงให้เขาดีหรือไม่?หญิงสาวมักมองโลกในแง่ดีเช่นนี้เอง ยามไม่มีใครทำให้โกรธกรุ่นก็มักจะเป็นสตรีจิตใจงามอย่างที่สุด แม้ทำร้ายอีกฝ่ายไปแล้วก็ยังนึกห่วงใยขึ้นมา หยูเสวี่ยย่อมรู้จักโม๋เอ๋อร์ในเรื่องนี้ จึงรีบจับประคองให้อีกฝ่ายเดินหนีมาอย่างเร็ว เพื่อป้องกันคำครหา นางต้องปกป้องโม๋เอ๋อร์ทุกสิ่งยิ่งเห็นสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มทอประกายหยาดเยิ้ม ทั้งยังเข้าประชิดจับชายแขนเสื้อกันเช่นนั้น
โม๋เอ๋อร์ล้วนเข้าใจในแบบของตนเอง ไร้ซึ่งความกังวลอย่างมีเหตุผลตามวิสัยในขณะที่หยูเสวี่ยมองผู้คนเหล่านี้อย่างประหวั่นอยู่ในใจ นึกพรั่นพรึงในอกเป็นอย่างมาก ยิ่งได้เห็นเหล่าอนุชายาเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสลดเยี่ยงนั้น ยิ่งได้คำตอบกระจ่างชัดท่ามกลางบ่าวไพร่ที่เดินก้มหน้าหวาดกลัว มีบรรดาอนุชายาเดินปะปนอยู่ด้วย และทันทีที่พวกนางมองเห็นชายาเอกแห่งรัชทายาท ในชุดสีแดงสดใส ประหนึ่งนางมารร้ายในคราบสตรีชั้นสูง ก็ต่างพากันร่ำไห้อย่างหวาดผวาในใจร่ำร้องกล่าวโทษว่า เป็นเพราะสตรีสกุลโหวผู้นี้แน่ๆ ที่ทำให้พวกนางถูกขับออกจากตำหนักบูรพาทั้งหมดเช่นนี้ มาวันแรกก็ถูกกักบริเวณไปหนึ่งคน วันที่สองยังกลายเป็นโรคร้ายอีกหนึ่งคน และยามนี้ก็ถูกขับไล่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวจนสิ้นตำหนัก น่ากลัวเกินไปแล้ว โฮ...ในขณะที่อนุชายาคนอื่นๆ ต่างร้องไห้ในใจอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงฉีซิ่วเท่านั้นที่ร้องร่ำคำว่ายินดีเหตุที่ฉีซิ่วรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะนางไม่ต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือน จนหลบเร้นแสงตะวันจันทราอย่างอดสู สามปีที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา ต้องทนห่อเหี่ยวปานใด ไยนางจะไม่ทรมานเล่าสตรีจากหอคณิกาเช่นนางถึงแม้ว่าจะแค่
หลังจากบรรดาอนุชายาทั้งหลายและเหล่าบ่าวไพร่ติดตามมากมายอันตรธานหายไปจนสิ้นโม๋เอ๋อร์ก็เดินกลับเข้าเรือนส่วนตัว แล้วเรียกนางกำนัลสองคนให้มาปรนนิบัติแทนหยูเสวี่ย เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเหนื่อยจนเกินไปเมื่อหญิงสาวอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เข้านอนเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอดั่งเช่นสตรีชั้นสูงผู้รักษาสุขภาพ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานจนล่วงเข้ายามค่ำ จึงได้รู้ตัวว่าหยูเสวี่ยหายตัวไปโม๋เอ๋อร์มองหาอีกฝ่ายจนทั่วห้อง ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของ หยูเสวี่ย จึงลุกจากเตียงแล้วเดินออกมาตามหาไปทั่วเรือน กระทั่งออกมานอกเรือนก็ยังไม่เจอหญิงสาวพาร่างระหงในชุดเตรียมนอนสีหวานพลิ้วไหวเยื้องกรายแช่มช้ามาได้เรื่อยๆ จึงได้เห็นหมิงเฉิงกำลังยืนคุยกับหวังกงกงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ริมอุทยานห่างออกไปโม๋เอ๋อร์ย่อมมีมารยาท ไม่คิดไปแอบฟังผู้ใด สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อมองหาหยูเสวี่ยอีกครา แต่ทว่าเมื่อยังหาคนที่ต้องการไม่เจอ จึงเปลี่ยนใจ คิดแอบฟังสามีอย่างมีมารยาทก็เท่านั้นทางด้านหมิงเฉิงที่กำลังยืนคุยกับหวังกงกงชายหนุ่มเพียงรับฟังขันทีเฒ่าด้วยสีหน้าเย็นชาไม่เผยอารมณ์ในขณะที่หวังกงกงยังคงไว้ซึ่งท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมย่อมทำตามพระ
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขึงตัวเขาอยู่ระหว่างสงครามแห่งการอบรมสอนสั่งของสองพ่อลูกผู้ยิ่งใหญ่มาช้านาน อายุแม้เกินครึ่งร้อยมาเล็กน้อย แต่เส้นผมทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งอยู่มาหลายร้อยปี เฮ่อ!ไม่นาน ...หวังกงกงก็ค้อมศีรษะขอตัวกลับ รอจนได้รับสัญญาณพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครา หวังกงกงไม่มีรอช้ารีบล่าถอยออกห่างอย่างหวาดหวั่นแล้วหายตัวไปอย่างเร็วคล้อยหลังขันทีเฒ่า รัชทายาทหนุ่มเพียงยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่ที่ริมอุทยานดังเดิมช่วงเดือนสิบย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเช่นนี้ สายลมยามราตรีนับได้ว่าเย็นเยียบยิ่งนัก หากแต่ร่างสูงคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนตระหง่านปานหินผายากสั่นคลอน ทว่าภายในใจกลับสั่นเบาๆใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เงยขึ้น ดวงตาคมดำเข้มลึกดุจน้ำหมึกทอดมองออกไปไกลแสนไกล เห็นดวงจันทร์สีนวลผ่องส่องสว่างแขวนอยู่กลางนภากว้างไร้การเคลื่อนไหวในห้วงคำนึงพลันนึกถึงดวงเนตรงามที่มีสีเขียววูบไว ที่เกิดขึ้นมากกว่าสามครั้งของใครบางคน ทันใดนั้นหมิงเฉิงจึงได้คำตอบให้ตนเองเขาควรเชื่อฟังคำพระบิดา!ใต้ต้นเหมยฮัวห่างออกมาจากริมอุทยานที่มีร่างสูงสง่าของรัชทายาทหนุ่มยืนนิ่งเงียบงันใต้แสงจันทร์งามโม๋เอ๋อร์ที่แอบมองอยู่ก็เร
หลังพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมาจากเรือนชิงเยว่ไม่ไกลหยูเสวี่ยและหมิงจินกำลังยืนสังเกตการณ์คู่สามีภรรยาอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ตั้งแต่ริมอุทยานกระทั่งในเรือนชิงเยว่ ทั้งสองล้วนได้ยินคำของหวังกงกงเช่นกัน คำถามคือ ต้องการให้คู่สามีภรรยาเข้าหอกันใช่หรือไม่? คำตอบย่อมต้องใช่!แล้วบรรดาอนุพวกนั้นเล่า ต้องการให้กลับมาหรือไม่? คำตอบย่อมต้องไม่!หยูเสวี่ยหันหน้ามองหมิงจินทันที ในแววตาคู่งามเผยทุกความคิด ทั้งข่มขู่และกดดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง“ท่านองครักษ์มีความคิดเห็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามชายหนุ่มข้างกายเสียงนุ่ม ทว่าสีหน้าจริงจังมาก แววตาคมกล้ายิ่ง หมิงจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ซ่อนแววเอื้อเอ็นดูเอาไว้พลางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทคงคิดจะเข้าหอกับพระชายาในไม่ช้า”“ด้วยเหตุผลเรียกคืนเหล่าอนุกระนั้นหรือ?” หยูเสวี่ยพลันหลุดเสียงเข้มขึ้นมา เผยความหงุดหงิดถึงสามส่วน “หากเขาจะเข้าหอกับคุณหนูของข้าเพื่อดึงสตรีอื่นเข้ามา ก็ข้ามศพบ่าวผู้นี้ไปก่อนเถิด” กล่าวจบก็เม้มปากแน่น สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจหมิงจินให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ทราบสาเหตุ ไฉนคนงามผู้อ่อนหวาน ยามโกรธาช่างน่ากลัวยิ่งหยูเสวี่ยร
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนุ่มหวานของหญิงสาวกล่าวอีกว่า“ก่อนหน้านี้ข่าวในตำหนักแพร่สะพัดว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันอย่างมาก มิสู้ปล่อยข่าวออกไปภายนอกให้ไกลอีกสักหน่อย แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากเข้าไว้ ตระกูลโหวแม้ยิ่งใหญ่ หากแต่ก็เป็นเพียงฝ่ายบุ๋นมาช้านาน หาได้กุมกำลังทหารกองใดไม่ การที่รัชทายาทฝ่ายบู๊ได้ใจนายท่านโหวฝ่ายบุ๋นเต็มเปี่ยม ย่อมได้ขั้วอำนาจเจ็ดตระกูลใหญ่ และเส้นสายฝ่ายต้นตระกูลโหวทั้งหมด ผนึกกำลังกับตระกูลเจียงของฮองเฮา นี่ยังไม่นับรวมหัวเรือใหญ่อีกหลายสกุล ที่จะเบนเข็มมาหาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป”หยูเสวี่ยนิ่งขรึมชั่วครู่จึงเปรยขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าพอจะดูออกว่าองค์รัชทายาทหาใช่บุรุษเจ้าสำราญที่ฝักใฝ่หญิงงามจนตามืดบอด เพียงแต่ไร้ใจกับพระชายาเกินไปก็เท่านั้น ส่วนการเข้าหอเพื่อดึงสตรีสกุลอื่นให้กลับมา ไม่จำเป็นเลยสักนิด และยิ่งได้สกุลเจียงของฮองเฮาช่วยออกหน้า มีหรือจะมิได้ผล”ในขณะที่หมิงจินก้มหน้าตั้งใจฟัง หยูเสวี่ยพลันช้อนตามองมาอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า“ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว หากแต่ชายหญิงไม่ควรเข้าหอโดยไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดล้วนลำบากใจทั้งสิ้น แ
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้