โม๋เอ๋อร์ล้วนเข้าใจในแบบของตนเอง ไร้ซึ่งความกังวลอย่างมีเหตุผลตามวิสัย
ในขณะที่หยูเสวี่ยมองผู้คนเหล่านี้อย่างประหวั่นอยู่ในใจ นึกพรั่นพรึงในอกเป็นอย่างมาก ยิ่งได้เห็นเหล่าอนุชายาเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสลดเยี่ยงนั้น ยิ่งได้คำตอบกระจ่างชัด
ท่ามกลางบ่าวไพร่ที่เดินก้มหน้าหวาดกลัว มีบรรดาอนุชายาเดินปะปนอยู่ด้วย และทันทีที่พวกนางมองเห็นชายาเอกแห่งรัชทายาท ในชุดสีแดงสดใส ประหนึ่งนางมารร้ายในคราบสตรีชั้นสูง ก็ต่างพากันร่ำไห้อย่างหวาดผวา
ในใจร่ำร้องกล่าวโทษว่า เป็นเพราะสตรีสกุลโหวผู้นี้แน่ๆ ที่ทำให้พวกนางถูกขับออกจากตำหนักบูรพาทั้งหมดเช่นนี้
มาวันแรกก็ถูกกักบริเวณไปหนึ่งคน วันที่สองยังกลายเป็นโรคร้ายอีกหนึ่งคน และยามนี้ก็ถูกขับไล่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวจนสิ้นตำหนัก น่ากลัวเกินไปแล้ว โฮ...
ในขณะที่อนุชายาคนอื่นๆ ต่างร้องไห้ในใจอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงฉีซิ่วเท่านั้นที่ร้องร่ำคำว่ายินดี
เหตุที่ฉีซิ่วรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะนางไม่ต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือน จนหลบเร้นแสงตะวันจันทราอย่างอดสู สามปีที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา ต้องทนห่อเหี่ยวปานใด ไยนางจะไม่ทรมานเล่า
สตรีจากหอคณิกาเช่นนางถึงแม้ว่าจะแค่ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง แต่หากมิได้รับความรักความอบอุ่นอันร้อนเร่าจากบุรุษคนใดเลย ให้ตายๆ ไปเสียยังดีกว่า
ถูกขับออกจากกรงทองเช่นนี้ย่อมดีแล้ว จะได้โบยบินไปซบอกบุรุษคนใหม่เสียที
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ยามเดินผ่านโม๋เอ๋อร์ ฉีซิ่วยังไม่ลืมเข้ามาทักทายอีกฝ่ายอย่างแช่มชื่น สีหน้าเบิกบานเป็นอย่างมาก “พระชายา หม่อมฉันฉีซิ่วทูลลาเพคะ เชิญพระองค์ทรงมีความสุขในตำหนักแห่งนี้นะเพคะ” นางหมายถึงตำหนักแห่งนี้คือกรงทอง และสตรีตรงหน้าคือนกน้อยผู้โง่เขลา
โม๋เอ๋อร์ยิ้มรับประโยคอวยพรของฉีซิ่วด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่มีความขุ่นเคืองอันใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าอนุชายาและบ่าวไพร่จะไปแห่งใด หากแต่คงรู้ได้ในอีกไม่ช้าหลังจากนี้ โม๋เอ๋อร์จึงอวยพรเสียงนุ่ม
“ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา ใต้หล้าช่างกว้างใหญ่เภทภัยมากมี หวังเพียงเจ้าปลอดภัยไร้ราคี”
ความหมายคือ อย่าได้ไปมั่วราคะมากจนเกินไปนักเล่า แม่จิ้งจอกน้อย!
“เพคะ หม่อมฉันย่อมสมปรารถนา” หวังเพียงว่าจะมีบุรุษดีๆ เข้ามา แล้วบอกรักกันทุกค่ำคืน ประโยคหลังฉีซิ่วมิได้เอ่ย นางเพียงยกยิ้มหวานล้ำเปี่ยมไปด้วยความหวังให้อีกฝ่าย
โม๋เอ๋อร์จึงพยักหน้าน้อย เป็นเชิงอนุญาตให้ไปได้
ช่างเป็นการเจรจาที่งดงามเหลือเกิน ให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำท่ามกลางสายฝนลูกไฟเป็นอย่างมาก
นับได้ว่าฉีซิ่วเปิดฉากการอำลาอย่างโจ่งแจ้งต่อสายตาของบรรดาอนุชายาคนอื่นๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้อนุชายาทุกคนจำต้องเข้ามากล่าวลาโม๋เอ๋อร์อย่างนอบน้อม สีหน้าดำคล้ำ กล้ำกลืนฝนทนอย่างที่สุด
แน่นอนว่าการเกรี้ยวกราดใส่สตรีสกุลโหวในยามนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่า นางมีน้ำหนักในใจขององค์รัชทายาทปานใด กระทั่งขับไล่สตรีทุกสกุลได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หึ! รอให้กลับถึงบ้านเดิมก่อนเถิด จะพาทุกคนในสกุล สุมหัวหาวิธีเล่นงานให้หนักเลยคอยดู!
สตรีทั้งหมดร่ำลากันเสร็จตามจริตที่มี โม๋เอ๋อร์ก็โบกมือส่งบรรดาอนุชายาทุกคนประหนึ่งปล่อยสัตว์ร้ายเข้าป่าใหญ่
หาได้ใส่ใจกับสายตาเคียดแค้นยากระงับเหล่านั้นไม่
สายตาของพวกนาง ร้ายกว่าเสือหรือไร?
โม๋เอ๋อร์ย่อมรู้ดีแก่ใจ ว่าไม่น่ากลัวเลยสักนิด!
หลังจากบรรดาอนุชายาทั้งหลายและเหล่าบ่าวไพร่ติดตามมากมายอันตรธานหายไปจนสิ้นโม๋เอ๋อร์ก็เดินกลับเข้าเรือนส่วนตัว แล้วเรียกนางกำนัลสองคนให้มาปรนนิบัติแทนหยูเสวี่ย เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเหนื่อยจนเกินไปเมื่อหญิงสาวอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เข้านอนเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอดั่งเช่นสตรีชั้นสูงผู้รักษาสุขภาพ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานจนล่วงเข้ายามค่ำ จึงได้รู้ตัวว่าหยูเสวี่ยหายตัวไปโม๋เอ๋อร์มองหาอีกฝ่ายจนทั่วห้อง ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของ หยูเสวี่ย จึงลุกจากเตียงแล้วเดินออกมาตามหาไปทั่วเรือน กระทั่งออกมานอกเรือนก็ยังไม่เจอหญิงสาวพาร่างระหงในชุดเตรียมนอนสีหวานพลิ้วไหวเยื้องกรายแช่มช้ามาได้เรื่อยๆ จึงได้เห็นหมิงเฉิงกำลังยืนคุยกับหวังกงกงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ริมอุทยานห่างออกไปโม๋เอ๋อร์ย่อมมีมารยาท ไม่คิดไปแอบฟังผู้ใด สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อมองหาหยูเสวี่ยอีกครา แต่ทว่าเมื่อยังหาคนที่ต้องการไม่เจอ จึงเปลี่ยนใจ คิดแอบฟังสามีอย่างมีมารยาทก็เท่านั้นทางด้านหมิงเฉิงที่กำลังยืนคุยกับหวังกงกงชายหนุ่มเพียงรับฟังขันทีเฒ่าด้วยสีหน้าเย็นชาไม่เผยอารมณ์ในขณะที่หวังกงกงยังคงไว้ซึ่งท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมย่อมทำตามพระ
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขึงตัวเขาอยู่ระหว่างสงครามแห่งการอบรมสอนสั่งของสองพ่อลูกผู้ยิ่งใหญ่มาช้านาน อายุแม้เกินครึ่งร้อยมาเล็กน้อย แต่เส้นผมทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งอยู่มาหลายร้อยปี เฮ่อ!ไม่นาน ...หวังกงกงก็ค้อมศีรษะขอตัวกลับ รอจนได้รับสัญญาณพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครา หวังกงกงไม่มีรอช้ารีบล่าถอยออกห่างอย่างหวาดหวั่นแล้วหายตัวไปอย่างเร็วคล้อยหลังขันทีเฒ่า รัชทายาทหนุ่มเพียงยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่ที่ริมอุทยานดังเดิมช่วงเดือนสิบย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเช่นนี้ สายลมยามราตรีนับได้ว่าเย็นเยียบยิ่งนัก หากแต่ร่างสูงคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนตระหง่านปานหินผายากสั่นคลอน ทว่าภายในใจกลับสั่นเบาๆใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เงยขึ้น ดวงตาคมดำเข้มลึกดุจน้ำหมึกทอดมองออกไปไกลแสนไกล เห็นดวงจันทร์สีนวลผ่องส่องสว่างแขวนอยู่กลางนภากว้างไร้การเคลื่อนไหวในห้วงคำนึงพลันนึกถึงดวงเนตรงามที่มีสีเขียววูบไว ที่เกิดขึ้นมากกว่าสามครั้งของใครบางคน ทันใดนั้นหมิงเฉิงจึงได้คำตอบให้ตนเองเขาควรเชื่อฟังคำพระบิดา!ใต้ต้นเหมยฮัวห่างออกมาจากริมอุทยานที่มีร่างสูงสง่าของรัชทายาทหนุ่มยืนนิ่งเงียบงันใต้แสงจันทร์งามโม๋เอ๋อร์ที่แอบมองอยู่ก็เร
หลังพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมาจากเรือนชิงเยว่ไม่ไกลหยูเสวี่ยและหมิงจินกำลังยืนสังเกตการณ์คู่สามีภรรยาอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ตั้งแต่ริมอุทยานกระทั่งในเรือนชิงเยว่ ทั้งสองล้วนได้ยินคำของหวังกงกงเช่นกัน คำถามคือ ต้องการให้คู่สามีภรรยาเข้าหอกันใช่หรือไม่? คำตอบย่อมต้องใช่!แล้วบรรดาอนุพวกนั้นเล่า ต้องการให้กลับมาหรือไม่? คำตอบย่อมต้องไม่!หยูเสวี่ยหันหน้ามองหมิงจินทันที ในแววตาคู่งามเผยทุกความคิด ทั้งข่มขู่และกดดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง“ท่านองครักษ์มีความคิดเห็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามชายหนุ่มข้างกายเสียงนุ่ม ทว่าสีหน้าจริงจังมาก แววตาคมกล้ายิ่ง หมิงจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ซ่อนแววเอื้อเอ็นดูเอาไว้พลางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทคงคิดจะเข้าหอกับพระชายาในไม่ช้า”“ด้วยเหตุผลเรียกคืนเหล่าอนุกระนั้นหรือ?” หยูเสวี่ยพลันหลุดเสียงเข้มขึ้นมา เผยความหงุดหงิดถึงสามส่วน “หากเขาจะเข้าหอกับคุณหนูของข้าเพื่อดึงสตรีอื่นเข้ามา ก็ข้ามศพบ่าวผู้นี้ไปก่อนเถิด” กล่าวจบก็เม้มปากแน่น สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจหมิงจินให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ทราบสาเหตุ ไฉนคนงามผู้อ่อนหวาน ยามโกรธาช่างน่ากลัวยิ่งหยูเสวี่ยร
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนุ่มหวานของหญิงสาวกล่าวอีกว่า“ก่อนหน้านี้ข่าวในตำหนักแพร่สะพัดว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันอย่างมาก มิสู้ปล่อยข่าวออกไปภายนอกให้ไกลอีกสักหน่อย แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากเข้าไว้ ตระกูลโหวแม้ยิ่งใหญ่ หากแต่ก็เป็นเพียงฝ่ายบุ๋นมาช้านาน หาได้กุมกำลังทหารกองใดไม่ การที่รัชทายาทฝ่ายบู๊ได้ใจนายท่านโหวฝ่ายบุ๋นเต็มเปี่ยม ย่อมได้ขั้วอำนาจเจ็ดตระกูลใหญ่ และเส้นสายฝ่ายต้นตระกูลโหวทั้งหมด ผนึกกำลังกับตระกูลเจียงของฮองเฮา นี่ยังไม่นับรวมหัวเรือใหญ่อีกหลายสกุล ที่จะเบนเข็มมาหาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป”หยูเสวี่ยนิ่งขรึมชั่วครู่จึงเปรยขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าพอจะดูออกว่าองค์รัชทายาทหาใช่บุรุษเจ้าสำราญที่ฝักใฝ่หญิงงามจนตามืดบอด เพียงแต่ไร้ใจกับพระชายาเกินไปก็เท่านั้น ส่วนการเข้าหอเพื่อดึงสตรีสกุลอื่นให้กลับมา ไม่จำเป็นเลยสักนิด และยิ่งได้สกุลเจียงของฮองเฮาช่วยออกหน้า มีหรือจะมิได้ผล”ในขณะที่หมิงจินก้มหน้าตั้งใจฟัง หยูเสวี่ยพลันช้อนตามองมาอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า“ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว หากแต่ชายหญิงไม่ควรเข้าหอโดยไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดล้วนลำบากใจทั้งสิ้น แ
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื