ตำหนักฉีหยางกงอันเป็นที่ประทับของเจียงฮองเฮา
หมิงเฉิงพาพระชายาของตนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เบื้องหลังมีองครักษ์คนสนิทที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่ไม่สำคัญ ต้องถูกรั้งให้รอได้เพียงแค่ด้านนอกตำหนักเท่านั้น
ตามกฎของพระราชวังต้าหมิง หากเป็นอาณาเขตของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และยิ่งเป็นตำหนักส่วนพระองค์ของมารดาแห่งแผ่นดิน ทุกคนต้องอยู่ลานกว้าง ต้องยืนก้มหน้าอย่างสงบ ตากแดดแผดเผา ตากลมเหน็บหนาว
ห้ามเดินเพ่นพ่านและห้ามนั่งเด็ดขาด!
โม๋เอ๋อร์เห็นหยูเสวี่ยถูกกันเอาไว้เช่นนั้นก็ให้นึกขัดเคืองยิ่งนัก ดวงหน้างามพลันบึ้งตึง ดวงตากลมโตถูกฉาบทับด้วยความเย็นเยียบทันที กิริยาน่ารักสดใสพลันอึมครึมทันใด
หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเครียดไปทางหมิงเฉิง “คนสนิทของท่านเข้ามาได้ แล้วเหตุใดคนของข้าจึงเข้ามามิได้”
สรรพนามที่ใช้เรียกสามีของภรรยาเปลี่ยนไปจนสิ้น เหลือเพียงความห่างเหิน เย็นชา
น้ำเสียงเจือโทสะที่เผยออกมาเช่นนั้น ทำเอาหมิงเฉิงกับหมิงจินต้องลอบพิจารณาพร้อมกัน เห็นใบหน้างามแสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่คือเรื่องร้ายแรงยิ่ง ก็ให้นึกแปลกใจ
โม๋เอ๋อร์แค่นเสียงคำหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบแต่แววตาแข็งกระด้าง “หากนางมิได้เข้ามา ข้าก็จะไม่เข้าไป”
หญิงสาวมักเป็นเช่นนี้ หากใจให้ความสำคัญกับผู้ใดแล้ว คนผู้นั้นย่อมไม่ควรถูกทิ้งขว้าง และนางก็จะไม่ทิ้งไป
โม๋เอ๋อร์หมุนกายระหงทำท่าจะเดินออกนอกตำหนักทันที มีกิริยาแง่งอนอย่างมาก
นางเม้มปากแก้มป่องมองค้อนหมิงเฉิงอย่างแค้นเคือง ปราศจากท่าทางใสซื่อหยอกล้อเช่นก่อนหน้านี้ชัดเจน
ท่าทางเฉียบขาดปราศจากเยื่อใย ทำเอารัชทายาทหนุ่มรู้สึกขนลุกไม่ทราบสาเหตุ ลางสังหรณ์จากที่ใดไม่แน่ชัด บอกเขาว่าไม่ควรอย่างยิ่ง เขาไม่ควรทำให้นางโกรธ...
ปฏิกิริยาของหมิงเฉิงรวดเร็วมาก เขาเอื้อมฝ่ามือแกร่งไปจับมือนุ่มนิ่มของสตรีผู้โกรธกรุ่นรุนแรงเอาไว้ทันที แล้วส่งสัญญาณทางสายตาให้หมิงจินที่ด้านหลัง ว่าให้ออกไปพาคนสนิทของพระชายาเข้ามาเดี๋ยวนี้
หมิงจินเองก็ไม่รอช้า เขารีบหมุนกายสูงสง่าเดินออกไปหาหยูเสวี่ยทันใด ในใจให้นึกขันพี่ชายเหลือเกิน
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน ความลนลานเมื่อถูกคนงามแง่งอนคืออันใด?
ภายในห้องโถงของตำหนักฉีหยางกงกว้างขวางโออ่า ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนล้ำค่า องค์ประกอบทุกสิ่งล้วนงดงามละลานตา
บนแท่นประทับทองคำ เจียงฮองเฮาทรงประทับนั่งรออยู่แล้วเป็นนาน
พระนางทอดพระเนตรเห็นปฏิกิริยาทั้งหมดของโอรสทั้งสองเป็นอย่างดี แม้จะมีพระชนมพรรษาล่วงเข้าเลขสี่แล้วเช่นนี้ หากแต่สายพระเนตรงดงามยังคงแจ่มชัดทั้งยังเฉียบคมหนักหนา
ที่หน้าห้องโถง ...หมิงเฉิงลากพระชายาเข้าตำหนักมา ถูกต้อง! เขาลากนางที่จู่ๆ ก็ดื้อรั้นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เข้าตำหนักมาหาองค์ฮองเฮาอย่างยากลำบาก
ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวแล้วดึงให้เข้าตำหนักมาด้วยกัน ท่วงท่าคล้ายจะอุ้มอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่จนใจที่ไม่อาจกระทำได้
เดิมทีเขาควรพานางเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เคียงข้างกันมาอย่างสูงส่งงดงาม เพื่อมิให้เป็นที่เคืองพระทัย
แต่ดูนางเถิด...
หมิงเฉิงให้รู้สึกขัดใจ แต่กลับทำได้เพียงตามใจอีกฝ่าย เพื่อมิให้พระมารดาทรงกังวล
สตรีหลายคนที่แต่งเป็นชายาให้เขา ล้วนไม่เคยมีใครได้เข้ามาถวายน้ำชาต่อพระพักตร์ มีเพียงสตรีสกุลโหวนางนี้เท่านั้น ที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ใด ทว่านางกลับเอาแต่ใจ นี่มิใช่กำลังรื้อสะพานข้ามแม่น้ำทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จหรอกหรือไร?
หมิงเฉิงฉุดดึงมือนุ่มนิ่มของโม๋เอ๋อร์ให้เดินตามเข้ามาด้านในอย่างดุดันเผด็จการ “เดินดีๆ”
โม๋เอ๋อร์ขัดขืนอย่างดื้อรั้น “ไยท่านไม่สนใจความรู้สึกข้า”
“มันใช่เวลามาแง่งอนหรือไม่?”
“อันใดคือแง่งอน?” โม๋เอ๋อร์ไม่รู้จักอาการที่ว่าจริงๆ
หมิงเฉิงขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้มขรึม “พูดมาก!”
“ข้าจะพูด!”
“...”
นางดื้อเกินไปแล้วจริงๆ หมิงเฉิงให้นึกแปลกใจ ว่าเหตุใด หมิงจินไม่พาคนสนิทของนางเข้ามาเสียที สตรีนางนี้จะได้หยุดกิริยาน่าตีให้สิ้น
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเขาควรโกรธที่นางดื้อรั้น มากกว่าเรื่องอื่นใด
โม๋เอ๋อร์ดึงดันไม่ยอมความอยู่ครู่หนึ่งก็เดินตามหมิงเฉิงแต่โดยดี เพราะเห็นแล้วว่าหยูเสวี่ยได้องครักษ์จินออกไปรับตัว
หยูเสวี่ยแอบส่งสายตาให้โม๋เอ๋อร์ สื่อความนัยว่าขอบคุณจากหัวใจ เพราะตัวนางที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ถูกประคบประหงมมาโดยตลอด ไหนเลยจักยืนต้านลมทนแดดได้
แน่นอนว่าความผูกพันระหว่างมิตรสหายล้วนเป็นเหตุ และหยูเสวี่ยก็ห่วงใยในตัวโม๋เอ๋อร์มาก จึงทำให้หยูเสวี่ยไม่อาจตัดใจละทิ้งไปโดยง่าย ทว่าการเป็นบ่าวรับใช้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน
หากให้ยืนตากแดดตากลม นางต้องล้มแน่ๆเวลาต่อมา ...พิธีการคำนับองค์ฮองเฮาตามจารีตประเพณีดำเนินไปอย่างถูกต้องทุกสิ่งกิริยาของโม๋เอ๋อร์ล้วนหมดจดงดงาม สูงส่งแต่นุ่มนวล ปราศจากการถือตัวเย่อหยิ่งใดๆ จริตมารยาทไร้ที่ติ กอปรกับดวงตากลมโตกระจ่างใส รอยยิ้มจริงใจ การพูดคุยเป็นธรรมชาติไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ยังผลให้เจียงฮองเฮานึกเอ็นดูไม่น้อยแต่กระนั้น ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาล้วนบอกนางได้ว่าพระชายาตรงหน้าเพียงกระทำไปตามหน้าที่ ไม่ว่าใครจักเป็นสามีหรือแม่สามี สตรีนางน้อยผู้นี้ย่อมทำได้ดีไม่ยากเย็นยิ่งได้พินิจดวงตาเจิดจรัสคู่นั้น ยิ่งได้ประจักษ์ถึงความรักความหลงใหลที่ควรมีต่อองค์รัชทายาท ล้วนไม่ปรากฏในดวงเนตรงามแต่อย่างใดเจียงฮองเฮาจ้องนิ่งที่พระชายาเอกของโอรสอย่างลึกล้ำ สีพระพักตร์นิ่งสงบไม่เปิดเผยความนัยใดๆเจียงเฟิ่งผู้นี้เดิมทีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต ต้นตระกูลเรืองอำนาจนับร้อยปี ค้ำชูราชสำนักทุกสมัยมาช้านานนางคือตัวเลือกว่าจักต้องเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ถือกำเนิดลืมตาไม่ว่าใครในรัชสมัยนี้ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางย่อมเป็นฮองเฮาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงแม้นางจะครอบครองตำแหน่งสูงส่ง อำนาจมากล้น ผู้คนห้อมล้อมเอาใจมาตั้งแต่เ
หลังจากร่วมเสวนากับบุตรชายและลูกสะใภ้พอควร เจียงฮองเฮาจึงรับสั่งมอบของกำนัลมากมายแก่พระชายาโหวตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทั้งยังทรงอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักชั้นในเพื่อเลือกเฟ้นสิ่งล้ำค่าด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ เสื้อผ้าแพรพรรณมากมาย รวมถึงเครื่องประดับงดงามหายากทั้งหลายโม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มสว่างจ้า ดวงตาวาวใสดุจวารี นางยินดีรับมอบทุกสิ่งไม่คิดปฏิเสธ รีบลุกออกจากเก้าอี้ทันที ไร้ซึ่งเยื่อใยต่อชายข้างกายทันใด ทุกสิ่งล้วนน่าสนใจยิ่งกว่าสามีหนักหนาหมิงเฉิงเห็นเช่นนั้น เรียวคิ้วพลันขมวด ใบหน้าเริ่มบึ้งตึง นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เพราะนางผู้สร้างความว่างเปล่าด้านข้างให้เขา กำลังสนใจทุกสิ่งยกเว้นเขาภายในห้องชั้นใน ...ชั่วจังหวะที่โม๋เอ๋อร์กำลังพาหยูเสวี่ยเดินชมสมบัติมากมายอย่างแช่มชื่น ดวงตากลมโตพลันเหลือบไปเห็นสวนพฤกษาทางฝั่งหนึ่งของตำหนักหญิงสาวนึกชอบมาก จึงเดินมาขออนุญาตเจียงฮองเฮาด้วยตนเอง หลังจากได้รับรอยยิ้มใจดีเป็นเชิงยินยอม โม๋เอ๋อร์ก็จับจูงมือหยูเสวี่ยให้เดินไปทางนั้นทันที สตรีทั้งสองจึงเดินเล่นในสวนหลังตำหนักที่รอบด้านมีภูเขาจำลอง น้ำตกขนาดเล็ก ที่ให้ความรู้สึกคล้ายป่าใหญ่ถูกทำใ
ตะวันเปลี่ยนทิศ แสงแดดอ่อนจาง บ่งบอกเวลาล่วงเข้ายามเย็นหมิงเฉิงจึงเอ่ยชักนำโม๋เอ๋อร์ให้ทูลลาเจียงฮองเฮา โดยที่ตัวเขากับองครักษ์คนสนิทเดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่คิดรั้งรอพระชายา เพราะว่าไม่ต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกันให้ใจสั่นเหมือนช่วงก่อนหน้า รัชทายาทหนุ่มทำตัวเหินห่างพระชายาในอีกครา เย็นชามากว่าเดิมหลายส่วน บนใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมแขวนความเคร่งเครียดชัดเจน คล้ายกำลังสับสนในบางสิ่งผสานการสะกดกลั้นทุกห้วงความคิดและความต้องการในส่วนลึกของหัวใจอย่างยากลำบากหมิงจินที่เดินเยื้องแผ่นหลังหมิงเฉิงถึงกับต้องหรี่ตามอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่เข้มข้นมากกว่าทุกวันอันที่จริง ตัวตนของหมิงเฉิงก็มักจะเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว หากแต่ครานี้ เสมือนว่าเขามิได้เย็นชาตามวิสัย หากแต่กำลังกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนเองด้วยการนำความเย็นชามาใส่ หมายปิดบังอำพรางความต้องการที่แท้จริงเสียมากกว่า ซึ่งหมิงจินไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นอะไรเมื่อแผ่นหลังกว้างใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนของบุรุษสองคนเดินย่ำเท้าหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งองครักษ์ติดตามคนอื่นๆ ยังแทบเดินตามไม่ทันโม๋เอ๋อร์ก็ได้นั่งรถม้าส่วนพระองค์เพียงคนเด
หมิงเหอนั้น ถึงแม้ว่าจะมีชายาแล้วหลายคน แต่ด้วยนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญเป็นทุนเดิม จึงคิดจะเข้าไปเกี้ยวพาสตรีในครรลองสายตาในทันที ทว่ากลับถูกเว่ยหลุนที่พึงใจเช่นกันพลันเอ่ยปากห้ามเอาไว้อย่างมีชั้นเชิงว่า“ทูลองค์ชาย กระหม่อมคิดว่า เทศกาลล่าสัตว์ที่ใกล้จะถึงนี้ หากองค์ชายได้รับหน้าที่จัดสรร ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลงานโดดเด่นต้องพระทัยฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ และมิใช่ว่าองค์ชายใหญ่ก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกัน องค์ชายไม่ทรงคิดว่าควรเข้าเฝ้าทันทีเพื่อตัดหน้าหรือพะย่ะค่ะ”เมื่อหมิงเหอได้ยินเช่นนั้นพลันอึ้งไป เขาขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้ม สายตาคมยังคงจับจ้องไปที่โม๋เอ๋อร์ แต่ปากกลับบ่นพึมพำว่า “หึ! มิใช่ว่าเจ้าก็พึงใจนางเช่นกันหรอกหรือ เว่ยหลุน! อย่าแม้แต่จะคิดแย่งสตรีที่ข้าหมายตาเชียว”นับว่าเป็นการคุยเรื่องการเมืองได้เคร่งเครียดยิ่งเว่ยหลุนรีบทำสีหน้าขึงขังเคร่งขรึมยามเอ่ย“กระหม่อมมีคู่หมั้นแล้ว ไหนเลยจักกล้าทำตัวออกนอกลู่นอกทางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”หมิงเหอหันมามองอย่างเหยียดหยัน ไม่เชื่อคำอีกฝ่ายแม้แต่น้อยจังหวะนั้น พลันมีทหารผู้หนึ่งเดินขึงขังเข้ามา แล้วแจ้งว่า“ทูลองค์ชายรอง องค์ชายใหญ่กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่า
ถึงแม้จะเป็นการปฏิเสธไร้ซึ่งเยื่อใย ทว่ายามนี้เว่ยหลุนคล้ายกับวิญญาณหลุดลอยจากร่างไปแล้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและสำเนียงคำเอ่ยที่ไพเราะเสนาะโสตยิ่งลืมตัวเผลอไผล เขาทำได้เพียงมองเหม่อสตรีตรงหน้า พูดจาไม่ออกสักคำ ทว่าฝ่ามือกลับว่องไว กลายร่างเป็นโจรเด็ดบุปผา เขาก้าวขึ้นหน้า เกือบประชิดคนงาม แล้วเอื้อมมือไปจับชายเสื้อสีแดงของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแม่นยำ รุกล้ำกันอย่างเหิมเกริม ไม่มีเก็บข่มอันใดทว่าชั่วอึดใจ ...พลันรับรู้ได้ถึงพลังเย็นปริศนาสายหนึ่ง ซึ่งทำให้ลำตัวของเขาชาวาบ ก่อนจะค่อยๆ ปวดหนึบจนมืออ่อน ชายอาภรณ์ของสตรีที่จับเอาไว้พลันหลุดออกไปเมื่อใดมิอาจทราบ ลำตัวหนาใหญ่พลันแข็งกระด้างชะงักเกร็ง ประหนึ่งถูกแช่แข็งและตรึงด้วยโซ่เหล็กที่มองไม่เห็นเว่ยหลุนยืนนิ่งแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ทำอันใดมิได้มากไปกว่ากลายร่างเป็นรูปปั้นในบัดดลเดิมทีเว่ยหลุนผู้นี้เป็นแม่ทัพหนุ่มผู้กร้าวแกร่ง ไม่เคยหวั่นต่อสมรภูมิรบใดหากแต่น่าเสียดายที่บังเอิญได้มาพบสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์แม้หัวใจมักแพ้พ่ายให้แก่สตรีงดงามอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยละหลวมถึงเพียงนี้ แต่ยามนี้คล้ายกับว่าเขาเป็นเอามาก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดี
กลางทางเดินของสวนสวยห่างออกมาจากร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มนามเว่ยหลุนโม๋เอ๋อร์ที่ถูกหยูเสวี่ยจับประคองให้เดินอย่างเร็วก็นึกแปลกใจ ทั้งยังนึกเป็นห่วงสหายใหม่อย่างยิ่งยวด เห็นเขาจู่ๆ ก็เดินขึ้นหน้าประชิดเข้ามาจับชายผ้าตรงแขนเสื้อ นางจึงพลั้งเผลอปล่อยพลังปราณเย็นสายหนึ่งเข้าใส่ เพราะนึกหวงตัวมิอาจให้ชายใดได้แตะต้องนอกจากสามีเพราะนาง ...ชายผู้นั้นจึงต้องชาหนึบไปทั่วร่าง กลายเป็นก้อนน้ำแข็งยืนนิ่ง ทำได้เพียงยืนเหม่อมอง สายตาล่องลอย น้ำลายคล้ายจะไหลย้อยออกมาจากปากเช่นนั้นอา...นางทำร้ายผู้คนโดยใช่เหตุเข้าเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันคิดร้ายอันใดต่อนางเลยอืม...หรือว่าเขาไม่สบาย คงเมาเกสรดอกไม้อันใดมา ควรเรียกหมอหลวงให้เขาดีหรือไม่?หญิงสาวมักมองโลกในแง่ดีเช่นนี้เอง ยามไม่มีใครทำให้โกรธกรุ่นก็มักจะเป็นสตรีจิตใจงามอย่างที่สุด แม้ทำร้ายอีกฝ่ายไปแล้วก็ยังนึกห่วงใยขึ้นมา หยูเสวี่ยย่อมรู้จักโม๋เอ๋อร์ในเรื่องนี้ จึงรีบจับประคองให้อีกฝ่ายเดินหนีมาอย่างเร็ว เพื่อป้องกันคำครหา นางต้องปกป้องโม๋เอ๋อร์ทุกสิ่งยิ่งเห็นสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มทอประกายหยาดเยิ้ม ทั้งยังเข้าประชิดจับชายแขนเสื้อกันเช่นนั้น
โม๋เอ๋อร์ล้วนเข้าใจในแบบของตนเอง ไร้ซึ่งความกังวลอย่างมีเหตุผลตามวิสัยในขณะที่หยูเสวี่ยมองผู้คนเหล่านี้อย่างประหวั่นอยู่ในใจ นึกพรั่นพรึงในอกเป็นอย่างมาก ยิ่งได้เห็นเหล่าอนุชายาเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสลดเยี่ยงนั้น ยิ่งได้คำตอบกระจ่างชัดท่ามกลางบ่าวไพร่ที่เดินก้มหน้าหวาดกลัว มีบรรดาอนุชายาเดินปะปนอยู่ด้วย และทันทีที่พวกนางมองเห็นชายาเอกแห่งรัชทายาท ในชุดสีแดงสดใส ประหนึ่งนางมารร้ายในคราบสตรีชั้นสูง ก็ต่างพากันร่ำไห้อย่างหวาดผวาในใจร่ำร้องกล่าวโทษว่า เป็นเพราะสตรีสกุลโหวผู้นี้แน่ๆ ที่ทำให้พวกนางถูกขับออกจากตำหนักบูรพาทั้งหมดเช่นนี้ มาวันแรกก็ถูกกักบริเวณไปหนึ่งคน วันที่สองยังกลายเป็นโรคร้ายอีกหนึ่งคน และยามนี้ก็ถูกขับไล่โดยไม่ทันได้ตั้งตัวจนสิ้นตำหนัก น่ากลัวเกินไปแล้ว โฮ...ในขณะที่อนุชายาคนอื่นๆ ต่างร้องไห้ในใจอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงฉีซิ่วเท่านั้นที่ร้องร่ำคำว่ายินดีเหตุที่ฉีซิ่วรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะนางไม่ต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือน จนหลบเร้นแสงตะวันจันทราอย่างอดสู สามปีที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา ต้องทนห่อเหี่ยวปานใด ไยนางจะไม่ทรมานเล่าสตรีจากหอคณิกาเช่นนางถึงแม้ว่าจะแค่
หลังจากบรรดาอนุชายาทั้งหลายและเหล่าบ่าวไพร่ติดตามมากมายอันตรธานหายไปจนสิ้นโม๋เอ๋อร์ก็เดินกลับเข้าเรือนส่วนตัว แล้วเรียกนางกำนัลสองคนให้มาปรนนิบัติแทนหยูเสวี่ย เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเหนื่อยจนเกินไปเมื่อหญิงสาวอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เข้านอนเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอดั่งเช่นสตรีชั้นสูงผู้รักษาสุขภาพ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานจนล่วงเข้ายามค่ำ จึงได้รู้ตัวว่าหยูเสวี่ยหายตัวไปโม๋เอ๋อร์มองหาอีกฝ่ายจนทั่วห้อง ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของ หยูเสวี่ย จึงลุกจากเตียงแล้วเดินออกมาตามหาไปทั่วเรือน กระทั่งออกมานอกเรือนก็ยังไม่เจอหญิงสาวพาร่างระหงในชุดเตรียมนอนสีหวานพลิ้วไหวเยื้องกรายแช่มช้ามาได้เรื่อยๆ จึงได้เห็นหมิงเฉิงกำลังยืนคุยกับหวังกงกงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ริมอุทยานห่างออกไปโม๋เอ๋อร์ย่อมมีมารยาท ไม่คิดไปแอบฟังผู้ใด สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อมองหาหยูเสวี่ยอีกครา แต่ทว่าเมื่อยังหาคนที่ต้องการไม่เจอ จึงเปลี่ยนใจ คิดแอบฟังสามีอย่างมีมารยาทก็เท่านั้นทางด้านหมิงเฉิงที่กำลังยืนคุยกับหวังกงกงชายหนุ่มเพียงรับฟังขันทีเฒ่าด้วยสีหน้าเย็นชาไม่เผยอารมณ์ในขณะที่หวังกงกงยังคงไว้ซึ่งท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมย่อมทำตามพระ
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้