แน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่ต้องการเพิ่มอนุชายาเข้ามาให้สามี เพราะที่มีอยู่ก็หลายคนแล้ว นางต้องป้องกันอาณาเขตให้ตนเองตามหน้าที่พึงกระทำ จึงกล่าวด้วยภาษาดอกไม้ที่ได้ฝึกฝนอย่างดี เพื่อปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลว่า“น้องสาวท่านนี้ อุตส่าห์เดินมาเป็นลมถึงที่นี่ เจ็บมากหรือไม่? ถ้ารู้ว่าเป็นคนอ่อนแอ ไยไม่รักษาตัวเองให้ดี หากรัชทายาทกับข้าไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าคงลำบากแย่แล้ว”พระชายาในรัชทายาทผู้สวมอาภรณ์หรูหราสีแดงเพลิง ประดับปิ่นหงส์สยายปีกมีม่านทองระย้า แต่งหน้าจัดจ้าน กิริยาข่มขวัญผู้คน นางเอ่ยวาจานุ่มนวล แต่แอบเชือดเฉือนได้แสบสัน ความหมายซ่อนนัยประโยคนั้นคือเจ้าจะแส่หาเรื่องไปไย? ไฉนไม่อยู่แต่ในห้องหับ ออกมาเพ่นพ่านหมายรบกวนสามีผู้อื่นทำไมไม่ทราบ!หมิงเยว่ชิงได้ยินเช่นนั้นย่อมเข้าใจเพราะเกิดและเติบโตในวัง ก็ให้รู้สึกขัดเคืองฉับพลัน จึงโต้แย้งว่า“พระชายาย่อมเห็นแจ้ง ว่าคุณหนูท่านนี้เป็นลมล้มลงกะทันหัน ใครกันจะเลือกสถานที่ได้ ท่านมิใช่จิตใจคับแคบจนเกินไป” ยามเอ่ยยังยึดแขนหมิงเฉิงเอาไว้แน่น แล้วออดอ้อนว่า“พี่สาม ท่านช่วยนางเถิด เห็นหรือไม่? ว่านางบอบบางเหลือเกิน น่าเห็นใจนัก พระชายาของท่านไยร้ายกา
ห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ ใต้ต้นไม้หนึ่งที่เบื้องล่างมีหินอ่อนทรงเหลี่ยมคล้ายตั่งสำหรับนั่งได้สองคนหยูเสวี่ยถือโอกาสพาร่างระหงอ่อนแรงมานั่งลงเพื่อรั้งรอโม๋เอ๋อร์ที่ถูกองค์รัชทายาทพาตัวไปร่มไม้ตรงนี้ช่วยให้นางหายเหนื่อยได้ไม่น้อย ใบหน้างามที่มีหยาดเหงื่อเกาะพราวได้รับการซับออกไปอย่างนุ่มนวลด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดสอ้าน พวงแก้มเนียนที่ซับสีเลือดจนแดงเปล่งปลั่งเริ่มกลับมาเป็นอมชมพูระเรื่อดวงเนตรงามคอยมองตามพระชายาไม่วางตา แผ่นหลังของนางตั้งตรง ฝ่ามือน้อยๆ วางเอาไว้ที่หน้าตักอย่างสำรวม ชายกระโปรงขยับเบาๆ พลิ้วไปตามสายลมหญิงสาวนั่งนิ่งท่าทางสุภาพเกินกิริยาสาวใช้อย่างลืมตัว ซึ่งอันที่จริงนางไม่ควรนั่ง แต่ด้วยความเหนื่อยจึงไม่ทันได้คิดอะไรหากกล่าวกันตามจริงแล้ว มองเพียงผิวเผิน ก็แค่สาวใช้แอบนั่งเพื่อหลบงานหนัก โทษก็แค่ถูกเจ้านายตำหนิ หรือสั่งให้ไปกวาดลานสามวัน ไม่นับว่าเป็นอะไรห่างออกไปไม่ไกล หมิงจินยืนมองหยูเสวี่ยอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมลอบสังเกตทุกปฏิกิริยาของนางอย่างเผลอไผลเขาเห็นนางคล้ายคุณหนูในห้องหอ กำลังนั่งรอคนสนิทไปวิ่งเล่นเพื่อเก็บดอกไม้มาฝากเสียมากกว่าหาใช่สาวใช้ผู้อู
ห่างออกมาจากคู่ชายหญิงประหนึ่งคู่ยวนยางที่ศาลาแปดเหลี่ยมริมบึง ...เรือนร่างระเหิดระหงในอาภรณ์สีชิง[1]หรูหรา ประดับประดาปิ่นทองระย้างดงาม กำลังนั่งชมทิวทัศน์อันร่มรื่นอยู่เงียบๆ นางคือพระสนมชิงเฟย เจ้าของวงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำ กิริยาดุจนางฟ้านางสวรรค์ แต่ภายในกลับซ่อนเขี้ยวเล็บอันแหลมคมเคลือบพิษร้ายเอาไว้ได้แนบเนียนเสมอมาสายตาคู่งามจับจ้องไปทางองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาและพระชายาผู้งดงาม นางมองอย่างไม่วางตา แฝงความเคียดแค้นชิงชังเต็มเปี่ยม ในใจครุ่นคิดเพียงว่าต้องการฆ่าฝ่ายชาย โค่นล้มตระกูลฝ่ายหญิงให้สิ้นชื่อ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่นางเก็บเอาไว้มิได้บอกใครชิงเฟยผู้นี้มีนามว่า ชิงจิ้ง เป็นสตรีที่แอบหลงใหลในตัวหมิงเฉิงเมื่อแรกเห็นหลายครั้งหลายคราที่มีงานเลี้ยงในวังหลวง นางมีโอกาสติดตามบิดาที่เป็นขุนนางใหญ่มาร่วมตามสิทธิ์ ได้เจอหมิงเฉิงก็อยากจะแนบชิด สรรหาวิธีสารพัดอย่างใจกล้าบ้างทำทีบังเอิญเจอหน้า บ้างทำท่าอ่อนแอออดอ้อน กระทั่งงัดมารยายั่วยวนเข้าใส่ แม้แต่ยื่นไมตรีแบบตรงๆ อย่างเปิดเผยไร้ยางอายในที่ลับตา นางก็เคยทำมาแล้วแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่ความเฉยชา ห่างเหิน ไว้ท่าวางเ
ตำหนักฉีหยางกงอันเป็นที่ประทับของเจียงฮองเฮาหมิงเฉิงพาพระชายาของตนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย เบื้องหลังมีองครักษ์คนสนิทที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่ไม่สำคัญ ต้องถูกรั้งให้รอได้เพียงแค่ด้านนอกตำหนักเท่านั้นตามกฎของพระราชวังต้าหมิง หากเป็นอาณาเขตของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และยิ่งเป็นตำหนักส่วนพระองค์ของมารดาแห่งแผ่นดิน ทุกคนต้องอยู่ลานกว้าง ต้องยืนก้มหน้าอย่างสงบ ตากแดดแผดเผา ตากลมเหน็บหนาวห้ามเดินเพ่นพ่านและห้ามนั่งเด็ดขาด!โม๋เอ๋อร์เห็นหยูเสวี่ยถูกกันเอาไว้เช่นนั้นก็ให้นึกขัดเคืองยิ่งนัก ดวงหน้างามพลันบึ้งตึง ดวงตากลมโตถูกฉาบทับด้วยความเย็นเยียบทันที กิริยาน่ารักสดใสพลันอึมครึมทันใดหญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเครียดไปทางหมิงเฉิง “คนสนิทของท่านเข้ามาได้ แล้วเหตุใดคนของข้าจึงเข้ามามิได้”สรรพนามที่ใช้เรียกสามีของภรรยาเปลี่ยนไปจนสิ้น เหลือเพียงความห่างเหิน เย็นชา น้ำเสียงเจือโทสะที่เผยออกมาเช่นนั้น ทำเอาหมิงเฉิงกับหมิงจินต้องลอบพิจารณาพร้อมกัน เห็นใบหน้างามแสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่คือเรื่องร้ายแรงยิ่ง ก็ให้นึกแปลกใจโม๋เอ๋อร์แค่นเสียงคำหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน
เวลาต่อมา ...พิธีการคำนับองค์ฮองเฮาตามจารีตประเพณีดำเนินไปอย่างถูกต้องทุกสิ่งกิริยาของโม๋เอ๋อร์ล้วนหมดจดงดงาม สูงส่งแต่นุ่มนวล ปราศจากการถือตัวเย่อหยิ่งใดๆ จริตมารยาทไร้ที่ติ กอปรกับดวงตากลมโตกระจ่างใส รอยยิ้มจริงใจ การพูดคุยเป็นธรรมชาติไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ยังผลให้เจียงฮองเฮานึกเอ็นดูไม่น้อยแต่กระนั้น ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาล้วนบอกนางได้ว่าพระชายาตรงหน้าเพียงกระทำไปตามหน้าที่ ไม่ว่าใครจักเป็นสามีหรือแม่สามี สตรีนางน้อยผู้นี้ย่อมทำได้ดีไม่ยากเย็นยิ่งได้พินิจดวงตาเจิดจรัสคู่นั้น ยิ่งได้ประจักษ์ถึงความรักความหลงใหลที่ควรมีต่อองค์รัชทายาท ล้วนไม่ปรากฏในดวงเนตรงามแต่อย่างใดเจียงฮองเฮาจ้องนิ่งที่พระชายาเอกของโอรสอย่างลึกล้ำ สีพระพักตร์นิ่งสงบไม่เปิดเผยความนัยใดๆเจียงเฟิ่งผู้นี้เดิมทีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต ต้นตระกูลเรืองอำนาจนับร้อยปี ค้ำชูราชสำนักทุกสมัยมาช้านานนางคือตัวเลือกว่าจักต้องเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ถือกำเนิดลืมตาไม่ว่าใครในรัชสมัยนี้ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ นางย่อมเป็นฮองเฮาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงแม้นางจะครอบครองตำแหน่งสูงส่ง อำนาจมากล้น ผู้คนห้อมล้อมเอาใจมาตั้งแต่เ
หลังจากร่วมเสวนากับบุตรชายและลูกสะใภ้พอควร เจียงฮองเฮาจึงรับสั่งมอบของกำนัลมากมายแก่พระชายาโหวตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทั้งยังทรงอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักชั้นในเพื่อเลือกเฟ้นสิ่งล้ำค่าด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ เสื้อผ้าแพรพรรณมากมาย รวมถึงเครื่องประดับงดงามหายากทั้งหลายโม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มสว่างจ้า ดวงตาวาวใสดุจวารี นางยินดีรับมอบทุกสิ่งไม่คิดปฏิเสธ รีบลุกออกจากเก้าอี้ทันที ไร้ซึ่งเยื่อใยต่อชายข้างกายทันใด ทุกสิ่งล้วนน่าสนใจยิ่งกว่าสามีหนักหนาหมิงเฉิงเห็นเช่นนั้น เรียวคิ้วพลันขมวด ใบหน้าเริ่มบึ้งตึง นึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เพราะนางผู้สร้างความว่างเปล่าด้านข้างให้เขา กำลังสนใจทุกสิ่งยกเว้นเขาภายในห้องชั้นใน ...ชั่วจังหวะที่โม๋เอ๋อร์กำลังพาหยูเสวี่ยเดินชมสมบัติมากมายอย่างแช่มชื่น ดวงตากลมโตพลันเหลือบไปเห็นสวนพฤกษาทางฝั่งหนึ่งของตำหนักหญิงสาวนึกชอบมาก จึงเดินมาขออนุญาตเจียงฮองเฮาด้วยตนเอง หลังจากได้รับรอยยิ้มใจดีเป็นเชิงยินยอม โม๋เอ๋อร์ก็จับจูงมือหยูเสวี่ยให้เดินไปทางนั้นทันที สตรีทั้งสองจึงเดินเล่นในสวนหลังตำหนักที่รอบด้านมีภูเขาจำลอง น้ำตกขนาดเล็ก ที่ให้ความรู้สึกคล้ายป่าใหญ่ถูกทำใ
ตะวันเปลี่ยนทิศ แสงแดดอ่อนจาง บ่งบอกเวลาล่วงเข้ายามเย็นหมิงเฉิงจึงเอ่ยชักนำโม๋เอ๋อร์ให้ทูลลาเจียงฮองเฮา โดยที่ตัวเขากับองครักษ์คนสนิทเดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่คิดรั้งรอพระชายา เพราะว่าไม่ต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกันให้ใจสั่นเหมือนช่วงก่อนหน้า รัชทายาทหนุ่มทำตัวเหินห่างพระชายาในอีกครา เย็นชามากว่าเดิมหลายส่วน บนใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมแขวนความเคร่งเครียดชัดเจน คล้ายกำลังสับสนในบางสิ่งผสานการสะกดกลั้นทุกห้วงความคิดและความต้องการในส่วนลึกของหัวใจอย่างยากลำบากหมิงจินที่เดินเยื้องแผ่นหลังหมิงเฉิงถึงกับต้องหรี่ตามอง เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวที่เข้มข้นมากกว่าทุกวันอันที่จริง ตัวตนของหมิงเฉิงก็มักจะเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว หากแต่ครานี้ เสมือนว่าเขามิได้เย็นชาตามวิสัย หากแต่กำลังกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนเองด้วยการนำความเย็นชามาใส่ หมายปิดบังอำพรางความต้องการที่แท้จริงเสียมากกว่า ซึ่งหมิงจินไม่แน่ใจว่าพี่ชายเป็นอะไรเมื่อแผ่นหลังกว้างใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนของบุรุษสองคนเดินย่ำเท้าหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งองครักษ์ติดตามคนอื่นๆ ยังแทบเดินตามไม่ทันโม๋เอ๋อร์ก็ได้นั่งรถม้าส่วนพระองค์เพียงคนเด
หมิงเหอนั้น ถึงแม้ว่าจะมีชายาแล้วหลายคน แต่ด้วยนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญเป็นทุนเดิม จึงคิดจะเข้าไปเกี้ยวพาสตรีในครรลองสายตาในทันที ทว่ากลับถูกเว่ยหลุนที่พึงใจเช่นกันพลันเอ่ยปากห้ามเอาไว้อย่างมีชั้นเชิงว่า“ทูลองค์ชาย กระหม่อมคิดว่า เทศกาลล่าสัตว์ที่ใกล้จะถึงนี้ หากองค์ชายได้รับหน้าที่จัดสรร ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลงานโดดเด่นต้องพระทัยฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ และมิใช่ว่าองค์ชายใหญ่ก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกัน องค์ชายไม่ทรงคิดว่าควรเข้าเฝ้าทันทีเพื่อตัดหน้าหรือพะย่ะค่ะ”เมื่อหมิงเหอได้ยินเช่นนั้นพลันอึ้งไป เขาขมวดคิ้วกล่าวเสียงเข้ม สายตาคมยังคงจับจ้องไปที่โม๋เอ๋อร์ แต่ปากกลับบ่นพึมพำว่า “หึ! มิใช่ว่าเจ้าก็พึงใจนางเช่นกันหรอกหรือ เว่ยหลุน! อย่าแม้แต่จะคิดแย่งสตรีที่ข้าหมายตาเชียว”นับว่าเป็นการคุยเรื่องการเมืองได้เคร่งเครียดยิ่งเว่ยหลุนรีบทำสีหน้าขึงขังเคร่งขรึมยามเอ่ย“กระหม่อมมีคู่หมั้นแล้ว ไหนเลยจักกล้าทำตัวออกนอกลู่นอกทางเล่าพ่ะย่ะค่ะ”หมิงเหอหันมามองอย่างเหยียดหยัน ไม่เชื่อคำอีกฝ่ายแม้แต่น้อยจังหวะนั้น พลันมีทหารผู้หนึ่งเดินขึงขังเข้ามา แล้วแจ้งว่า“ทูลองค์ชายรอง องค์ชายใหญ่กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่า
ภายในกระโจมหลังงาม รอบด้านมีแสงเทียนสีทองข้างเตียงนอนมีนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลไร้สติตรงประตูทางเข้ากระโจมที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าเนื้อหนา ไร้ผู้ใดเข้ามา มีเพียงสองชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังยืนประจันหน้าเงียบงัน ไร้ภาวะเจรจาโดยพลัน สิ่งที่หมิงเฉิงไม่รู้ คือสร้อยเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอกำลังเรืองแสงบางเบาจนพลังแห่งการปกป้องที่ซ่อนเร้นในสร้อยส่งผลให้สตรีงดงามตรงหน้าถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ จนต้องเปิดเผยตัวตนที่เป็นปีศาจในที่สุดเรียวนิ้วงามที่กำลังยกขึ้นเพื่อลูบไล้ร่างแกร่งพลันชะงัก แม้รอยยิ้มยั่วยวนยังไม่ทันจางหาย หากแต่พลังจากเขี้ยวราชสีห์กลับทำให้นัยน์ตาดำขลับของนางกลายเป็นสีเขียวเข้ม ปฏิกิริยาระหว่างนางกับเขี้ยวราชสีห์มีสัมพันธ์บางอย่างต่อกันหัวใจชายในอกแกร่งพลันเต้นระส่ำรุนแรง เมื่อหมิงเฉิงเห็นดวงตาสีเขียวของนางเนิ่นนาน มิใช่เพียงชั่ววูบเดียวเหมือนของชายาโหวทว่าในขณะที่มือแกร่งกำลังจะเอื้อมขึ้นมารั้งร่างระหงให้เข้าใกล้เพื่อพินิจให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หญิงงามพลันถอยร่นหนีห่างออกไปถึงสามก้าว จากนั้นเรือนร่างอรชรก็เริ่มเปลี่ยนสีจากเนื้อเนียนสีขาวละเอียดลออเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เส้นผ
ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้ากระโจมชั่วครู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ เปิดประตูที่ทำจากผ้าเนื้อหนา แล้วเดินเข้าไปช้าๆเมื่อเดินเข้ามาในกระโจมของพระชายา สายตาคมกวาดมองไปที่เตียงนอน เห็นนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลประหนึ่งตายจากอยู่บนฟูกที่พื้นหน้าเตียงเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งขมวดพันกันแน่นคล้ายกลายเป็นปมเชือก เมื่อมองไม่เห็นเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่บนเตียงนั่นสายตาคมกล้าจึงกวาดมองไปทั่วกระโจม ทันใดนั้นพลันสะดุดกับสตรีนางหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ตรงมุมอับภายในกระโจมร่างหนานิ่งค้างในบัดดล จ้องมองสตรีนางนั้นนิ่งงันเพราะว่าดึกมากแล้ว แสงเทียนสีทองจึงเริ่มมอดดับ ความสว่างจึงสาดส่องไม่ทั่วสักเท่าไหร่ หมิงเฉิงจึงเห็นสตรีปริศนาแค่เพียงรำไรในครรลองสายตา นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบางเบา แหวกสาบเสื้อเปิดเปลือยเนินเนื้ออวบอิ่มนูนเด่นออกมามากกว่าครึ่งเต้า สร้างความรู้สึกวาบหวามไม่เบาแก่ผู้จ้องมองม่านตาดำพลันหดเล็กแคบ ตรึงมองนางไม่ไหวติงหมิงเฉิงชะงักงันไปชั่วขณะ มิใช่เพราะความเย้ายวนที่เรือนกาย ทว่าเป็นเพราะเมื่อสตรีงดงามนางนี้ค่อยๆ ผินหน้ามา เค้าโครงหน้าตาของนางหาใช่ชายาแห่งเขาไม่!ชายหนุ่มยิ่งขม
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่