หมิงเฉิงยิ่งสะกดสายตาคมดำที่พระชายาอย่างลึกล้ำ ฝ่ามือหนารีบจับกระชับมือบางเอาไว้โดยพลัน พลางใช้ท้องนิ้วเขี่ยไล้คลึงเล่นคล้ายหยอกเย้า ทำนางสะดุ้งชะงักงันไปชั่วอึดใจ ทว่าก็ยังพอตั้งสติได้ หญิงสาวค่อยๆ ลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล ระงับอาการสั่นไหวหวาดระแวง จากนั้นก็พยายามบิดมือเพื่อออกจากการเกาะกุม หมายผละไปให้ไกลห่างอย่างแนบเนียนที่สุด
การกระทำแค่นี้ มีหรือหมิงเฉิงจะยอม เขายิ่งกุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่คิดปล่อย
โม๋เอ๋อร์ก็มิใช่ด้อย นางจึงเปลี่ยนจากซับเหงื่อเป็นซับน้ำตาแทน ใบหน้าเรียวเล็กเอียงหลบซ้ายขวา พร้อมผ้าเช็ดหน้าอำพรางดวงตา แล้วทำตัวสั่นเบาๆ เปลี่ยนท่าทีเป็นกลั้นสะอื้นไห้เยี่ยงสตรีอ่อนแอบอบบางผู้กลัวเกรงสามีอย่างที่สุด ให้ใครก็ได้มาหยุดบุรุษผู้มีนิสัยดุร้าย แล้วช่วยนางออกไปที
ครานี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ชะงักนิ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลื่นไหลเหลือเกิน ฝ่ามือหนาจึงจับฝ่ามือนางเอาไว้มั่นแล้วบีบแรงๆ ประหนึ่งคีบเหล็ก พลางก้มหน้าลงต่ำแล้วกระซิบดุดันลากเสียงยาวชวนเสียววาบไปถึงกระดูก
“เป็นอะไรไป? หืม...”
หมิงเฉิงก้มหน้าลงกระซิบใส่โม๋เอ๋อร์อย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่เรียวเฉียบคมจ้องนางใกล้ๆ จับพิรุธทุกกิริยา
ปลายจมูกโด่งสันบนใบหน้าหล่อเหลาหายใจเข้าเอากลิ่นหอมกรุ่นจากกายนาง ริมฝีปากได้รูปพ่นลมร้อนใส่ใบหูขาว ทุกสัมผัสไล้แผ่วสะกิดใจในกายสาวให้เต้นตึกตักหนักกว่าเดิม
โม๋เอ๋อร์ผู้ไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ผู้ใด กลับสิ้นไร้เรี่ยวแรงต่อกรกับบุรุษผู้เป็นสามี
ในยามนี้นางทำได้แค่ก้มหน้าหลับตาแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปิดเอาไว้ พยายามบิดมือที่ถูกกุมเบาๆ เบี่ยงกายหนีอย่างแช่มช้า
ทุกกิริยาล้วนต้องสะกดพลังซ่อนเร้นเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ทำได้แค่เพียงเป็นสตรีบอบบางนุ่มนิ่มเท่านั้น ด้วยกลัวเหลือเกินว่าตัวตนจะถูกเปิดเผย จนผิดแผนไปหมด และนางย่อมถูกจับไปเผาไฟบูชาเทพมรณะ ฮือ...แย่แล้ว
“สามีปล่อยภรรยานะ” หญิงสาวสะอื้นไห้บอกกล่าวเจ้าของคีบเหล็กร้อนผ่าวตรงฝ่ามืออย่างน่าสงสาร
เสียงทุ้มต่ำตอบกลับอย่างเผด็จการ “ไม่มีทาง”
“...”
โม๋เอ๋อร์จึงก้มหน้าร่ำไห้ต่อไปอย่างอับจำปัญญาในความผิดพลาดของตนในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร หมิงเฉิงก็รุกฆาตต่อไปอย่างฮึกเหิมบนความสงสัยในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร
ทั้งสองจึงยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมาอยู่หน้ารถม้า ในท่วงท่าหมิ่นเหม่ระหว่างสามีภรรยา
โดยฝ่ายสตรีกำลังก้มหน้าซับน้ำตาด้วยกิริยาร่ำไห้เยี่ยงคนขลาดเขลาราวกับถูกขืนใจมา
ส่วนฝ่ายบุรุษจับตรึงนางอย่างดุดัน หมายข่มเหงกันต่อหน้าธารกำนัลไม่มีผ่อนปรน
เกิดเป็นภาพสามีรังแกภรรยาชัดเจน
หยูเสวี่ยที่อดใจก้มหน้าเอาไว้ไม่ไหว จึงแอบเงยหน้ามองโม๋เอ๋อร์อย่างห่วงใย อยากจะพุ่งตัวไปขัดขวางเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจจะกระทำได้
ส่วนหมิงจินที่เงยหน้าอยู่ก่อนแล้วยังต้องขมวดคิ้วสงสัย ว่าพี่ชายกำลังเล่นสนุกอันใด เพราะเขาเห็นมุมปากของพี่ชายลอบยกโค้งบางเบา คล้ายกับกำลังเจอเรื่องตื่นเต้นบางอย่าง
ซึ่งกิริยาเช่นนี้ พี่ชายไม่เคยทำกับสตรีนางใด
รอบด้านของทุกคนคือภายในตำหนักเหยียนซีกงขององค์จักรพรรดิต้าหมิง เหล่าข้าราชบริพารล้วนเป็นคนของตำหนักแห่งนี้ และทันทีที่ขบวนรถม้าส่วนพระองค์ของรัชทายาทมาถึง ฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วก็เสด็จดำเนินจากท้องพระโรงกลับเข้ามาตามเส้นทางอีกด้านหนึ่งพอดี ซึ่งเส้นทางนี้คือหน้าตำหนักที่พระองค์สามารถทอดพระเนตรได้เป็นบริเวณกว้างแม้จะทรงยืนอยู่ในระยะไกล
ภาพทุกอย่างระหว่างรัชทายาทหมิงเฉิงกับพระชายาเอกจากสกุลโหวจึงถูกเจ้าแห่งแผ่นดินประเมินโดยละเอียด
ภายใต้ม่านทองระย้า เพียงเห็นพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิรำไร ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงศักดานุภาพแผ่ซ่านออกมา ยังผลให้บรรยากาศทั้งบริเวณเคร่งขรึม
“ต้นยามเฉิน[1]วันก่อน หวังกงกงกลับมารายงานเรา ว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันดี ร่วมเรียงเคียงหมอนทั้งคืน ใช่หรือไม่?”
สุรเสียงเย็นเยียบของหมิงเฮ่าไถโซ่วฮ่องเต้ตรัสถามให้ได้ยินเพียงแค่มหาขันทีคนสนิท พร้อมแผ่กำจายกลิ่นอายเย็นเฉียบปานศิลาน้ำแข็ง
ทำเอาหวังกงกงที่ได้ยินคำถามต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เหล่าข้าราชบริพารติดตามเป็นขบวนที่ด้านหลังทำได้เพียงก้มหน้ายืนห่างออกไป ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าทั้งนั้น มีเพียงหวังกงกงที่จำต้องเงยหน้าสู้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะก้มหน้าหลุบตาแล้วกราบทูลเสียงเบาว่า
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เมื่อคืนกระหม่อมยืนเฝ้าทั้งคืน เห็นทั้งสองพระองค์ทรงทำดีต่อกันมาก หวานชื่นหนักหนา ยามรุ่งสางนางกำนัลยังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าพระชายานอนบนเตียงในห้องส่วนพระองค์ของรัชทายาทอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ปราศจากอาภรณ์”
ฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วหรี่พระเนตรลงเล็กน้อยทว่าสาดประกายเฉียบคมชัดแจ้ง
พระองค์ทรงยืนนิ่งพินิจมองรัชทายาทหนุ่มกับพระชายาที่กำลังยื้อยุดอยู่หน้ารถม้าอีกครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“แต่ที่เราเห็นคือพระชายากำลังร่ำไห้เสียใจ ส่วนโอรสของเรากำลังรังแกนาง ท่าทางหรือก็ข่มขวัญกันจนอีกฝ่ายลนลานไปหมด หรือว่าเมื่อคืนหมิงเฉิงกระทำการอุกอาจหมายประชดประชัน เข้าหอกับธิดาสกุลโหวอย่างไม่เป็นธรรม!”อีกคราที่หวังกงกงต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อนชั่วจังหวะที่ยังมิทันหายใจได้ทั่วท้อง มหาขันทีพลันได้ยินสุรเสียงคมปลาบตรัสอีกว่า “ตระกูลโหวใช่ตระกูลที่ล้อเล่นได้หรือไร?”“...”“เราสู้อุตส่าห์มอบตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งราชสำนักให้ แต่กลับไม่เห็นถึงพระเมตตา!”“...”“ให้พวกเขากลับไป เราไม่รับถวายคารวะน้ำชา!”“...”ไม่ถึงชั่วลมหายใจฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วทรงตรัสอีกสองประโยคว่า“ในเมื่อโอรสแห่งเราได้ธิดาบ้านเขาทั้งคืนแล้วเยี่ยงนั้น เราย่อมปล่อยปละละเลยมิได้เด็ดขาด!”“...”“นำคำสั่งเราไป หากพระชายาโหวยังไม่ตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่ต้องเข้าประชุม!”“...”เหมันต์ปีนี้ไยอากาศร้อนยิ่งนัก หวังกงกงรีบปาดเหงื่ออันว่าผู้ที่ยากแท้หยั่งถึง ทั้งยังมีความคิดตีพันกันอย่างลึกล้ำเกินเข้าใจ ย่อมต้องเ
ทันทีที่ได้รับฟังคำรายงานจากปากขันทีผู้น้อยแห่งตำหนักเหยียนซีกง ว่าฮ่องเต้กำลังพิโรธหนักถึงขั้นมิให้พบพระพักตร์หมิงเฉิงก็มิได้สรรหาเหตุผลหรือสาเหตุแห่งความพิโรธนั้นของพระบิดา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จักรพรรดิองค์นี้ก็มักจะมอบบททดสอบอันแสนหฤโหดให้เหล่าโอรสอยู่แล้วดูทีเถิดว่าครานี้ เสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า จักสอนลับคมเขี้ยวเล็บหรือลองเชิงอันใดอีก!รัชทายาทหนุ่มหาได้สนใจผู้อื่นแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นบิดา เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน เพราะยามนี้เขามีคนที่น่าสนใจยิ่งกว่านางคือภรรยาผู้น่าสงสัยนางคือเจ้าของดวงตาที่ไม่เหมือนใครและนางกำลังเดินหลบซ้ายเลี่ยงขวา เพื่อให้ห่างจากเขา ปากบอกปฏิเสธรถม้าด้วยเหตุผลว่าอยากเดินชมทิวทัศน์อันงดงามยิ่งใหญ่ในพระราชวังทั้งๆ ที่ก่อนหน้า กล้านั่งตักเขาแนบชิดกันถึงเพียงนั้น!ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีเย็นชาพลันแข็งกระด้างขึ้นมา หมิงเฉิงหรี่ตามองพระชายากับสาวใช้คนสนิทที่กำลังเดินนำหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ คล้ายจงใจที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้านางตั้งใจเดินหนีเขาที่เป็นสามี แทนที่จะเดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง ไม่ว่าเขาจักพานางไปทางใดเมื่อไหร่ไม่อาจทราบ ที่หมิงเฉิงคิดเช่นนี้โด
ระหว่างการเดินทางไปเยือนตำหนักฮองเฮายามนี้รอบด้านนับได้ว่างดงามมากนัก ประหนึ่งเดินผ่านสรวงสรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น เพราะมีทั้งน้ำตกจำลอง ทะเลสาบสีฟ้าคราม สวนดอกไม้นานาพันธุ์ สระดอกบัวหลากสีสัน ศาลาริมบึง และพระตำหนักแสนวิจิตรต่างๆ ร่างระหงสมส่วนในอาภรณ์แตกต่างกำลังเดินเคียงข้างจับประคองไปตามทาง เพื่อชื่นชมทุกความละลานตาสุดจะหยั่งหนึ่งคือสาวงามผู้สวมชุดหรูหราเครื่องประดับประดาเต็มศีรษะ ใบหน้าแต้มชาดสะดุดตา อีกหนึ่งคือสาวงามสวมเพียงชุดสาวใช้ธรรมดาผ้าสีเขียวใบไผ่ทั้งสองคือโม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยพวกนางพากันเดินแช่มช้อยแต่นำหน้าบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิงไปไกลโขอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทั้งอย่างนั้น รถม้าและขบวนข้ารับใช้คนอื่นได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ อย่างงุนงงหมิงจินที่เดินเยื้องไปทางแผ่นหลังของหมิงเฉิงเล็กน้อย ลอบมองพระชายาเอกของพี่ชายกับสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาคมกริบเฉียบคมเขาสังเกตได้ว่า สาวใช้ผู้นี้คล้ายกับมิได้เป็นฝ่ายจับประคองพระชายา หากแต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คล้ายกับจับประคองสาวใช้เรียวคิ้วคมพลันขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นสตรีทั้งสองคนผู้เดินทอด
รอบด้านแห่งนี้คืออุทยานหลวงอันยิ่งใหญ่มีภูเขาจำลอง มีน้ำตกงดงามปล่อยสายธารามาบรรจบกับบึงดอกบัว มีสะพานโค้งยาวเชื่อมต่อระหว่างอุทยานสองฝั่ง มีศาลาชมจันทร์ยามราตรี มีตั่งประดับบุปผาให้นั่งชมตะวันในยามทิวา มีทุกสิ่งสรรสร้างที่เรียกได้ว่าละลานตาอย่างที่สุดสถานที่แห่งนี้จึงมักจะมีเหล่าชนชั้นสูงแห่งวังหลวงมาเดินเล่นด้วยเหตุผลต่างๆ บ้างเดินชมทิวทัศน์ บ้างล่อลวงพยัคฆ์ บ้างโปรยเสน่ห์สาวงามยามนี้ในอุทยานหลวงจึงมีองค์หญิงและคุณหนูที่มีสายสัมพันธ์กับราชนิกุล กำลังเดินไปเดินมาประปรายห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ที่กำลังอยู่ในท่วงท่าคล้ายกอดรัดประหนึ่งจะฟัดกัน จึงมีองค์หญิงหมิงเยว่ชิงกับคุณหนูกู่โหยว่หลันยืนมองอยู่ในระยะสายตาไม่ไกลนัก พวกนางมองสองชายหญิงนิ่งนานสตรีทั้งสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เนื่องจากสตรีสกุลกู่ได้เป็นพระสนมขั้นผินและให้กำเนิดธิดาหนึ่งคน คือหมิงเยว่ชิงตำแหน่งสนมขั้นผินไหนเลยจะเพียงพอต่ออำนาจให้วงศ์ตระกูล การให้กำเนิดสายเลือดมังกรเป็นธิดาหาใช่โอรสจะเพียงพอให้ยืนหยัดได้อย่างไรเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งหนึ่งในพระชายาแห่งองค์รัชทายาทจึงเป็นเป้าหมายในการต่อชะตาให้สกุล ซึ่ง
พฤกษายืนต้นออกดอกบานสะพรั่ง ลมเย็นพัดโชยพากลีบดอกร่วงโรยพลิ้วตัวลงมาที่ใต้ต้นอย่างสวยงามสีสันละลานตาของกลีบบุปผา พากันปลิดปลิวทิ้งตัวลงมาโอบล้อมรอบเรือนกายของสองชายหญิงใต้ต้น จนเกิดเป็นภาพชวนมอง ดุจมายาแห่งดอกไม้บนชั้นฟ้าโม๋เอ๋อร์ยังคงพยายามบิดตัวออกจากวงแขนร้อนผ่าวของหมิงเฉิงอย่างนุ่มนวลแนบเนียน ผนึกปราณเย็นซ่อนเร้นปราณเทพและไม่คิดออกแรงให้มากกว่าที่ควร จนอาจผิดสังเกตในขณะที่หมิงเฉิงก็ก้มหน้าประชิดนางไม่ห่างไป ดวงตาเรียวคมจับจ้องดวงเนตรงามในระยะที่ใกล้กันมาก วงแขนที่รัดรึงยิ่งรัดแน่นไม่คิดคลายออกร่างระหงนุ่มนิ่มจึงฝังแน่นตรงแผงอกหนา ยังผลให้ลมหายใจกรุ่นร้อนจากปลายจมูกโด่งสันเป่ารดใบหน้านวลเนียนตลอดเวลาหญิงสาวจึงร้อนวูบวาบไปหมด รู้สึกตื่นเต้นแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็นตลอดเวลาเช่นกันอุทยานหลวงนับเป็นอาณาเขตส่วนพระองค์ของราชนิกุล รอบด้านพวกเขามีนางกำนัลเดินก้มหน้า ขันทีเดินไปมาไม่มีใครกล้าเงยหน้ามอง นั่นจึงทำให้หมิงเฉิงยิ่งย่ามใจ และเมื่อได้สัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมกรุ่นใกล้ๆ ยิ่งพึงใจและที่สำคัญ นัยน์ตาของนางมีสีเขียววูบขึ้นมาแวบหนึ่งสลับกับสีดำขลับถึงสองครั้ง และเขาก็มอง
“ภรรยาอยากรู้ว่าสามีพกพาสิ่งใด ไยรบกวนจิตใจให้รู้สึกเยี่ยงนี้ ทั้งแข็งทั้งร้อนถึงเพียงนั้น”“...”โม๋เอ๋อร์ยังไม่หยุด ทุกความสงสัยควรได้รับความกระจ่าง ดวงตากลมโตจึงจับจ้องที่เอวของหมิงเฉิง ความนัยสายตาที่สื่อออกมา คือพร้อมกระตุกดึงสายรัดเอวของเขาออกทุกเมื่อ“ท่านพกแท่งไฟมาหรือไร? ไยร้อนทะลุทะลวงกางเกงชั้นในเหลือเกิน”“...”ชั่วจังหวะที่เรียวคิ้วดุจกระบี่กระตุกไม่หยุด ฝ่ามือน้อยๆ ของคนงามตรงหน้าก็ยกขึ้นมาตามความหมายทางสายตา หมิงเฉิงย่อมเข้าใจ ฝ่ามือใหญ่จึงรีบเอื้อมขึ้นมาจับมือเล็กนุ่มของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อขัดขวางทุกความคิดนางในใจเพียรย้ำตนเองให้ใจเย็น เพราะที่นี่คืออุทยานหลวง หาใช่ห้องนอนส่วนตัวที่จะปล่อยให้นางกระทำได้“รอกลับเข้าเรือนก่อนมิได้หรือไร?” เขาถามเสียงต่ำ ความหมายชัดเจน คือให้ดูแน่แต่ต้องรอก่อน“หื้อ!” โม๋เอ๋อร์ให้นึกขัดใจ อยากดูเดี๋ยวนี้เลยมิได้หรือไร? ไยเล่นตัว!ภาพชายหญิงแนบชิด พร้อมประโยคชวนวาบหวิวเช่นนั้น ทำผู้คนต้องขนอ่อนลุกชันไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุมถึงแม้กู่โหยว่หลันจะเคยถูกเกี้ยวมาหลายครา แต่ทว่ายังไม่เคยเจอคำพูดเช่นนี้ และด้วยเพราะเป็นเพียงสาวน้อยแรกร
แน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่ต้องการเพิ่มอนุชายาเข้ามาให้สามี เพราะที่มีอยู่ก็หลายคนแล้ว นางต้องป้องกันอาณาเขตให้ตนเองตามหน้าที่พึงกระทำ จึงกล่าวด้วยภาษาดอกไม้ที่ได้ฝึกฝนอย่างดี เพื่อปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลว่า“น้องสาวท่านนี้ อุตส่าห์เดินมาเป็นลมถึงที่นี่ เจ็บมากหรือไม่? ถ้ารู้ว่าเป็นคนอ่อนแอ ไยไม่รักษาตัวเองให้ดี หากรัชทายาทกับข้าไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าคงลำบากแย่แล้ว”พระชายาในรัชทายาทผู้สวมอาภรณ์หรูหราสีแดงเพลิง ประดับปิ่นหงส์สยายปีกมีม่านทองระย้า แต่งหน้าจัดจ้าน กิริยาข่มขวัญผู้คน นางเอ่ยวาจานุ่มนวล แต่แอบเชือดเฉือนได้แสบสัน ความหมายซ่อนนัยประโยคนั้นคือเจ้าจะแส่หาเรื่องไปไย? ไฉนไม่อยู่แต่ในห้องหับ ออกมาเพ่นพ่านหมายรบกวนสามีผู้อื่นทำไมไม่ทราบ!หมิงเยว่ชิงได้ยินเช่นนั้นย่อมเข้าใจเพราะเกิดและเติบโตในวัง ก็ให้รู้สึกขัดเคืองฉับพลัน จึงโต้แย้งว่า“พระชายาย่อมเห็นแจ้ง ว่าคุณหนูท่านนี้เป็นลมล้มลงกะทันหัน ใครกันจะเลือกสถานที่ได้ ท่านมิใช่จิตใจคับแคบจนเกินไป” ยามเอ่ยยังยึดแขนหมิงเฉิงเอาไว้แน่น แล้วออดอ้อนว่า“พี่สาม ท่านช่วยนางเถิด เห็นหรือไม่? ว่านางบอบบางเหลือเกิน น่าเห็นใจนัก พระชายาของท่านไยร้ายกา
ห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ ใต้ต้นไม้หนึ่งที่เบื้องล่างมีหินอ่อนทรงเหลี่ยมคล้ายตั่งสำหรับนั่งได้สองคนหยูเสวี่ยถือโอกาสพาร่างระหงอ่อนแรงมานั่งลงเพื่อรั้งรอโม๋เอ๋อร์ที่ถูกองค์รัชทายาทพาตัวไปร่มไม้ตรงนี้ช่วยให้นางหายเหนื่อยได้ไม่น้อย ใบหน้างามที่มีหยาดเหงื่อเกาะพราวได้รับการซับออกไปอย่างนุ่มนวลด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดสอ้าน พวงแก้มเนียนที่ซับสีเลือดจนแดงเปล่งปลั่งเริ่มกลับมาเป็นอมชมพูระเรื่อดวงเนตรงามคอยมองตามพระชายาไม่วางตา แผ่นหลังของนางตั้งตรง ฝ่ามือน้อยๆ วางเอาไว้ที่หน้าตักอย่างสำรวม ชายกระโปรงขยับเบาๆ พลิ้วไปตามสายลมหญิงสาวนั่งนิ่งท่าทางสุภาพเกินกิริยาสาวใช้อย่างลืมตัว ซึ่งอันที่จริงนางไม่ควรนั่ง แต่ด้วยความเหนื่อยจึงไม่ทันได้คิดอะไรหากกล่าวกันตามจริงแล้ว มองเพียงผิวเผิน ก็แค่สาวใช้แอบนั่งเพื่อหลบงานหนัก โทษก็แค่ถูกเจ้านายตำหนิ หรือสั่งให้ไปกวาดลานสามวัน ไม่นับว่าเป็นอะไรห่างออกไปไม่ไกล หมิงจินยืนมองหยูเสวี่ยอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมลอบสังเกตทุกปฏิกิริยาของนางอย่างเผลอไผลเขาเห็นนางคล้ายคุณหนูในห้องหอ กำลังนั่งรอคนสนิทไปวิ่งเล่นเพื่อเก็บดอกไม้มาฝากเสียมากกว่าหาใช่สาวใช้ผู้อู
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้