ความเงียบงันยิ่งเงียบงัน หมิงเฉิงได้รู้สึกถึงความเงียบสงัดกระทั่งเข็มตกยังได้ยินชัดก็ครานี้
ทว่าโม๋เอ๋อร์ยังเฝ้าเอาใจหมิงเฉิงไม่ห่างไป หญิงสาวยังคงบีบนวดย้ำตรงโคนขาให้ชายหนุ่ม พร้อมหยอดหวานคืบคลานใกล้หัวใจเข้าไปทุกที
“สามีเปรียบดั่งท้องฟ้าอันมืดมิด ภรรยาเปรียบดั่งดวงดารายามราตรีอับแสง เคียงข้างกันไปไม่มีเบื่อ”
แม้ประโยคที่ถูกสอนสั่งจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ว่าแท้จริงสามีเปรียบดั่งท้องฟ้าส่วนภรรยาเปรียบแค่เศษพสุธา แต่ก็ยังดีกว่าไม่นำมาใช้ให้ดูดี
โม๋เอ๋อร์ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้
เมื่อนางยิ่งนวด เขาก็ยิ่งแข็ง???
…ตรงกล้ามเนื้อขา
นางจึงขยับปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ แล้วเลื่อนขึ้นทุบเบาๆ ที่แผงอกหนา คิดเพียงว่าเขาอาจเมื่อยตรงนี้ เพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นถี่ๆ ดีไม่ดี อาจทะลุออกมา
“สามีอนุญาตภรรยาเถิด...”
หญิงสาวช้อนตาหวานฉ่ำพราวระยับขึ้นมองเขา พร้อมกะพริบตาเบาๆ ก่อนคลี่รอยยิ้มละมุนละไมสะท้านหัวใจชายตรงหน้า
ทว่าหมิงเฉิงกลับเอ่ยเสียงเย็น มองอย่างเฉยชา
“ออกไป!”
ชายหนุ่มเอ่ยแบบลอดไรฟัน เส้นเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
โม๋เอ๋อร์คล้ายกับว่าไม่ได้ยิน นางเปลี่ยนจากการทุบแผงอกเป็นเอื้อมแขนขึ้นคล้องบ่ากว้าง แล้วขยับสะโพกกลมกลึงเล็กน้อยเพื่อนั่งบนตักอุ่น
“...”
เจ้าของตักพลันนิ่งอึ้ง ด้วยนึกไม่ถึงว่านางจะกล้า
ร่างระหงขยับอีกนิด แนบชิดบั้นท้ายนุ่มนิ่มกับหน้าท้องแข็งเกร็งอีกหน่อย หน้าอกอวบตึงเฉียดใกล้ตรงแผงอกหนา ส่งกลิ่นกายหอมกรุ่นกระตุ้นโสตประสาทเข้าใส่ชายชาญเจ้าของหน้าขา นางปรับเสียงหวานเป็นเสียงเบาครางกระเส่าว่า
“หากตกลงให้ภรรยาแช่น้ำในห้องท่าน ภรรยาจะออกไป”
แน่นอนว่าหมิงเฉิงไม่อาจหลงกล ถึงแม้ว่ายามนี้ภาพเปลือยเปล่าแนบชิดเมื่อคืนก่อนจะผุดวาบอย่างไม่อาจควบคุมได้ พาเอาเลือดลมพลุ่งพล่านร้อนระอุใกล้จุดเดือด เปลวเพลิงขุมหนึ่งกำลังเต้นระริกอยู่ในอกที่ถูกปลุกเร้าจนตื่นตัวแข็งขึงคับแน่น
รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ ล้วนไม่เคยหลงกลการร่ายมนต์เสน่หาของสตรีนางใดทั้งสิ้น
เขาจึงคำรามเสียงกดต่ำอยู่ในลำคอ พร้อมรังสีสังหารและปราณอันตรายแผ่ซ่านไปทั่วร่างแกร่ง ระงับฝ่ามือที่กำเอาไว้ข้างลำตัว มิให้เอื้อมขึ้นมาจับกระชับเอวนางเพื่อจัดท่า!
“หากเจ้าไม่ออกไป ข้าจะฆ่าเจ้า”
เป็นความจริงที่ว่า หากสตรีใดได้ยินย่อมขวัญบินไปไกลแสนไกล
และเป็นความจริงอีกเช่นกันว่า โม๋เอ๋อร์หาได้เกรงกลัวไม่!
นางเอียงหน้า สบสายตา ยกยิ้มตรงมุมปาก เผยความงามพิลาศสะท้านห้วงอารมณ์กระตุ้นเร้าทุกสัมผัส ผสานเสน่ห์มนต์มารในระยะประชิด ชนิดที่ใกล้กันมาก หน้าผากของทั้งสองแทบสัมผัสกัน กระทั่งขนตายังนับเส้นได้ ลมหายใจที่ร้อนชื้นขึ้นทุกขณะ รินรดใส่ข้างแก้มระหว่างกันเด่นชัด ปลายจมูกยังบังเอิญเฉียดไล้กันไปมา
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งงัน ชั่วเวลานั้นคล้ายทุกสรรพสิ่งหยุดเคลื่อนไหวไปขณะหนึ่ง
โม๋เอ๋อร์ให้รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมา การกระทำโดยมิได้ยั้งคิดของนาง กำลังสะกิดความรู้สึกซับซ้อนในกายสาวอันเกิดขึ้นตามธรรมชาติสรรสร้าง ซึ่งนางไม่อาจเข้าใจ
หญิงสาวถึงกับมองหมิงเฉิงอย่างเหม่อลอย รู้สึกร้อนวูบวาบแปลกประหลาด ทั้งแผงอกตึงแน่น ลาดไหล่กว้างขวาง ลำคอแกร่งหนา ให้ความรู้สึกอุ่นซ่านแล่นพล่านพิกล กลิ่นกรุ่นบุรุษเข้มข้นให้รู้สึกวาบหวิวไม่เบา ตรงบั้นท้ายก็คล้ายมีแท่งร้อนดุนดันพร้อมทิ่มแทงกันให้เลือดสาดในไม่ช้า
นางก้มหน้ามองสามีนิ่งๆ ผุดรอยยิ้มงดงามตามวิสัย
โม๋เอ๋อร์มักยิ้มเช่นนี้อยู่ทุกทีร่ำไป ยามเอ็นดูใครก็ตามที่นางคิดจะช่วยเหลือและดูแลคุ้มครอง
หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ารอยยิ้มนี้สร้างความคุ้นเคยอย่างประหลาดแก่ผู้จ้องมอง
สายตาคมดำถึงกับสั่นไหว คิดในใจว่าบางทีเขาคงคิดถึงสตรีนางน้อยปริศนามากจนเกินไปความรู้สึกรุ่มร้อนสายหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ในห้วงคำนึงคิดถึงเพียงดวงหน้าอันพร่าเลือนของนางในดวงใจ อารมณ์คุกรุ่นตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ร้ายยามหิวกระหายของชายชาญจึงพลุ่งพล่านแผ่ซ่านออกมาด้วยหากว่าตรงนี้เป็นเตียงอุ่น เขาย่อมจับร่างนุ่มกดลงแล้วมอบความดิบเถื่อนให้อย่างไร้ปรานีความคิดที่จะเก็บคนงามให้น้องชายพลันตกไปชอบยั่วนัก เขาจะจัดให้หนำใจ จะได้หลาบจำ!แววตาคู่คมสาดประกายดุร้ายดุจหมาป่า เหี้ยมเกรียมและกระหายหิว มุมปากหยักโค้งแข็งกระด้าง เพิ่มความอำมหิต ลืมเสียสนิทว่าต้องเก็บคนงามให้น้องชายทว่าอีกฝ่ายกลับหาได้กลัวเกรงไม่ โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงมอง หมิงเฉิงด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดรุ่มร้อนกระตุ้นเร้า ซึ่งนางยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง ที่ท้องน้อยรู้สึกเสียวแปลบแล่นลามไปทั่วจึงพลั้งปากเอ่ยตามสัตย์อย่างเผลอไผลว่า“การฆ่าคือการทำให้ตาย หากแต่มิใช่กับข้าที่ไม่อาจตาย มิสู้ทำให้อยู่รอดปลอดภัยถึงฝั่งฝัน ข้ายินดีปกป้องท่านตลอดไป”ประโยคนั้นทำหมิงเฉิงนึกฉงน รู้สึกอุ
บทนำมีความเชื่อหนึ่ง โดยเฉพาะราชวงศ์แห่งจักรพรรดิที่สามารถหลับนอนกับสตรีในช่วงที่ใกล้กับวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่พลังหยินอันเป็นพลังของอิสตรีแตะระดับสูงสุด และเข้าคู่กับพลังหยางขององค์จักรพรรดิ เพื่อผลิตองค์รัชทายาทที่ดีที่สุดหมายสืบทอดราชวงศ์ต่อไปทว่าใครไหนเลยจักล่วงรู้ ว่าความเชื่อนี้มีผลกับเทพปีศาจ เช่นโม๋กุ่ยเสินโดยตรง การที่นางจักยืนหยัดอยู่ได้ในภพมนุษย์ โดยไม่สลายหายไปคล้ายหมอกควัน ยามราตรีเดือนเพ็ญ มีเพียงต้องสมสู่คู่ยวนยางกับบุรุษที่มีพลังหยางเข้มข้นเท่านั้นและเขาคือผู้ถูกเลือก…หากหยินและหยางมารวมกันจะกลายเป็นจิตวิญญาณที่มีพลังเป็นหนึ่งเดียว***อารัมภบทหมิงเฉิงมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา เผยความรักใคร่ชัดเจน มองอย่างลึกซึ้งคะนึงหา ไม่คิดเก็บข่มความหลงใหลอันใดทั้งนั้นดวงตาเรียวคมของเขาเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังคล้ายกับมีเปลวเพลิงแห่งปรารถนาไหวระริกไม่หยุดท่าทางของบุรุษผู้เคร่งขรึมเย็นชากลายเป็นอ่อนโยนมาก โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว ทว่ากลับรู้หัวใจของตนเองเป็นอย่างดีนางคือสตรีหนึ่งเดียวที่เขาเฝ้าตามหาและรักสุดหัวใจโม๋กุ่ยเสิน...ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์อันลึกล้ำประดับบนใบ
หมิงเฉิงยิ่งสะกดสายตาคมดำที่พระชายาอย่างลึกล้ำ ฝ่ามือหนารีบจับกระชับมือบางเอาไว้โดยพลัน พลางใช้ท้องนิ้วเขี่ยไล้คลึงเล่นคล้ายหยอกเย้า ทำนางสะดุ้งชะงักงันไปชั่วอึดใจ ทว่าก็ยังพอตั้งสติได้ หญิงสาวค่อยๆ ลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล ระงับอาการสั่นไหวหวาดระแวง จากนั้นก็พยายามบิดมือเพื่อออกจากการเกาะกุม หมายผละไปให้ไกลห่างอย่างแนบเนียนที่สุดการกระทำแค่นี้ มีหรือหมิงเฉิงจะยอม เขายิ่งกุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่คิดปล่อยโม๋เอ๋อร์ก็มิใช่ด้อย นางจึงเปลี่ยนจากซับเหงื่อเป็นซับน้ำตาแทน ใบหน้าเรียวเล็กเอียงหลบซ้ายขวา พร้อมผ้าเช็ดหน้าอำพรางดวงตา แล้วทำตัวสั่นเบาๆ เปลี่ยนท่าทีเป็นกลั้นสะอื้นไห้เยี่ยงสตรีอ่อนแอบอบบางผู้กลัวเกรงสามีอย่างที่สุด ให้ใครก็ได้มาหยุดบุรุษผู้มีนิสัยดุร้าย แล้วช่วยนางออกไปทีครานี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ชะงักนิ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลื่นไหลเหลือเกิน ฝ่ามือหนาจึงจับฝ่ามือนางเอาไว้มั่นแล้วบีบแรงๆ ประหนึ่งคีบเหล็ก พลางก้มหน้าลงต่ำแล้วกระซิบดุดันลากเสียงยาวชวนเสียววาบไปถึงกระดูก“เป็นอะไรไป? หืม...”หมิงเฉิงก้มหน้าลงกระซิบใส่โม๋เอ๋อร์อย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่เรียวเฉียบคมจ้องนางใกล้ๆ จับพิ
พระองค์ทรงยืนนิ่งพินิจมองรัชทายาทหนุ่มกับพระชายาที่กำลังยื้อยุดอยู่หน้ารถม้าอีกครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“แต่ที่เราเห็นคือพระชายากำลังร่ำไห้เสียใจ ส่วนโอรสของเรากำลังรังแกนาง ท่าทางหรือก็ข่มขวัญกันจนอีกฝ่ายลนลานไปหมด หรือว่าเมื่อคืนหมิงเฉิงกระทำการอุกอาจหมายประชดประชัน เข้าหอกับธิดาสกุลโหวอย่างไม่เป็นธรรม!”อีกคราที่หวังกงกงต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อนชั่วจังหวะที่ยังมิทันหายใจได้ทั่วท้อง มหาขันทีพลันได้ยินสุรเสียงคมปลาบตรัสอีกว่า “ตระกูลโหวใช่ตระกูลที่ล้อเล่นได้หรือไร?”“...”“เราสู้อุตส่าห์มอบตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งราชสำนักให้ แต่กลับไม่เห็นถึงพระเมตตา!”“...”“ให้พวกเขากลับไป เราไม่รับถวายคารวะน้ำชา!”“...”ไม่ถึงชั่วลมหายใจฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วทรงตรัสอีกสองประโยคว่า“ในเมื่อโอรสแห่งเราได้ธิดาบ้านเขาทั้งคืนแล้วเยี่ยงนั้น เราย่อมปล่อยปละละเลยมิได้เด็ดขาด!”“...”“นำคำสั่งเราไป หากพระชายาโหวยังไม่ตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่ต้องเข้าประชุม!”“...”เหมันต์ปีนี้ไยอากาศร้อนยิ่งนัก หวังกงกงรีบปาดเหงื่ออันว่าผู้ที่ยากแท้หยั่งถึง ทั้งยังมีความคิดตีพันกันอย่างลึกล้ำเกินเข้าใจ ย่อมต้องเ
ทันทีที่ได้รับฟังคำรายงานจากปากขันทีผู้น้อยแห่งตำหนักเหยียนซีกง ว่าฮ่องเต้กำลังพิโรธหนักถึงขั้นมิให้พบพระพักตร์หมิงเฉิงก็มิได้สรรหาเหตุผลหรือสาเหตุแห่งความพิโรธนั้นของพระบิดา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จักรพรรดิองค์นี้ก็มักจะมอบบททดสอบอันแสนหฤโหดให้เหล่าโอรสอยู่แล้วดูทีเถิดว่าครานี้ เสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า จักสอนลับคมเขี้ยวเล็บหรือลองเชิงอันใดอีก!รัชทายาทหนุ่มหาได้สนใจผู้อื่นแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นบิดา เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน เพราะยามนี้เขามีคนที่น่าสนใจยิ่งกว่านางคือภรรยาผู้น่าสงสัยนางคือเจ้าของดวงตาที่ไม่เหมือนใครและนางกำลังเดินหลบซ้ายเลี่ยงขวา เพื่อให้ห่างจากเขา ปากบอกปฏิเสธรถม้าด้วยเหตุผลว่าอยากเดินชมทิวทัศน์อันงดงามยิ่งใหญ่ในพระราชวังทั้งๆ ที่ก่อนหน้า กล้านั่งตักเขาแนบชิดกันถึงเพียงนั้น!ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีเย็นชาพลันแข็งกระด้างขึ้นมา หมิงเฉิงหรี่ตามองพระชายากับสาวใช้คนสนิทที่กำลังเดินนำหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ คล้ายจงใจที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้านางตั้งใจเดินหนีเขาที่เป็นสามี แทนที่จะเดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง ไม่ว่าเขาจักพานางไปทางใดเมื่อไหร่ไม่อาจทราบ ที่หมิงเฉิงคิดเช่นนี้โด
ระหว่างการเดินทางไปเยือนตำหนักฮองเฮายามนี้รอบด้านนับได้ว่างดงามมากนัก ประหนึ่งเดินผ่านสรวงสรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น เพราะมีทั้งน้ำตกจำลอง ทะเลสาบสีฟ้าคราม สวนดอกไม้นานาพันธุ์ สระดอกบัวหลากสีสัน ศาลาริมบึง และพระตำหนักแสนวิจิตรต่างๆ ร่างระหงสมส่วนในอาภรณ์แตกต่างกำลังเดินเคียงข้างจับประคองไปตามทาง เพื่อชื่นชมทุกความละลานตาสุดจะหยั่งหนึ่งคือสาวงามผู้สวมชุดหรูหราเครื่องประดับประดาเต็มศีรษะ ใบหน้าแต้มชาดสะดุดตา อีกหนึ่งคือสาวงามสวมเพียงชุดสาวใช้ธรรมดาผ้าสีเขียวใบไผ่ทั้งสองคือโม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยพวกนางพากันเดินแช่มช้อยแต่นำหน้าบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิงไปไกลโขอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทั้งอย่างนั้น รถม้าและขบวนข้ารับใช้คนอื่นได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ อย่างงุนงงหมิงจินที่เดินเยื้องไปทางแผ่นหลังของหมิงเฉิงเล็กน้อย ลอบมองพระชายาเอกของพี่ชายกับสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาคมกริบเฉียบคมเขาสังเกตได้ว่า สาวใช้ผู้นี้คล้ายกับมิได้เป็นฝ่ายจับประคองพระชายา หากแต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คล้ายกับจับประคองสาวใช้เรียวคิ้วคมพลันขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นสตรีทั้งสองคนผู้เดินทอด
รอบด้านแห่งนี้คืออุทยานหลวงอันยิ่งใหญ่มีภูเขาจำลอง มีน้ำตกงดงามปล่อยสายธารามาบรรจบกับบึงดอกบัว มีสะพานโค้งยาวเชื่อมต่อระหว่างอุทยานสองฝั่ง มีศาลาชมจันทร์ยามราตรี มีตั่งประดับบุปผาให้นั่งชมตะวันในยามทิวา มีทุกสิ่งสรรสร้างที่เรียกได้ว่าละลานตาอย่างที่สุดสถานที่แห่งนี้จึงมักจะมีเหล่าชนชั้นสูงแห่งวังหลวงมาเดินเล่นด้วยเหตุผลต่างๆ บ้างเดินชมทิวทัศน์ บ้างล่อลวงพยัคฆ์ บ้างโปรยเสน่ห์สาวงามยามนี้ในอุทยานหลวงจึงมีองค์หญิงและคุณหนูที่มีสายสัมพันธ์กับราชนิกุล กำลังเดินไปเดินมาประปรายห่างออกมาจากหมิงเฉิงและโม๋เอ๋อร์ที่กำลังอยู่ในท่วงท่าคล้ายกอดรัดประหนึ่งจะฟัดกัน จึงมีองค์หญิงหมิงเยว่ชิงกับคุณหนูกู่โหยว่หลันยืนมองอยู่ในระยะสายตาไม่ไกลนัก พวกนางมองสองชายหญิงนิ่งนานสตรีทั้งสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เนื่องจากสตรีสกุลกู่ได้เป็นพระสนมขั้นผินและให้กำเนิดธิดาหนึ่งคน คือหมิงเยว่ชิงตำแหน่งสนมขั้นผินไหนเลยจะเพียงพอต่ออำนาจให้วงศ์ตระกูล การให้กำเนิดสายเลือดมังกรเป็นธิดาหาใช่โอรสจะเพียงพอให้ยืนหยัดได้อย่างไรเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งหนึ่งในพระชายาแห่งองค์รัชทายาทจึงเป็นเป้าหมายในการต่อชะตาให้สกุล ซึ่ง
พฤกษายืนต้นออกดอกบานสะพรั่ง ลมเย็นพัดโชยพากลีบดอกร่วงโรยพลิ้วตัวลงมาที่ใต้ต้นอย่างสวยงามสีสันละลานตาของกลีบบุปผา พากันปลิดปลิวทิ้งตัวลงมาโอบล้อมรอบเรือนกายของสองชายหญิงใต้ต้น จนเกิดเป็นภาพชวนมอง ดุจมายาแห่งดอกไม้บนชั้นฟ้าโม๋เอ๋อร์ยังคงพยายามบิดตัวออกจากวงแขนร้อนผ่าวของหมิงเฉิงอย่างนุ่มนวลแนบเนียน ผนึกปราณเย็นซ่อนเร้นปราณเทพและไม่คิดออกแรงให้มากกว่าที่ควร จนอาจผิดสังเกตในขณะที่หมิงเฉิงก็ก้มหน้าประชิดนางไม่ห่างไป ดวงตาเรียวคมจับจ้องดวงเนตรงามในระยะที่ใกล้กันมาก วงแขนที่รัดรึงยิ่งรัดแน่นไม่คิดคลายออกร่างระหงนุ่มนิ่มจึงฝังแน่นตรงแผงอกหนา ยังผลให้ลมหายใจกรุ่นร้อนจากปลายจมูกโด่งสันเป่ารดใบหน้านวลเนียนตลอดเวลาหญิงสาวจึงร้อนวูบวาบไปหมด รู้สึกตื่นเต้นแปลกประหลาดในแบบที่ไม่เคยเป็นตลอดเวลาเช่นกันอุทยานหลวงนับเป็นอาณาเขตส่วนพระองค์ของราชนิกุล รอบด้านพวกเขามีนางกำนัลเดินก้มหน้า ขันทีเดินไปมาไม่มีใครกล้าเงยหน้ามอง นั่นจึงทำให้หมิงเฉิงยิ่งย่ามใจ และเมื่อได้สัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมกรุ่นใกล้ๆ ยิ่งพึงใจและที่สำคัญ นัยน์ตาของนางมีสีเขียววูบขึ้นมาแวบหนึ่งสลับกับสีดำขลับถึงสองครั้ง และเขาก็มอง
โม๋เอ๋อร์ยิ่งแตกตื่น ดวงตายิ่งเบิกกว้าง สีดำขลับวูบไหวเป็นสีเขียวมรกตเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าหมิงเฉิงมองทัน และนี่คือเป้าหมายในการบังคับจูบนางชายหนุ่มให้รู้สึกพึงพอใจ เสริมความมั่นใจอันดื้อรั้นก่อนหน้าได้ดียิ่งฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยิ่งรัดรึงที่เอวนาง ฝ่ามืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนจากแผ่นหลังบอบบางขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วจับประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตรึงแน่นผินตามใบหน้าเขายามเรียวปากหยอกเย้าและเรียวลิ้นแทรกซึมล่วงล้ำชิมรสหวานฉ่ำ ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ดวงเนตรคู่งามหมิงเฉิงเห็นสีเขียวตัดสีดำขลับไม่หยุด มุมปากพลันแย้มยิ้มแม้กำลังจุมพิตร้อนเร่าเขย่าหัวใจโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดสามีของนาง จู่ๆ ก็ดึงรั้งนางมามุมตู้ แล้วดูดกลืนริมฝีปากกันเช่นนี้ทั้งความอุ่นร้อนจากวงแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ท้ายทอย และความรู้สึกนุ่มร้อนที่ริมฝีปาก ล้วนสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างรุนแรง หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งงัน หายใจไม่ทันเพราะถูกช่วงชิงที่มุมอับข้างชั้นหนังสือ ร่างหนาตรึงร่างบางแนบแน่น กลีบปากร้อนชื้นขมเม้มกลีบปากอ่อนนุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ละเลียดชิมนางอย่างย่า
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้