ดวงตะวันสาดส่องทุกหย่อมหญ้า สนามรบร้อนระอุ สายลมจากบ้านเกิดเมืองนอนพัดกระหน่ำหวนให้คิดถึงคนข้างหลังที่ยังรอ ความอดอยากและความกระหายในชัยชนะจุดไฟแห่งสงครามให้โหมกระหน่ำ
เสียงคมดาบประทะกันดังกึกก้อง เสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเต็มไปทั่วพื้นที่ หยาดเลือดไหลรินสู่พื้นดิน ไฟสงครามแผดเผาคร่าชีวิตเหล่าทหารกล้าท้ายที่สุดร่างกายและกระดูกก็กลายเป็นเถ้าถ่านหล่อเลี้ยงผืนดิน
สงครามอันยืดเยื้อและยาวนานกินเวลาเกือบปีระหว่างลั่วหยางและซีอาน ต่างพาให้เหล่านักรบเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางใจ แต่ในที่สุดซีอานก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังทหารแห่งลั่วหยางได้ จึงยกธงขาวยอมแพ้ล่าถอยกลับไปแต่โดยดี
เสียงโห่ร้องฉลองชัยชนะดังกึกก้อง สายลมกรรโชกแรงพัดพาเมฆทมิฬมาปกคลุม หยาดฝนโปรยปรายไปทั่วบริเวณ ราวกับมาเป็นสักขีพยานชัยชนะให้แก่ลั่วหยาง
แม่ทัพหยางซีซวนกลับเข้ามาพักผ่อนที่กระโจมของตน เมื่อเขาเดินเข้ามาถึง ก็ถูกต้อนรับโดยหลิวลี่ถังผู้เป็นดั่งหมอยาประจำตัว ทั้งสองพบกันโดยความบังเอิญ หลิวลี่ถังเป็นชาวบ้านแถบชายแดนระหว่างลั่วหยางและซีอาน หยางซีซวนถูกรอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและได้รับความช่วยเหลือจากหลิวลี่ถัง
นางเป็นหมอที่กำลังมาหาเก็บสมุนไพรแถบป่าของลั่วหยางแต่ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงร้องโอดครวญจึงได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือ
เวลาผ่านมาเกือบปีทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์อย่างรวดเร็วจากผู้มีพระคุณก็ค่อยๆเกิดเป็นความรักขึ้นมา
"อีกสามวันเราจะกลับลั่วหยางกัน เจ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่" หยางซีซวนเอ่ยขึ้น ขณะที่มือก็ค่อยๆปลดชุดเกราะออกทีละชิ้น โดยที่มีหลิวลี่ถังคอยช่วยถอดออกอีกแรง ร่างบางเงยหน้าขึ้นสบตากับบุรุษตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเขา
"ท่านไปที่ใดข้าก็พร้อมจะตามท่านไปทุกที่" เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของบุรุษใต้ชุดเกราะก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางเป็นทั้งผู้มีพระคุณและสหายร่วมรบที่คอยช่วยดูแลทั้งเขาและเหล่าทหารที่บาดเจ็บ หากได้ใช้ชีวิตร่วมกับนาง เขาคงจะมีความสุขไม่น้อย
แม้นางจะบอกว่าจะตามเขาไปทุกที่ แต่สีหน้าก็ไม่อาจซ่อนความกังวลไว้ได้ หยางซีซวนเข้าใจความหมายของสีหน้านั้นของนางดี
"เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อว่าหนิงฮวาจะต้องเข้าใจ" หยางซีซวนลูบไรผมของหลิวลี่ถังอย่างอ่อนโยน แม้บางทีหยางซีซวนอาจจะดูดุดันและเย็นเย็นชาไปบ้าง แต่เขากลับแสดงแต่ด้านที่อ่อนโยนกับนาง
แม่ทัพผู้สง่างามเก่งกาจและอ่อนโยน ก็คงจะมิแปลกหากจะมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว หากแต่สมัยนี้การแต่งงานส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจและผลประโยชน์ การมีอนุหลายคนนับว่าเป็นเรื่องปกติ หลิวลี่ถังเชื่อว่าอย่างไรแล้วนางก็เป็นคนที่ได้ครอบครองหัวใจของท่านแม่ทัพผู้นี้ เพราะนางจะแต่งงานกับเขาเพราะความรักโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินเอกหรือฮูหยินรอง นางย่อมมิใส่ใจ
กลิ่นอายของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ ราวกับว่าได้อยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ที่แห่งนี้คือจวนของสกุลไป๋
"ซิงอี คุณหนูของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ไป๋เฉิงผู้เป็นนายใหญ่สุดของจวนเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทของลูกสาว
"เรียนนายท่านคุณหนูมักจะนั่งเหม่อลอยมองไปทางทิศตะวันตกเจ้าค่ะ คุณหนูท่านคงจะเป็นห่วงท่านแม่ทัพจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเกือบปีแล้วเจ้าค่ะ"
ไป๋เฉิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เหตุผลที่ลูกสาวผู้เป็นที่รักของเขาเป็นเช่นนี้เพราะบุรุษที่นางรักต้องไปออกรบที่ชายแดน จึงจำเป็นต้องเลื่อนงานมงคลออกไปอย่างกระทันหัน นางเฝ้ารอแม่ทัพหยางซีซวนกลับมานางจะได้แต่งงานกับเขาเสียที
"ซิงอีเจ้าไปยกสำรับอาหารมา ข้าจักไปหาคุณหนูของเจ้าเอง" ไม่ยอมกินข้าวกินปลาได้อย่างไร เห็นทีคนเป็นพ่ออย่างข้าจักต้องไปจัดการเสียแล้ว
เดือนต่อมา
ชาวบ้านต่างพากันปรบมือโห่ร้องสรรเสริญให้กับฉินอ๋องและแม่ทัพรวมถึงเหล่าทหารกล้าผู้มีชัย ในที่สุดสงครามอันยาวนานก็สิ้นสุดลงโดยที่ลั่วหยางเป็นฝ่ายมีชัย
ท่ามกลางเสียงปรบมือยินดีของชาวบ้าน หนิงฮวายืนนิ่งด้วยความตกใจ เหตุใดหยางซีซวนจึงมีสตรีอยู่ข้างๆ นางเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมานั่งม้าตัวเดียวกับซีซวนได้?
หลังจากที่มาถึงจวนหยางซีซวนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่กับหลิวลี่ถัง เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวงวันแรกหลังจากที่เดินทางมานาน ความเมื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาจนไม่มีเวลาไปหาไป๋หนิงฮวา อย่างไรซะหลังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันรุ่งขึ้นเขาค่อยไปหานางก็ได้
เมื่อยามรุ่งมาถึง แม่ทัพหยางซีซวนก็แต่งตัวเป็นชุดจีนโบราณสีขาวสง่างาม โดยที่หลิวลี่ถังก็แต่งชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อนดูแล้วงดงามราวกับเทพเซียน ทั้งสองออกเดินทางจากจวนมายังพระราชวัง
"เจ้ารอข้าอยู่ที่รถม้านี่ก่อนนะถังเอ๋อร์ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา"
"เจ้าค่ะท่านพี่"
ณ พระตำหนักเฟยหลงทรงเป็นที่ทรงงานส่วนพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ พระตำหนักตกแต่งด้วยหยกและทองคำ ฝาผนังมีภาพเขียนลายมังกรตัวใหญ่โบยบินอยู่บนน่านฟ้า รอบพระตำหนักเป็นสวนดอกไม้นาๆ พันธุ์งดงามราวกับสรวงสวรรค์เลยก็มิปาน
เหนือบัลลังก์ทองคำมีองค์ฮ่องเต้ประทับอยู่ พระพักตร์งดงามราวรูปสลัก พระโอษฐ์แย้มสรวลน้อยๆ เมื่อเห็นว่า ฉินอ๋อง พร้อมด้วย แม่ทัพหยาง เดินเข้ามาถวายบังคมพร้อมกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี
"ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท"ฉินอ๋องและแม่ทัพหยางกล่าวพร้อมกัน
"ที่ข้าเรียกเจ้าทั้งสองมาก็เพื่อพูดคุยเกี่ยวสงครามที่ผ่านมา"
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าแม้เป็นการดีที่ลั่วหยางของเราเป็นฝ่ายได้ชัย แต่เราก็สูญเสียเหล่าทหารกล้าไปเป็นจำนวนมาก กระหม่อมจึงมีความเห็นว่าเราควรเจรจายุติสงครามอย่างถาวร เพราะทั้งเขาและเราต่างก็สูญเสียไปไม่น้อย"
"อืมเราเข้าใจ เดี๋ยวจะเอาไว้คุยในที่ประชุมกับเหล่าขุนนางอีกทีหนึ่งเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันต่อ แล้วเจ้าล่ะแม่ทัพหยางมีสิ่งใดอยากพูดกับเราหรือไม่"
"ทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอกล่าวถึงครอบครัวของเหล่าทหารกล้าที่เสียชีวิตจากการทำสงคราม ทำให้หลายครอบครัวต้องขาดที่พึ่งของครอบครัวไป เราควรให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"เราเห็นด้วยกับเจ้าท่านแม่ทัพ เหล่าทหารกล้าและครอบครัวล้วนเป็นประชาชนของเรา เห็นทีเรื่องนี้จะต้องเร่งให้ความช่วยเหลือเสียแล้ว ไว้ข้าจะพูดในที่ประชุมอีกที ขอบใจเจ้ามาก สงครามในครั้งนี้เจ้าทั้งสองล้วนมีความดีความชอบข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม พวกเจ้ามีสิ่งใดที่ปรารถนาหรือไม่"
"กระหม่อมไม่มีสิ่งใดที่อยากได้ ขอเพียงแค่ประชาชนลั่วหยางอยู่กันอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้วพะย่ะค่ะ" ฉินอ๋องผู้เป็นน้องชายเพียงคนเดียวขององค์ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างฉินอ๋องและฮ่องเต้ทุกคนในวังหลวงย่อมรู้ดีว่า ทั้งสองพระองค์ล้วนเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน ฮ่องเต้เปรียบดั่งแสงสว่างและฉินอ๋องเปรียบดั่งเงาที่คอยปกป้องดูแลลั่วหยางให้อยู่ดีมีสุข
"อืม ข้าดีใจยิ่งนักที่มีเจ้าคอยช่วยดูแลลั่วหยาง แล้วท่านแม่ทัพล่ะเจ้าปรารถนาสิ่งใดรึ"
"กระหม่อมไม่ต้องการสิ่งใดเช่นกันพะย่ะค่ะ"
"เห้อพวกเจ้านี่นะ เอาเป็นว่าข้าจะจัดการรางวัลให้พวกเจ้าอย่างเหมาะสมก็แล้วกัน อย่าได้คิดที่จะปฏิเสธเราเสียล่ะ เอาล่ะพวกเจ้าก็เหนื่อยกันมามากแล้วกลับไปพักผ่อนเถิด"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา" ฉินอ๋องและแม่ทัพหยางค้อมศรีษะลงทำความเคารพก่อนจะเดินออกมา
เมื่อหยางซีซวนกลับมาถึงรถม้า ก็บอกให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไม่ยังสกุลไป๋ทันที
"รอนานหรือไม่ถังเอ๋อร์" เมื่อเขาเห็นนางนั่งสัปหงกอยู่ภายในรถม้าก็รู้สึกเอ็นดูนางยิ่งนัก นางเป็นคนจิตใจดีและพูดน้อย เขาว่าอย่างไรนางก็ว่าตามที่สำคัญนางยังเป็นสตรีที่งดงามมากมิแพ้ผู้ใดเลย
"ไม่นานเจ้าค่ะ ถึงจะนานข้าก็รอได้" หลิวลี่ถังยิ้มหวานให้เขาพรางกุมมือของหยางซีซวนไว้แน่น ทั้งคู่นั่งแนบอิงกันมาจนกระทั่งถึงจวนของไป๋หนิงฮวา
"เจ้าลงมาเถิดข้าเชื่อว่าหนิงฮวาจะเข้าใจ แม้นางจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่นางมิใช่คนร้ายกาจหรอก" หยางซีซวนยื่นมือไปให้หลิวลี่ถังจับและค่อยๆ ก้าวขาลงมาจากรถม้า
เมื่อทหารที่เฝ้าอยู่หน้าจวนเห็นแม่ทัพหยางซีซวน จึงให้เขาเข้าไปด้านใจจวนอย่างง่ายดาย เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าคุณหนูไป๋หนิงฮวากับแม่ทัพหยางซีซวนเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านแม่ทัพมาขอพบเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินสาวใช้คนสนิทพูดเช่นนั้น ไป๋หนิงฮวาก็ละมือจากการปักผ้าเช็ดหน้าและเงยหน้าขึ้นมาทันที นางไม่สบายใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ในที่สุดเขาก็มาเสียที
"ให้เขาเข้ามา"
เมื่อหยางซีซวนเดินเข้ามาก็พบว่าไป๋หนิงฮวาดูซูบผอมลงไปมาก นางเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้นหรือ หนิงฮวามองหน้าของบุรุษที่นางเฝ้ารอมานับปีอย่างดีใจ แม้สีผิวจะคล้ำลงไปบ้างจากการทำสงครามต้องตากแดดตากลมแต่เขาก็ยังคงรูปงามสำหรับนางเสมอไป๋หนิงฮวาลุกขึ้นมาจับมือเขาดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บหนักที่ตรงไหน เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีนางจึงลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหนิงฮวาดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นางคิดถึงและเป็นห่วงเขาเสียจนกินมิได้นอนมิหลับ ได้แต่คอยสวดมนต์ภาวนาให้เขาปลอดภัยกลับมา"ซีซวนเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหตุใดหลายเดือนมานี้จึงไม่มีจดหมายมาจากเจ้าเลย รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่" ไป๋หนิงฮวาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหยางซีซวนนึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้ส่งจดหมายมาให้นางจริงๆอย่างที่นางพูด ก็ได้แต่โอบกอดนางไว้ นางซูบผอมลงไปมากจนกระดูกไหปลาร้าปรากฎออกมาอย่างเห็นได้ชัด"สงความเคร่งเครียดและยาวนานกว่าที่ข้าคิดนัก ทุกวันข้าเหนื่อยจนไม่มีเวลาได้เขียนจดหมายหาเจ้าเลย ขอเจ้าอย่าขุ่นเคือง ข้ากลับมาหาเจ้าแล้ว" หนิงฮวากอดหยางซีซวนไว้แน่นราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปอีก จากนี้คงไม่มีเรื่องใดมาทำให้นางและซีซวนต้องพร
หลังจากงานแต่งของฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพหยางจบลง ก็เป็นการรับฮูหยินรองเข้าจวนมาโดยที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพราะนางเป็นเพียงสามัญชนธรรมดามิได้มีครอบครัวที่เป็นตระกูลใหญ่หนุนหลังดั่งเช่นฮูหยินเอก หนิงฮวานั่งอยู่ริมหน้าต่างและเหม่อมองไปยังขอบฟ้าในยามพลบค่ำ พลันนึกถึงใบหน้าของบุรุษผู้เป็นที่รักซึ่งป่านนี้เขาคงกำลังมีความสุขอยู่กับฮูหยินรอง นางทำได้เพียงแค่พร่ำถอนหายใจ"การเป็นฮูหยินของเจ้า ข้าต้องใจกว้างดั่งมหาสมุทรเชียวหรือ"เมื่อยามราตรีมาถึงหนิงฮวาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมิยอมขยับไปไหน สายลมพัดผ่านพาให้แสงเทียนสั่นไหว หนิงฮวาแหงนหน้ามองดวงจันทร์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับเข้ามาภายในห้องนอน ยามรุ่งขึ้นหยางซีซวนก็อยู่ทานอาหารเช้าที่เรือนของลี่ถังก่อนจะกลับไปนั่งทำงานที่ห้องทำงานของเขาเอง ลี่ถังผู้มีตำแหน่งเป็นฮูหยินรองก็มาคารวะน้ำชาฮูหยินเอกตามธรรมเนียม โดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก เพราะมิมีเรื่องจำเป็นที่ต้องคุยเมื่อยามอู่ หนิงฮวายกน้ำชาและขนมเข้ามาที่ห้องทำงานของซีซวน แต่เมื่อเข้ามากลับพบว่า เขานั้นมีผู้ยกน้ำชาและขนมมาให้เขาก่อนนางเสียแล้วลี่ถั่งนั่งฝนหมึกอยู่ข้างๆซ
อดีตคุณหนูไป๋หนิงฮวาเคยเป็นคนที่ร่าเริงสดใส แม้บางครั้งจะดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็นับว่าน่ารัก มิรู้ว่ารอยยิ้มนั้นของคุณหนูหายไปตั้งแต่ตอนไหนกัน..เร่เข้ามา~ เร่เข้ามา~ ปิ่นมงคล~ ปิ่นมงคลนอกจากจะสวยงามแล้วยังช่วยเสริมดวงชะตาโชคลาภและที่สำคัญเสริมดวงเรื่องความรักด้วยนะขอรับ~เมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศของร้านค้าแผงลอยร้านหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเขาจะขายเครื่องประดับมงคล บรรดาสาวน้อยใหญ่ก็ต่างพากันกรูเข้าไปแย่งกันซื้อ ของแบบนี้ไม่ว่าจะยุคไหนก็ยังคงมีคนเชื่อและยอมซื้อมัน หนึ่งในนั้นก็มีหนิงฮวาอยู่ด้วย"เจ้าว่าปิ่นมงคลนี่เหมาะกับข้าหรือไม่"หนิงฮวาหยิบปิ่นขึ้นมาหนึ่งอัน เพื่อที่จะให้ซิงอีช่วยตัดสินใจ ขณะที่นางกำลังจะหันกลับมาถามหาความเห็นจากซิงอี นางก็ถูกฝูงชนเบียดจนเสียหลักเซล้มชั่วพริบตาที่นางจะล้มลงนั้นกลับมีคนมาช่วยประคองนางไว้ เมื่อหนิงฮวาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบกับฉินอ๋องเมื่อตั้งสติได้หนิงฮวาก็รีบผละตัวออกจากฉินอ๋องทันที ต้องยอมรับจริงๆ ว่านางเคยเห็นเขาเพียงไกลๆเท่านั้นแต่นางกลับจำเขาได้ทันทีนางเคยเห็นฉิงอ๋องครั้งแรกเมื่อตอนที่ลั่วหยางได้ชัยจากสงครามเมื่อปีก่อน ผ่านมาจนป่านนี้แล้วนางก็ยังจำ
หยางซีซวนตื่นขึ้นมาที่เรือนของลี่ถัง แต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปร่วมทานมื้อเช้ากับหนิงฮวาผู้เป็นฮูหยินเอก แต่เมื่อเขาเข้ามากลับไม่พบกระทั่งเงาของฮูหยินเอก นางหายไปไหนกัน"ฮูหยินของเจ้าอยู่ที่ใด" น้ำเสียงดุดันถามหาฮูหยินเอกด้วยความร้อนใจ "ข้าถามว่านางหายไปที่ใด!!!" เมื่อสาวใช้ที่คอยทำความสะอาดเรือนของฮูหยินมีท่าทีอึกอัก เขาก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที"เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ" "ออกไปตั้งแต่เมื่อวาน!!เป็นไปได้อย่างไรเหตุใดจึงไม่มีใครมารายงานข้า" หยางซีซวนรู้สึกวาบโหวงในใจเป็นอย่างมาก เหตุใดนางจึงไปไหนไม่บอกกล่าวเขาสักคำ ยิ่งช่วงนี้เขาได้จดหมายประหลาดมา ยิ่งทำให้รู้สึกกังวล"บ่าวเห็นว่าท่านอยู่ในเรือนของฮูหยินรองจึงมิกล้าเข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ""หากเป็นเรื่องของฮูหยินเอก ข้าจะอยู่ที่ใดก็จงรีบมาบอกข้า ทหาร!!นี่คือคำสั่ง จงออกไปตามหาฮูหยินกลับจวนมาบัดเดี๋ยวนี้"เสียงคำสั่งของแม่ทัพดังสนั่น ระดมกำลังตามหาฮูหยินที่หายไป เขาไม่รอช้ารีบกุมบังเหียนออกตามหาฮูหยินทันที ขณะที่ม้ากำลังวิ่งด้วยความเร็ว เขาได้แต่ภาวนาอย่าให้เรื่องเกิดไม่ดีกับฮูหยินของเขาเลยถ้าหากว่
สามวันมานี้หนิงฮวาได้ยินบ่าวไพร่พูดเรื่องของท่านแม่ทัพกับฮูหยินรองอยู่ทุกวัน บางคนก็ว่าคงจะมีข่าวดีเร็วๆนี้ อีกไม่นานคงจะมีคุณหนูคุณชายวิ่งกันเต็มจวนบางครั้งนางก็ต้องได้ยินว่าบ่าวไพร่ต่างพากันอิจฉาฮูหยินรอง ท่านทั้งสองพบกันราวพรหมลิขิต ได้ไปพบรักขณะที่ไปรบ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานนับปีแม้ฮูหยินรองจะมิใช่ลูกของผู้มีอำนาจ แต่ท่านแม่ทัพกลับแต่งฮูหยินรองเข้าจวนมาไล่เลี่ยกับฮูหยินเอก แถมดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะรักฮูหยินรองมากกว่าฮูหยินเอกที่ถูกผู้ใหญ่บังคับหมั้นกันตั้งแต่เยาว์วัย ทหารยามที่เฝ้าอยู่บริเวณเรือนของฮูหยินเอกก็พูดกันว่า เมื่อยามที่ท่านแม่ทัพมานอนค้างที่เรือนของฮูหยินเอก มันไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ร้อยวันพันปีเท่านั้นจึงจะได้ยินหนิงฮวาได้ยินคำพูดเหล่านี้มาโดยตลอด เพียงแต่นางไม่อยากถือสาเอาความ นางคงไม่สามารถห้ามปากและความคิดของผู้ใดได้ สิ่งที่เขาพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น หลายสิ่งที่พวกเขาพูดมาล้วนเป็นความจริงนางมิใช่คนที่อ่อนหวานและขี้เอาใจแบบฮูหยินรอง นางเติบโตมาอย่างบุตรสาวของขุนนาง การแสดงออกแต่ละอย่างควรสง่างาม มิควรทำสิ่งใดประเจิดประเจ้อจนเป็นที่นินทา
ฉินอ๋องและแม่ทัพหยางซีซวนเดินออกมาจากพระตำหนักเฟยหลงขององค์ฮ่องเต้ ทั้งคู่เดินผ่านสวนดอกไม้นาๆ พันธุ์มาจนถึงศาลาริมสระบัว "เกี่ยวกับธนูปริศนาวันนั้น.." หยางซีซวนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ฉินอ๋องพยักหน้าอย่างเข้าใจ "เปิ่นหวางได้ตามสืบเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ลูกศรที่ยิงมาในวันนั้นเป็นลักษณะที่มีใบเลื่อยอยู่ด้วย ที่เดียวที่ใช้ลูกศรแบบนี้เท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงแค่..""ซีอาน!!" หยางซีซวนแทรกขึ้นมาทันที หลังจากที่ฟังฉินอ๋องพูดแล้วลูกศรแบบนี้ก็มีที่ซีอานที่เดียว! "เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วท่านแม่ทัพ สงครามในครานั้นทั้งลั่วหยางและซีอานต่างก็สูญเสียกันไปมาก แต่ที่สำคัญเลยคือซีอานเสียองค์ชายสามไปกับสงคราม พวกมันคงจะแค้นใจไม่น้อย" สงครามจบใช่ว่าคนจะจบ อย่างไรเสียฝั่งนั้นก็สูญเสียองค์ชายลำดับที่สามไป สนามรบไม่ปรานีผู้ใด หากได้จับดาบรบแล้ว ไม่เข่นฆ่าเขาก็จะถูกเขาเข่นฆ่า พวกมันกำลังจะทำตัวเป็นหมาลอบกัด ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลก เมื่อหลังชนฝาแล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย หากชนะในสนามรบมิได้ ก็จงชนะนอกสนามรบแทน หลังจากที่พูดคุยกับฉินอ๋องจบ หยางซีซวนก็กลับมาที่จวน บรรยากาศในจวนเงียบสงัดราวกับเป็นจวนร้าง เหตุใดวัน
เป็นเวลากว่าเจ็ดวันที่หนิงฮวาถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนของตนเอง โดยที่หยางซีซวนไม่ได้แวะมาหานางเลยสักวัน บัดนี้นางเริ่มคิดแล้วว่าตนนั้นเป็นดั่งนกในกรงทองของหยางซีซวนเท่านั้นหากเขารักหลิวลี่ถังปานนั้น เหตุใดจึงต้องขอให้นางมาเป็นฮูหยินเอกด้วย เพียงเพราะคำสัญญาในวัยเยาว์หรือเพราะอำนาจทางการเมือง นางไม่อยากเป็นฮูหยินเอกหรือเมียหลวงของใคร นางอยากเป็นเมียเพียงคนเดียว การที่นางยอมแต่งงานกับหยางซีซวนเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ นางคงต้องคิดทบทวนดูใหม่เสียแล้วเมื่อลองมองย้อนกลับไปหนึ่งปีที่แต่งงานกันมา นางมีความสุขหรือไม่ หัวเราะกับร้องไห้สิ่งไหนบ่อยกว่ากันตัวนางไม่ต่างจากข้าวที่รอคอยฝน ยามที่ซีซวนมาหานางมักจะยิ้มและมีความสุข แต่ยามที่เขาไม่มา นางก็ได้แต่รอคอยโดยไม่มีสิทธิ์ปริปากบ่นถ้าหากว่านางหย่าแล้วกลับไปอยู่กับท่านพ่อ คงจะโดนชาวบ้านนินทาและคงทำให้ท่านพ่อต้องอับอาย นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร "ซิงอี ถ้าหากว่าวันหนึ่งข้าหย่ากับซีซวน ไม่เป็นฮูหยินไม่กลับไปเป็นคุณหนูไป๋ เจ้าจะยังอยู่กับข้าหรือไม่" หนิงฮวาที่กำลังนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเอ่ยขึ้น"ไม่ว่าคุณหนูจะทำสิ่งใด ซิงอีจะอยู่กับ
"เจ้าหมดรักข้าแล้วหรือฮวาเอ๋อร์ ไม่หย่าได้หรือไม่ข้าขอร้องเจ้า เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม" หยางซีซวนจับมือเล็กๆ อันบอบบางของนางขึ้นมาจูบเบาๆ ก่อนจะเอียงแก้มมาแนบกับมือของนางไว้ ตอนนี้เขารู้เพียงแค่ไม่อยากเสียนางไป ถ้าหากว่านางจะไปให้ได้ เขาก็จะกักขังนางไว้ ขอเพียงนางยังอยู่กับเขา ไม่ว่าจะวิธีใดเขาก็ยอมทำ"หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าจะขอคงมีแค่เรื่องเดียว แต่ข้าคงจะไม่ขอหรอก เพราะข้ารู้ว่าเจ้าคงทำไม่ได้ หากเจ้าทำได้เจ้าก็คงทำไปตั้งนานแล้ว""เจ้ากลับไปคิดทบทวนอีกทีได้หรือไม่ฮวาเอ๋อร์..""ข้าคิดมาตลอดซีซวน มันหมดหนทางอื่นแล้ว ปล่อยข้าไปแล้วเจ้าก็ให้นางขึ้นเป็นฮูหยินแทนข้าเสีย" บัดนี้นางอ่อนล้าเกินกว่าที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครแล้วชีวิตนางตั้งแต่เกิดมาอยากได้สิ่งใดก็ได้ดั่งใจตลอด มีแต่เรื่องความรักที่นางพยายามแค่ไหนก็ไม่เคยได้มันมา"ข้าไม่หย่า! อย่างไรข้าก็ไม่หย่า" "เจ้ามีเหตุผลใดจึงไม่ยอมหย่า""ข้ารักเจ้า ข้าอยากอยู่กับเจ้า อยากเห็นหน้าเจ้าในทุกๆวัน"เมื่อได้ยินคำตอบหนิงฮวาก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เหตุผลของเจ้ามันเหมือนกับว่า เจ้ามีข้าอยู่ในชีวิตมาโดยตลอด จึงไม่ชินหากวันหนึ่งต้องเสียข้าไ
ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นผืนผ้าใบที่มีเฉดสีอบอุ่นอย่างสีส้ม แดง และชมพู อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า เสียงนกร้องและจิ้งหรีดร้องแว่วมาแต่ไกลหนิงฮวานั่งจมอยู่ในห้วงความคิด จิตใจของนางล่องลอยไปยังที่แสนไกล ฉินอ๋องหายหน้าไปสามเดือนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเขาจากไปเลยโดยที่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา หนิงฮวาได้แต่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน หากนางไม่พูดเช่นนั้นออกไป ตอนนี้จะเป็นเช่นไร.. มันจะต่างจากตอนนี้หรือไม่อย่างน้อย นางก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต แม้จะเป็นเพียงสหายกันก็ยังดี ป่านนี้ฉินอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงนางบ้างหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเปลี่ยนใจจากนางไปแล้ว หัวใจของนางปวดร้าวเมื่อนึกถึงหน้าของฉินอ๋อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามีผลต่อความรู้สึกของนางเช่นนี้ "เขาคงไม่มาแล้วจริง ๆ" หนิงฮวาถอนหายใจและหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม นางรู้ว่านางต้องละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อฉินอ๋องและเดินหน้าต่อไป พูดง่ายแต่ทำยากยิ่งนางจะสามารถตัดใจจากคนที่ดีกับนางมาตลอดได้อย่างไร เขาและนางมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน
ณ จวนสกุลหยางสุริยันปรากฎจันทราลับ คิมหันต์เหมันต์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน สองปีแล้วที่เจ้าจากไป หยางซีซวนนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นเหมยที่เขาและหนิงฮวาเคยปลูกร่วมกันเมื่อวัยเยาว์ สายตาเศร้าหมองทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สีหน้านิ่งเฉยเสมือนคนที่ไร้ซึ้งความรู้สึก ราวกับว่ามันเป็นคำสาปจากนาง ซีซวนใช้ชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกผิด และความคะนึงหาราวกับร่างไร้วิญญาณหลิวลี่ถังที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ ปีที่สองหลังจากหนิงฮวาจากไป หลิวลี่ถังก็ยังคงเป็นเพียงฮูหยินรองที่ทำหน้าที่ของฮูหยินเอก แม้ว่าหนิงฮวาจะจากไปแล้วก็ตาม ที่ตรงนั้นยังคงเป็นของนางเสมอมาหลิวลี่ถังคอยดูแลหยางซีซวนที่ตอนนี้กลายเป็นคนวิกลจริต เขาจำต้องพ้นสภาพของแม่ทัพเพราะไม่สามารถควบคุมสติหรืออารมณ์ได้ภาระหน้าที่ต่างๆภายในจวนจึงตกมาเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่หยางซีซวนเริ่มเสียสติ บรรดาบ่าวไพร่ก็ต่างพากันหนีหายไป บ้างก็ขโมยทรัพย์สินของมีค่าไปขาย ไม่ว่าจะเป็นแจกันหรือถ้วยชาม ล้วนถูกขโมยไปทั้งสิ้นจวนสกุลหยางที่ไร้ซึ่งหยางซีซวนคอยปกครองบรรยากาศนั้นดูอึมครึมและเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงของผู้คน หลิวลี่ถังอดทนดูแลเขามาเป
สองปีต่อมาดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ ส่องแสงอันอบอุ่นเหนือโลกเบื้องล่าง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยเฉดสีชมพูและส้ม อากาศสดชื่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่และดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่หนิงฮวาตื่นมารดน้ำแปลงผักตั้งแต่เช้า นางปลูกผักมากมายหลายชนิด ส่วนหนึ่งก็เก็บไว้กินเอง และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปขายในตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน โดยส่วนใหญ่แล้วซิงอีเป็นคนนำผักและสมุนไพรที่เก็บได้ไปขาย อันที่จริงไม่ใช่ว่านางไม่มีสมบัติติดตัวเลย บิดาของนางมาหาเดือนละครั้ง และทุกครั้งที่มาก็มักจะนำเงินทองและสมบัติมากมายมาให้ รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับซึ่งภายหลังนางก็ปฏิเสธไปบ้างเพราะในบ้านไม่ได้มีพื้นที่มากพอสำหรับสิ่งของฟุ่มเฟือยเช่นเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าส่วนข้าวสารอาหารแห้งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญหนิงฮวาก็จะรับไว้ด้วยความยินดี "เจ้าตื่นเช้าเสียจริง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานเดี๋ยวข้าจะทำเอง" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาแย่งบัวรดน้ำออกไปจากมือหนิงฮวา "ข้าทำเองได้" หนิงฮวาพยายามที่จะแย่งบัวรดน้ำกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล ฉินอ๋องส
สามเดือนก่อนสายลมเย็นพัดพาม่านหน้าต่างปลิวไสว ไป๋เฉิงที่นั่งเฝ้าร่างบุตรสาวที่ไม่ไหวติงมาหลายวัน รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างโดยพลัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้หากเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ มีหวังบุตรสาวของตนคงไม่หายป่วยเป็นแน่วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่หนิงฮวายังไม่ยอมฟื้นขึ้นมา นางนอนนิ่งเช่นนี้มาหลายวันแล้ว นับวันร่างกายนางยิ่งซูบผอม หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่ฟื้นกลับขึ้นมาดังท่านหมอได้กล่าวไว้เป็นแน่"หากเจ้ายอมลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด พ่อจะทำให้เจ้าทุกอย่าง.."ไป๋เฉิงได้แต่นั่งภาวนาขอให้หนิงฮวาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยไม่นานนักร่างกายของหญิงสาวที่นอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงมาหลายวันกลับมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย หนิงฮวาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทราอันยาวนาน "ฮวาเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว!!" ไป๋เฉิงดีใจเสียจนนั่งไม่ติด เขาได้แต่ขอบคุณฟ้าดินที่เมตตาบุตรสาวของตน ขอบคุณจริงๆที่นางมีชีวิตอยู่"น้ำ.." หนิงฮวาพยายามเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ เสียงของนางแหบแห้งเสียจนฟังไม่รู้ความ"น้ำ..น้ำหรอ เจ้าหิวน้ำใช่หรือไม่" ไป๋เฉิงตาลีตาลานหาเหยือกน้ำมารินใส่แก้วให้หนิงฮวาด้วยความดีใจ ในที่สุดการสวดภาวนาของเขาก็เป็
"ร้องไห้หรือ เจ้าอย่ามาบีบน้ำตาต่อหน้าข้า มันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นับแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้คิดจะมาเคารพศพลูกสาวข้า อย่าคิดแม้แต่จะมาเยี่ยมหลุมศพของนาง อย่าแม้แต่จะมาร้องไห้ให้นาง เจ้ามันไม่คู่ควร!!"เมื่อพูดจบไป๋เฉิงก็เดินกลับเข้าไปในจวนโดยไม่หันหลังกลับมามองหยางซีซวนอีกเลย.."ข้าขอร้องท่าน ให้ข้าได้อยู่ในงานศพของนางเถิดข้าของร้องท่านจริงๆ" หยางซีซวนก้มหน้าลงหมอบกับพื้น แต่เสนาบดีไป๋ก็หาได้สนใจไม่ บัดนี้เขารู้ซึ้งแล้วจริงๆ ว่าชีวิตเขาขาดนางไม่ได้ ราวกับว่าหัวใจของเขาแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ชีวิตจากนี้ที่ไม่มีหนิงฮวาเขาจะอยู่ได้อย่างไร"ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้ หนิงฮวาข้าขอโทษข้าผิดไปแล้ว อย่าทิ้งข้าไปนะ ข้าขอร้องอย่าทิ้งข้าไป ข้ายอมเจ้าแล้ว ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง เพราะงั้นลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะให้ข้าหย่ากับนางข้าก็ยอม หนิงฮวาข้าผิดไปแล้ว"หยางซีซวนร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดนี้มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวหยางซีซวนกลับมายังจวนสกุลหยางของตนอย่างล่องลอย เขาสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอนหนิงฮวาทันที เขาภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน เขาเปิดประตูห้องเข้า
ณ จวนสกุลไป๋"เปิดประตูจวนเดี๋ยวนี้!!" เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าประตู เสนาบดีไป๋เฉิงจึงรีบรุดไปดูทันทีว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อเขาวิ่งมาถึงหน้าจวนก็เห็นว่าฉินอ๋องอุ้มลูกสาวตนเข้ามาด้วยท่าทีที่รีบร้อน "นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" เสนาบดีไป๋เอ่ยถามฉินอ๋องด้วยความร้อนใจ"ตามหมอให้ข้าก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน ห้องนางอยู่ที่ใด!!" ฉินอ๋องแผดเสียงดังขึ้น ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาอธิบายสิ่งใดทั้งนั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการห้ามเลือดให้นาง"ซิงอีเจ้ารีบไปตามหมอมารักษาลูกข้า!!" เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งนำฉินอ๋องไปยังห้องของหนิงฮวา ฉินอ๋องเห็นเช่นนั้นแล้วจึงได้วิ่งตามบิดาของนางไป"เจ้าค่ะ" ซิงอีได้ยินผู้เป็นนายสั่งเยี่ยงนั้น นางจึงรีบวิ่งออกไปตามหมอมาทันที "ข้าขอผ้าสะอาดหน่อย เร็วเข้า!" ฉินอ๋องพูดขึ้นไป๋เฉิงเห็นโลหิตที่ไหลอาบอาภรณ์ของลูกสาว เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ภาพชายชราที่วิ่งหาผ้ามาเพื่อห้ามเลือดให้ลูกสาวด้วยความรนรานและสั่นเทาช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วหดหู่ยิ่งนัก เสนาบดีไป๋เฉิงยื่นผ้าสะอาดให้กับฉินอ๋องอย่างรวดเร็วฉินอ๋องดึงเศษอาภรณ์ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานออก ก่อนจะนำผ้าพื้นใหม่มา
"ท่านอ๋องช่วย..ช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าค่ะ!!""เจ้าตั้งสติก่อน เกิดอันใดขึ้น คุณหนูของเจ้าเป็นอะไร แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด" ฉินอ๋องพยายามถามซิงอีอย่างใจเย็น"คุณหนูถูกลักพาตัวเจ้าค่ะ พวกมันบอกจะรอที่ถ้ำทางทิศตะวันตก" ซิงอีพูดด้วยความร้อนใจ ไม่รู้ป่านนี้คุณหนูของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกมันทำร้ายสตรีตัวเล็กๆ อย่างคุณหนูได้ลงคอ จิตใจมันโหดร้ายยิ่งนัก"ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบบอกใครเพราะมันอาจเกี่ยวกันชื่อเสียงของคุณหนูของเจ้า ข้าจะไปช่วยเอง" เมื่อพูดจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาและหายไปกับความมืดทันทีหยางซีซวนตามมาช่วยหลิวลี่ถังได้ทันท่วงที ดีที่พวกมันยังไปได้ไม่ไกล เขาจึงสามารถตามมาทัน และจัดการพวกมันที่มากันสามคนต่อหนึ่งอย่างง่ายดายที่แท้ก็เป็นพวกซีอานจริง ๆ ที่จ้องจะเล่นงานเขา แสดงว่าพวกมันคงวางแผนมานานแล้ว ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก เมื่อตั้งสติได้เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ซิงอีสาวใช้ของหนิงฮวาก็บอกว่าคุณหนูของนางก็ถูกลักพาตัวเช่นกัน นั่นก็แสดงว่ามันคือเรื่องจริงหยางซีซวนจึงรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำทิศตะวันตกตามที่ซิงอีบอก ในใจได้แต่ภาวนาว่านางจะไม่เป็นอะไร ต
ทางด้านซีอานที่คอยตามสืบมาเป็นปีก็ได้เวลาลงมือเสียที พวกเขารอที่จะแก้แค้นหยางซีซวนมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม "เจ้าจะต้องได้พบกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน" หนึ่งในชายชุดดำกล่าวขึ้นอย่างเคืองแค้นเหล่าชายชุดดำพากันกระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อเฝ้าคอยการเคลื่อนไหวของหยางซีซวนตามคำสั่งที่ได้รับ หากหยางซีซวนออกจากจวนยามใดให้เริ่มแผนการได้ทันทีเพราะหลังจากที่หยางซีซวนได้รับจดหมายขู่ในวันนั้น เขาก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในแผนการ เมื่อเหยื่อเห็นว่าเป็นเพียงจดหมายขู่ ก็จะตายใจและประมาท เมื่อนั้นแหละหยางซีซวน เจ้าจะต้องเสียใจ!ยามโหย่วของวันต่อมา หนิงฮวาใส่ชุดจีนโบราณสีขาวปักด้วยสีทองลายดอกเหมย เครื่องประดับบนหัวเป็นเครื่องเงินประดับด้วยไข่มุก มีสายห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม กำลังยืนมองดอกเหมยอยู่หน้าเรือน ไม่นานนักหยางซีซวนก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลิวลี่ถัง วันนี้หลิวลี่ถังก็แต่งกายงดงามเช่นกันเป็นฮันฝูสีชมพูอ่อนปักลายดอกบัวดูอ่อนช้อยงดงามหยางซีซวนยิ้มอย่างพอใจฮูหยินทั้งสองของเขางดงามยิ่งนัก เขานับว่าเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุดในใต้หล้าเลยก็ว่าได้ ทั้งสามคนเดินมายังรถม้า
"เอ่อ..ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ท่านรู้จักฮูหยินของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ""นางเป็นสหายคนสนิทของข้าเชียวล่ะ"หยางซีซวนได้แต่กัดฟันกรอด หนิงฮวาไปสนิทสนมกับฉินอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งตอนนี้นางยังขอกลับไปอยู่ที่จวนสกุลไป๋ หรือนางจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ห่างจากเขา ไปสนิทสนมกับฉินอ๋อง..แม้ว่าหยางซีซวนจะรู้สึกหึงหวงหรือหงุดหงิดเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการ หรือท่าที ที่บ่งบอกว่าไม่พอใจใส่ฉินอ๋องได้ ณ สถานที่จัดการแสดงศิลปะ ขณะนี้กำลังเป็นช่วงของการแต่งกลอน เขียนบทกวี และการกล่าวถึงสัจธรรม"วันนี้ ข้าขอเชิญผู้กล้าที่มีความสนใจในเรื่องบทกวี และบทกลอน ออกมากล่าวในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้หรือตระหนักได้ จากการชมดอกไม้ในปีนี้" เสียงนักกวีชื่อดังท่านหนี่งเอ่ยขึ้น พร้อมกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาเพียงเวลาไม่นานนัก นักกวีผู้นี้ได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้คนอีกครั้งว่า"ข้าน้อยจำได้ดีว่าท่านผู้นี้คือฉินอ๋องผู้สง่างามแห่งลั่วหยาง หากไม่เป็นการเสียมารยาท ข้าน้อยขอเชิญท่านออกมากล่าวถึงสิ่งที่ท่านตระหนักได้ หลังจากร่วมงานชมดอกไม้ในปีนี้ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเ