สามวันมานี้หนิงฮวาได้ยินบ่าวไพร่พูดเรื่องของท่านแม่ทัพกับฮูหยินรองอยู่ทุกวัน บางคนก็ว่าคงจะมีข่าวดีเร็วๆนี้ อีกไม่นานคงจะมีคุณหนูคุณชายวิ่งกันเต็มจวน
บางครั้งนางก็ต้องได้ยินว่าบ่าวไพร่ต่างพากันอิจฉาฮูหยินรอง ท่านทั้งสองพบกันราวพรหมลิขิต ได้ไปพบรักขณะที่ไปรบ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานนับปี
แม้ฮูหยินรองจะมิใช่ลูกของผู้มีอำนาจ แต่ท่านแม่ทัพกลับแต่งฮูหยินรองเข้าจวนมาไล่เลี่ยกับฮูหยินเอก แถมดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะรักฮูหยินรองมากกว่าฮูหยินเอกที่ถูกผู้ใหญ่บังคับหมั้นกันตั้งแต่เยาว์วัย
ทหารยามที่เฝ้าอยู่บริเวณเรือนของฮูหยินเอกก็พูดกันว่า เมื่อยามที่ท่านแม่ทัพมานอนค้างที่เรือนของฮูหยินเอก มันไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ร้อยวันพันปีเท่านั้นจึงจะได้ยิน
หนิงฮวาได้ยินคำพูดเหล่านี้มาโดยตลอด เพียงแต่นางไม่อยากถือสาเอาความ นางคงไม่สามารถห้ามปากและความคิดของผู้ใดได้ สิ่งที่เขาพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น หลายสิ่งที่พวกเขาพูดมาล้วนเป็นความจริง
นางมิใช่คนที่อ่อนหวานและขี้เอาใจแบบฮูหยินรอง นางเติบโตมาอย่างบุตรสาวของขุนนาง การแสดงออกแต่ละอย่างควรสง่างาม มิควรทำสิ่งใดประเจิดประเจ้อจนเป็นที่นินทา
"ฮูหยินอย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาเลยนะเจ้าคะ" ซิงอีได้แต่กุมมือของผู้เป็นนายแน่น ก่อนจะสาดน้ำออกไปทางหน้าต่าง ทันได้นั้นก็ได้ยินเสียงร้องโอ้ยออกมา
"หุบปากเน่าๆของพวกเจ้าไปซะหากยังอยากมีลิ้นไว้พูดอยู่!" ซิงอีเดินมาที่หน้าต่างก่อนจะชี้หน้าด่าบ่าวไพร่ในจวนที่กำลังนินทาเจ้านายของตน ก่อนจะปิดหน้าต่างเสียงดังสนั่น
โชคดีที่หนิงฮวามีสาวใช้อย่างซิงอี เพราะไม่ว่านางจะโกรธนางก็ไม่อยากที่จะไปด่าหรือว่าใคร ตั้งแต่เด็กนางอาจจะเป็นคนที่เอาแต่ใจบ้าง แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ร้ายกาจ นางมักใช้ความเงียบให้ได้สิ่งที่ต้องการ
เมื่อนางยังเยาว์วัย นางอยากกินขนมตังเมดอกไม้ ท่านพ่อก็จะหามาให้ นางชอบขนมนี้มากเสียจนอยากได้มากินในทุกวัน แต่ท่านพ่อเป็นห่วงสุขภาพของนาง จึงไม่ยอมซื้อให้ หนิงฮวาในวัยเยาว์จึงใช้ความเงียบในการประท้วงท่านพ่อ
นางทำตัวปกติทุกอย่าง ท่านพ่อให้กินข้าวนางก็กิน ให้นอนนางก็นอน เพียงแต่มิยอมปริปากคุยกับท่านพ่อสักคำ จนในที่สุดเสนาบดีไป๋ก็พ่ายแพ้ให้กับลูกสาว ถึงกับยอมซื้อขนมตังเมดอกไม้มาให้นาง จนนางกินแทบไม่หมด
"ขอบใจเจ้าที่คอยเป็นห่วงข้าอยู่เสมอ"
หนิงฮวากล่าวอย่างอ่อนโยน ซิงอีมิใช่เพียงสาวใช้ แต่นางเป็นดั่งน้องสาวคนสำคัญที่คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางเสมอ
"ไม่ให้ซิงอีห่วงท่าน แล้วจะให้ซิงอีห่วงใครล่ะเจ้าคะ คุณหนูโปรดอย่าเศร้าไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ ทำตามใจตนเองบ้างเถิด ซิงอีเห็นคุณหนูเป็นเยี่ยงนี้แล้วเจ็บหัวใจยิ่งนักเจ้าค่ะ"
หนิงฮวาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาเบาๆ นางคิดว่านางเก็บอารมณ์ได้ดีแล้ว แต่มันคงไม่สามารถรอดพ้นสายตาของซิงอีไปได้สินะ..
"ข้าจะพยายาม"
ยามอู่ซิงอีได้มาที่โรงครัวเพื่อนำโสมมาตุ๋นเป็นยาไปให้หนิงฮวาผู้เป็นนาย นางหวังว่าสมุนไพรจะทำให้ฮูหยินของนางแข็งแรงและสดชื่นขึ้น ขณะที่ซิงอีถือโสมอยู่ในมือ ซือซือสาวใช้คนสนิทของฮูหยินรอง ก็รีบวิ่งมาแย่งโสมไป ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นาน
"นี่ซือซือ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ กล้าดีอย่างไรมาแย่งโสมฮูหยินของข้า"
"เจ้านั่นแหละปล่อยมือ ยามนี้ฮูหยินรองของข้าป่วยไข้ โสมนี้จะต้องให้ฮูหยินของข้า!" ทั้งสองฉุดกระชากกันไปมาอย่างรุนแรง ซิงอีจึงปล่อยมือออก ทำให้ซือซือเสียหลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
ซิงอีหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะแย่งโสมในมือของซือซือคืนมา และเริ่มนำมาประกอบเมนูไก่ตุ๋นโสมเพื่อที่จะนำไปให้หนิงฮวาผู้เป็นนาย ซือซือจึงรีบลุกและเดินออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ซิงอีใช้เวลาอยู่ในห้องครัวประมาณหนึ่งชั่วยาม ไก่ตุ๋นโสมก็เสร็จได้ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ นางตักน้ำซุปร้อนๆใส่ถ้วยลายครามอย่างปราณีตและบรรจง นางยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานของตัวเอง
ขณะที่นางกำลังจะยกสำรับออกจากครัว ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่า ฮูหยินรองกำลังยืนขวางประตูอยู่โดยที่มีซือซือยืนอยู่ข้างหลัง ซิงอีค้อมศรีษะเคารพฮูหยินรองก่อนจะขอตัวเดินออกมา แต่ทว่านางกลับมิยอมหลีกทางให้
"ไก่ตุ๋นโสมถ้วยนี้ช่างน่ากินยิ่งนัก ข้าขอได้หรือไม่"ฮูหยินรองเอ่ยขึ้น
"เรียนฮูหยินรอง เกรงว่าซุปถ้วยนี้จะให้ท่านไม่ได้ ซิงอีต้องนำมันไปมอบให้ฮูหยินเอกที่เรือน หากฮูหยินรองอยากได้ข้างในหม้อยังมีเหลือเยอะเลยเจ้าค่ะ" แม้ซิงอีจะได้แต่ก้มหน้าแต่นางก็พูดอย่างหนักแน่น
"เช่นนั้นรึ" เมื่อพูดจบหลิวลี่ถังก็ปัดสำรับที่ซิงอีถืออยู่ทันที น้ำซุปที่กำลังร้อนก็ลวกเข้าไปที่มือของซิงอีอย่างจัง นางได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ซือซือที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะชอบใจออกมาทันที
"เจ้ากล้าดีอย่างไรมาบอกให้ฮูหยินของข้ากินของเหลือในหม้อ สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว" ซือซือเย้ยหยันซิงอีด้วยความสะใจ
ลี่ถังแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับไป โดยที่มีซือซือหัวเราะเยาะก่อนจะหันหลังเดินตามฮูหยินรองไป
ซิงอีก้มหน้าใช้ไหล่เล็กๆเช็ดน้ำตาก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นมา เก็บกวาดเศษถ้วยที่หล่อนกระจายอยู่ที่พื้น นางล้างมือและแขนที่เปื้อนน้ำซุปแม้ปวดแสบปวดร้อนมากเพียงใด นางก็ต้องยกสำรับนี้ไปให้ฮูหยินของนางให้จงได้
ซิงอีตักสำรับใหม่ขึ้นมาอีกชุดก่อนจะค่อยๆเดินมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนที่ฮูหยินกำลังรออยู่ เมื่อมาถึงก็พบว่าหนิงฮวากำลังนั่งรออยู่แล้ว ซิงอีซึงรีบจัดสำรับขึ้นโต๊ะอย่างกระฉับกระเฉง
"เจ้าไปนานมากจนข้าเกรงว่าจะไม่ได้กินเสียแล้ว"หนิงฮวาเอ่ยขึ้นอย่างติดตลก กับข้าวมื้อนี้ช่างหอมน่ากินยิ่งนัก นางยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นรอยแดงที่มือและแขนของซิงอี
"มือเจ้าไปโดนอะไรมา" หนิงฮวาถามด้วยความเป็นห่วง เหตุใดซิงอีของนางจึงดูไม่ร่าเริงอย่างเช่นเคย เกิดอันใดขึ้นกันแน่
"ซิงอีเพียงแค่ไม่ทันระวังเลยทำให้น้ำร้อนลวกเจ้าค่ะ" ซิงอีได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้น หนิงฮวาใช้สายตากวาดมองอย่างละเอียดจึงรู้ได้ว่าซิงอีกำลังโกหก
"เงยหน้าขึ้นมามองหน้าข้า แล้วพูดมาว่ามือของเจ้าไปโดนอะไรมา" หนิงฮวาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาบรรยากาศโดยรอบเย็นวาบขึ้นมาทันที เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถโกหกผู้เป็นนายได้ ซิงอีจึงยอมเล่าความจริงทั้งหมดให้หนิงฮวาฟัง
เมื่อหนิงฮวาฟังจบ นางก็ไม่ยอมพูดสิ่งใดแต่กลับลุกขึ้นและเดินไปยังเรือนของลี่ถังทันที ทำร้ายซิงอีก็เท่ากับตบหน้านาง ถ้าหากว่าอยู่กันดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่!!
ปั้ง!! เสียงประตูเปิดออกดังสนั่น หนิงฮวาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบเย็นชา ลี่ถังที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ก็ลุกขึ้นมาคารวะฮูหยินเอก
"ลมอะไรหอบพี่หญิงเข้ามาหรือเจ้าคะ" ลี่ถังพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สีหน้าไม่รู้สึกรู้สา
หนิงฮวาปัดสำรับบนโต๊ะหล่นแตกกระจาย นางไม่ยอมพูดจา เดินเข้ามาตบหน้าฮูหยินรองทันที หลิวลี่ถังไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักล้มลงนั่งทับน้ำแกงร้อนๆ มือนางก็ถูกเศษถ้วยเศษจานบาดจนเลือดไหล
ซือซือรีบวิ่งเข้ามาประคองผู้เป็นนาย แต่กลับถูกหนิงฮวากระชากผมไว้และใช้ฝ่ามือตบไปที่หน้าของบ่าวตัวต้นเหตุทันที ซือซือใช้มือทั้งสองข้างกุมแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ ตอนนี้แก้มทั้งสองของนางถูกตบจนรู้สึกเจ็บแสบ ริมฝีปากก็มีเลือดไหลออกมา
"ข้าคงมิต้องอธิบายการกระทำของข้าหรอกกระมัง หากยังมีคราวหน้าที่เจ้าทำร้ายคนของข้าอีกละก็ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน"
หนิงฮวาพูดด้วยความอาฆาต แม้นางจะไม่ชอบหน้าของฮูหยินรอง นางก็ไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายหรือกลั่นแกล้งอะไรทั้งนางและคนของนาง แต่ลี่ถังกลับกล้ามาเหยียบจมูกนางเช่นนี้ นางก็คงจะไม่ยอมอยู่เฉยให้คนของนางถูกรังแกง่ายๆเช่นกัน!
"ซิงอี กลับ!!" หนิงฮวาสบัดชายผ้าเดินออกไปทันที บ่าวไพร่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างพากันก้มหน้าหมอบลงกับพื้นทันที จนฮูหยินเอกเดินผ่านไปไกลแล้วจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมา พวกเขาต่างรอบคิดใจใจว่า ฮูหยินรองได้ไปกระตุกหนวดเสือเข้าเสียแล้ว จากนี้ไปจวนคงลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
ฉินอ๋องและแม่ทัพหยางซีซวนเดินออกมาจากพระตำหนักเฟยหลงขององค์ฮ่องเต้ ทั้งคู่เดินผ่านสวนดอกไม้นาๆ พันธุ์มาจนถึงศาลาริมสระบัว "เกี่ยวกับธนูปริศนาวันนั้น.." หยางซีซวนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล ฉินอ๋องพยักหน้าอย่างเข้าใจ "เปิ่นหวางได้ตามสืบเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ลูกศรที่ยิงมาในวันนั้นเป็นลักษณะที่มีใบเลื่อยอยู่ด้วย ที่เดียวที่ใช้ลูกศรแบบนี้เท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงแค่..""ซีอาน!!" หยางซีซวนแทรกขึ้นมาทันที หลังจากที่ฟังฉินอ๋องพูดแล้วลูกศรแบบนี้ก็มีที่ซีอานที่เดียว! "เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วท่านแม่ทัพ สงครามในครานั้นทั้งลั่วหยางและซีอานต่างก็สูญเสียกันไปมาก แต่ที่สำคัญเลยคือซีอานเสียองค์ชายสามไปกับสงคราม พวกมันคงจะแค้นใจไม่น้อย" สงครามจบใช่ว่าคนจะจบ อย่างไรเสียฝั่งนั้นก็สูญเสียองค์ชายลำดับที่สามไป สนามรบไม่ปรานีผู้ใด หากได้จับดาบรบแล้ว ไม่เข่นฆ่าเขาก็จะถูกเขาเข่นฆ่า พวกมันกำลังจะทำตัวเป็นหมาลอบกัด ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลก เมื่อหลังชนฝาแล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย หากชนะในสนามรบมิได้ ก็จงชนะนอกสนามรบแทน หลังจากที่พูดคุยกับฉินอ๋องจบ หยางซีซวนก็กลับมาที่จวน บรรยากาศในจวนเงียบสงัดราวกับเป็นจวนร้าง เหตุใดวัน
เป็นเวลากว่าเจ็ดวันที่หนิงฮวาถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนของตนเอง โดยที่หยางซีซวนไม่ได้แวะมาหานางเลยสักวัน บัดนี้นางเริ่มคิดแล้วว่าตนนั้นเป็นดั่งนกในกรงทองของหยางซีซวนเท่านั้นหากเขารักหลิวลี่ถังปานนั้น เหตุใดจึงต้องขอให้นางมาเป็นฮูหยินเอกด้วย เพียงเพราะคำสัญญาในวัยเยาว์หรือเพราะอำนาจทางการเมือง นางไม่อยากเป็นฮูหยินเอกหรือเมียหลวงของใคร นางอยากเป็นเมียเพียงคนเดียว การที่นางยอมแต่งงานกับหยางซีซวนเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ นางคงต้องคิดทบทวนดูใหม่เสียแล้วเมื่อลองมองย้อนกลับไปหนึ่งปีที่แต่งงานกันมา นางมีความสุขหรือไม่ หัวเราะกับร้องไห้สิ่งไหนบ่อยกว่ากันตัวนางไม่ต่างจากข้าวที่รอคอยฝน ยามที่ซีซวนมาหานางมักจะยิ้มและมีความสุข แต่ยามที่เขาไม่มา นางก็ได้แต่รอคอยโดยไม่มีสิทธิ์ปริปากบ่นถ้าหากว่านางหย่าแล้วกลับไปอยู่กับท่านพ่อ คงจะโดนชาวบ้านนินทาและคงทำให้ท่านพ่อต้องอับอาย นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร "ซิงอี ถ้าหากว่าวันหนึ่งข้าหย่ากับซีซวน ไม่เป็นฮูหยินไม่กลับไปเป็นคุณหนูไป๋ เจ้าจะยังอยู่กับข้าหรือไม่" หนิงฮวาที่กำลังนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเอ่ยขึ้น"ไม่ว่าคุณหนูจะทำสิ่งใด ซิงอีจะอยู่กับ
"เจ้าหมดรักข้าแล้วหรือฮวาเอ๋อร์ ไม่หย่าได้หรือไม่ข้าขอร้องเจ้า เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม" หยางซีซวนจับมือเล็กๆ อันบอบบางของนางขึ้นมาจูบเบาๆ ก่อนจะเอียงแก้มมาแนบกับมือของนางไว้ ตอนนี้เขารู้เพียงแค่ไม่อยากเสียนางไป ถ้าหากว่านางจะไปให้ได้ เขาก็จะกักขังนางไว้ ขอเพียงนางยังอยู่กับเขา ไม่ว่าจะวิธีใดเขาก็ยอมทำ"หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าจะขอคงมีแค่เรื่องเดียว แต่ข้าคงจะไม่ขอหรอก เพราะข้ารู้ว่าเจ้าคงทำไม่ได้ หากเจ้าทำได้เจ้าก็คงทำไปตั้งนานแล้ว""เจ้ากลับไปคิดทบทวนอีกทีได้หรือไม่ฮวาเอ๋อร์..""ข้าคิดมาตลอดซีซวน มันหมดหนทางอื่นแล้ว ปล่อยข้าไปแล้วเจ้าก็ให้นางขึ้นเป็นฮูหยินแทนข้าเสีย" บัดนี้นางอ่อนล้าเกินกว่าที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครแล้วชีวิตนางตั้งแต่เกิดมาอยากได้สิ่งใดก็ได้ดั่งใจตลอด มีแต่เรื่องความรักที่นางพยายามแค่ไหนก็ไม่เคยได้มันมา"ข้าไม่หย่า! อย่างไรข้าก็ไม่หย่า" "เจ้ามีเหตุผลใดจึงไม่ยอมหย่า""ข้ารักเจ้า ข้าอยากอยู่กับเจ้า อยากเห็นหน้าเจ้าในทุกๆวัน"เมื่อได้ยินคำตอบหนิงฮวาก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เหตุผลของเจ้ามันเหมือนกับว่า เจ้ามีข้าอยู่ในชีวิตมาโดยตลอด จึงไม่ชินหากวันหนึ่งต้องเสียข้าไ
หนิงฮวาใช้ชีวิตอยู่ที่จวนสกุลไปอย่างสบายใจ นางรู้สึกคิดถึงเมื่อก่อนตอนที่นางยังใช้ชีวิตเป็นคุณหนูไป๋ นิ้วมือเรียวลูบไล้เสื้อผ้าอาภรณ์สมัยเก่าด้วยความคิดถึง ชุดนี้ท่านพ่อเป็นคนซื้อให้นาง และที่สำคัญ ท่านพ่อเป็นคนเลือกเองกับมือ มิได้ใช้บ่าวไพร่ที่ไหนไปซื้อเลย"ชุดสีชมพูนี้งดงามยิ่งนัก พ่อเห็นแล้วนึกถึงเจ้า จึงซื้อมาฝาก เจ้าลองใส่ดูสิ มันต้องเหมาะกับเจ้ามากแน่ๆ" คำพูดเหล่านั้นของท่านพ่อ นางยังจดจำได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่ชุดนั้น เป็นชุดแรกที่ท่านพ่อเลือกให้ นางจึงอยากเก็บไว้เสียมากกว่าการนำมาใส่"ชุดนี้งดงามมากเจ้าค่ะฮูหยิน" ซิงอีสาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้น ชุดนี้เป็นชุดเดียวที่ฮูหยินของนางมิได้นำไปด้วย ในคราที่ออกเรือน"ยามนี้เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูเช่นเดิมเถิด" หนิงฮวาเอ่ยขึ้น นางเอียนกับคำว่าฮูหยินเต็มทน ยามนี้นางอยู่ที่จวนสกุลไป๋ นางคือคุณหนูไป๋ของที่นี่"เจ้าค่ะคุณหนู ชุดนี้งดงามนักเจ้าค่ะ คุณหนูท่านไม่อยากเอามันออกมาใส่หรือเจ้าคะ" ซิงอีเป็นสาวใช้ที่รู้ใจหนิงฮวาเสมอ เจ้านายว่าอย่างไร นางก็ว่าตามนั้นการที่เจ้านายของนางบอกให้กลับมาเรียกว่าคุณหนูเช่นนี้ อาจมีความหมายเป็นนัยว่า ความสัมพัน
ณ. จวนสกุลหยางหยางซีซวนกำลังตั้งหน้าตั้งตาจัดการเอกสารกองโตอยู่ที่โต๊ะ หลังจากจบจากสงครามก็มีทหารจำนวนมากที่บาดเจ็บจนไม่สามารถจับดาบได้อีก ไหนจะเรื่องครอบครัวของเหล่าทหารที่เสียชีวิตแม้สงครามจะจบไปเป็นปีแล้ว แต่ก็ยังมีงานมากมายที่เขาต้องทำและจัดการ ช่วงนี้เขาจึงไม่มีเวลาไปหาหนิงฮวาที่จวน "ปานนี้เจ้าจะทำอะไรอยู่นะ" หยางซีซวนได้แต่คิดอยู่ในใจ จวนนี้ที่ไร้นางมันช่างดูเงียบเหงา เขาต้องรีบทำเอกสารกองโตนี้ให้เสร็จ จะได้มีเวลาไปง้อเมีย!ในขณะที่หยางซีซวนกำลังทำงานอยู่นั้น จู่ๆก็มีชายชุดดำปรากฎตัวขึ้น"นายท่าน งานที่ท่านให้ข้าไปตามสืบได้เรื่องแล้วขอรับ" ชายชุดดำพูดขึ้น เขานั่งคุกเข่ารายงานผู้เป็นนายด้วยความเคารพ "ว่ามา" หยางซีซวนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า"ข้าน้อยได้ติดสินบนเฒ่าแก่เพื่อขอดูหนังสือซื้อขายและในวันนั้นที่ฮูหยินรองป่วยนั้น มีคนที่มีลักษณะคล้ายกับสาวใช้ของฮูหยินรองไปซื้อสมุนไพรที่ชื่อว่าตี้กู่ผีและว่านนารี และหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาตามสืบเรื่องนี้เช่นกัน คาดว่าน่าจะเป็นซิงอีสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ขอรับ หรือ สรุปแล้วก็คือสิ่งที่ฮูหยินให
"เจ้ากลับมาอยู่จวนสกุลไป๋แล้วหรือ? ได้อย่างไร? เจ้าแต่งงานแล้วนี่..""ข้าจะอยู่ในที่ๆ เป็นของข้าเจ้าค่ะ" หนิงฮวายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกไป โดยที่มีฉินอ๋องเดิมตามไปด้วยนางกลับมาอยู่จวนบิดาของตนเช่นนี้ คงมีอยู่ไม่กี่เหตุผล แต่ในเมื่อนางไม่อยากเล่า เขาก็จะไม่คาดคั้นฉินอ๋องเดินตามหนิงฮวาไปเรื่อยๆ ในระหว่างทางก็พบกับซิงอีเข้าพอดี หนิงฮวาจึงไม่จำเป็นต้องตามหาสาวใช้ให้วุ่นวายนางเดินเข้าร้านเครื่องประดับไปพร้อมกับฉินอ๋องและซิงอี หนิงฮวาได้แต่คิดในใจว่า แค่ซื้อเครื่องประดับไม่เห็นมีความจำเป็นให้ฉินอ๋องมาเดินคุ้มกันเลย และที่สำคัญนางก็ไม่ใช่คนสำคัญอันใดที่เขาจะต้องมาใส่ใจ"ข้าว่าท่านกลับไปเถิด ข้าเกรงใจ ท่านอย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ" หนิงฮวาหันกลับมาพูดขึ้น นางสบตากับฉินอ๋องอย่างจริงจัง นางรู้สึกเกรงใจจริงๆที่เขามาเดินตามเช่นนี้"หากเจ้ารู้สึกรำคาญข้าจะออกไปรอข้างนอก.." เขาเพียงหวังดีกับนางเท่านั้น จดหมายจากธนูปริศนาในวันนั้นมันต้องไม่ใช่เพียงคำขู่เป็นแน่ พวกมันแค่กำลังรอให้เราชะล่าใจ"ข้ามิได้รำคาญท่าน บอกตามตรงข้าเกรงใจ ท่านเป็นถึงฉินอ๋อง จะให้ท่านมาคุ้มกันข้าได้อย่างไร ข้าเป็นเพียงยุต
วังหลวงเมื่อรถม้าจอดสนิท หนิงฮวาก็ก้าวลงไปบนถนนที่ปูด้วยหินอ่อนอย่างสง่างาม ชุดสีชมพูยาวพริ้วไหวของนางทำจากผ้าไหมเนื้อดีที่สุดขณะที่หนิงฮวาก้าวเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน อาภรณ์สีชมพูของนางก็พริ้วไหวเบา ๆ ตามสายลม ทรงผมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งทำให้ใบหน้าของนางดูงดงามหนิงฮวายกริมฝีปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยในขณะที่นางมองไปรอบ ๆ ผู้คนในบริเวณนั้นอดไม่ได้ที่จะหยุดและจ้องมองความงามและความสุขุมไร้ที่ติของนางเห็นได้ชัดเลยว่านางนั้นดูสูงส่งและสง่างาม สมกับเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวของสกุลไป๋และเป็นฮูหยินใหญ่แห่งสกุลหยางพระราชวังเป็นสถานที่แห่งความยิ่งใหญ่และมั่งคั่ง ในช่วงเทศกาลชมดอกไม้ บรรยากาศจะมีชีวิตชีวาและรื่นเริงเป็นพิเศษบริเวณพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันและบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้บานรวมถึงเสียงเพลงและบทกวีบรรดาขุนนางชนชั้นสูงจึงมักจะมาที่พระราชวัง เพื่อชมความงามของดอกไม้ พวกเขาพากันแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีและอัญมณีชั้นเลิศ โดยรวมแล้วบรรยากาศมีความหรูหรา ความประณีต และถือเป็นการเฉลิมฉลองความงามให้แก่ฮองเฮาหลังจากที่องค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จออกมา ทัก
"เอ่อ..ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ท่านรู้จักฮูหยินของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ""นางเป็นสหายคนสนิทของข้าเชียวล่ะ"หยางซีซวนได้แต่กัดฟันกรอด หนิงฮวาไปสนิทสนมกับฉินอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งตอนนี้นางยังขอกลับไปอยู่ที่จวนสกุลไป๋ หรือนางจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ห่างจากเขา ไปสนิทสนมกับฉินอ๋อง..แม้ว่าหยางซีซวนจะรู้สึกหึงหวงหรือหงุดหงิดเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการ หรือท่าที ที่บ่งบอกว่าไม่พอใจใส่ฉินอ๋องได้ ณ สถานที่จัดการแสดงศิลปะ ขณะนี้กำลังเป็นช่วงของการแต่งกลอน เขียนบทกวี และการกล่าวถึงสัจธรรม"วันนี้ ข้าขอเชิญผู้กล้าที่มีความสนใจในเรื่องบทกวี และบทกลอน ออกมากล่าวในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้หรือตระหนักได้ จากการชมดอกไม้ในปีนี้" เสียงนักกวีชื่อดังท่านหนี่งเอ่ยขึ้น พร้อมกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาเพียงเวลาไม่นานนัก นักกวีผู้นี้ได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้คนอีกครั้งว่า"ข้าน้อยจำได้ดีว่าท่านผู้นี้คือฉินอ๋องผู้สง่างามแห่งลั่วหยาง หากไม่เป็นการเสียมารยาท ข้าน้อยขอเชิญท่านออกมากล่าวถึงสิ่งที่ท่านตระหนักได้ หลังจากร่วมงานชมดอกไม้ในปีนี้ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเ
ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นผืนผ้าใบที่มีเฉดสีอบอุ่นอย่างสีส้ม แดง และชมพู อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า เสียงนกร้องและจิ้งหรีดร้องแว่วมาแต่ไกลหนิงฮวานั่งจมอยู่ในห้วงความคิด จิตใจของนางล่องลอยไปยังที่แสนไกล ฉินอ๋องหายหน้าไปสามเดือนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเขาจากไปเลยโดยที่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา หนิงฮวาได้แต่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน หากนางไม่พูดเช่นนั้นออกไป ตอนนี้จะเป็นเช่นไร.. มันจะต่างจากตอนนี้หรือไม่อย่างน้อย นางก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต แม้จะเป็นเพียงสหายกันก็ยังดี ป่านนี้ฉินอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงนางบ้างหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเปลี่ยนใจจากนางไปแล้ว หัวใจของนางปวดร้าวเมื่อนึกถึงหน้าของฉินอ๋อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามีผลต่อความรู้สึกของนางเช่นนี้ "เขาคงไม่มาแล้วจริง ๆ" หนิงฮวาถอนหายใจและหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม นางรู้ว่านางต้องละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อฉินอ๋องและเดินหน้าต่อไป พูดง่ายแต่ทำยากยิ่งนางจะสามารถตัดใจจากคนที่ดีกับนางมาตลอดได้อย่างไร เขาและนางมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน
ณ จวนสกุลหยางสุริยันปรากฎจันทราลับ คิมหันต์เหมันต์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน สองปีแล้วที่เจ้าจากไป หยางซีซวนนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นเหมยที่เขาและหนิงฮวาเคยปลูกร่วมกันเมื่อวัยเยาว์ สายตาเศร้าหมองทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สีหน้านิ่งเฉยเสมือนคนที่ไร้ซึ้งความรู้สึก ราวกับว่ามันเป็นคำสาปจากนาง ซีซวนใช้ชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกผิด และความคะนึงหาราวกับร่างไร้วิญญาณหลิวลี่ถังที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ ปีที่สองหลังจากหนิงฮวาจากไป หลิวลี่ถังก็ยังคงเป็นเพียงฮูหยินรองที่ทำหน้าที่ของฮูหยินเอก แม้ว่าหนิงฮวาจะจากไปแล้วก็ตาม ที่ตรงนั้นยังคงเป็นของนางเสมอมาหลิวลี่ถังคอยดูแลหยางซีซวนที่ตอนนี้กลายเป็นคนวิกลจริต เขาจำต้องพ้นสภาพของแม่ทัพเพราะไม่สามารถควบคุมสติหรืออารมณ์ได้ภาระหน้าที่ต่างๆภายในจวนจึงตกมาเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่หยางซีซวนเริ่มเสียสติ บรรดาบ่าวไพร่ก็ต่างพากันหนีหายไป บ้างก็ขโมยทรัพย์สินของมีค่าไปขาย ไม่ว่าจะเป็นแจกันหรือถ้วยชาม ล้วนถูกขโมยไปทั้งสิ้นจวนสกุลหยางที่ไร้ซึ่งหยางซีซวนคอยปกครองบรรยากาศนั้นดูอึมครึมและเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงของผู้คน หลิวลี่ถังอดทนดูแลเขามาเป
สองปีต่อมาดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ ส่องแสงอันอบอุ่นเหนือโลกเบื้องล่าง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยเฉดสีชมพูและส้ม อากาศสดชื่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่และดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่หนิงฮวาตื่นมารดน้ำแปลงผักตั้งแต่เช้า นางปลูกผักมากมายหลายชนิด ส่วนหนึ่งก็เก็บไว้กินเอง และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปขายในตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน โดยส่วนใหญ่แล้วซิงอีเป็นคนนำผักและสมุนไพรที่เก็บได้ไปขาย อันที่จริงไม่ใช่ว่านางไม่มีสมบัติติดตัวเลย บิดาของนางมาหาเดือนละครั้ง และทุกครั้งที่มาก็มักจะนำเงินทองและสมบัติมากมายมาให้ รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับซึ่งภายหลังนางก็ปฏิเสธไปบ้างเพราะในบ้านไม่ได้มีพื้นที่มากพอสำหรับสิ่งของฟุ่มเฟือยเช่นเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าส่วนข้าวสารอาหารแห้งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญหนิงฮวาก็จะรับไว้ด้วยความยินดี "เจ้าตื่นเช้าเสียจริง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานเดี๋ยวข้าจะทำเอง" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาแย่งบัวรดน้ำออกไปจากมือหนิงฮวา "ข้าทำเองได้" หนิงฮวาพยายามที่จะแย่งบัวรดน้ำกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล ฉินอ๋องส
สามเดือนก่อนสายลมเย็นพัดพาม่านหน้าต่างปลิวไสว ไป๋เฉิงที่นั่งเฝ้าร่างบุตรสาวที่ไม่ไหวติงมาหลายวัน รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างโดยพลัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้หากเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ มีหวังบุตรสาวของตนคงไม่หายป่วยเป็นแน่วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่หนิงฮวายังไม่ยอมฟื้นขึ้นมา นางนอนนิ่งเช่นนี้มาหลายวันแล้ว นับวันร่างกายนางยิ่งซูบผอม หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่ฟื้นกลับขึ้นมาดังท่านหมอได้กล่าวไว้เป็นแน่"หากเจ้ายอมลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด พ่อจะทำให้เจ้าทุกอย่าง.."ไป๋เฉิงได้แต่นั่งภาวนาขอให้หนิงฮวาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยไม่นานนักร่างกายของหญิงสาวที่นอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงมาหลายวันกลับมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย หนิงฮวาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทราอันยาวนาน "ฮวาเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว!!" ไป๋เฉิงดีใจเสียจนนั่งไม่ติด เขาได้แต่ขอบคุณฟ้าดินที่เมตตาบุตรสาวของตน ขอบคุณจริงๆที่นางมีชีวิตอยู่"น้ำ.." หนิงฮวาพยายามเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ เสียงของนางแหบแห้งเสียจนฟังไม่รู้ความ"น้ำ..น้ำหรอ เจ้าหิวน้ำใช่หรือไม่" ไป๋เฉิงตาลีตาลานหาเหยือกน้ำมารินใส่แก้วให้หนิงฮวาด้วยความดีใจ ในที่สุดการสวดภาวนาของเขาก็เป็
"ร้องไห้หรือ เจ้าอย่ามาบีบน้ำตาต่อหน้าข้า มันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นับแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้คิดจะมาเคารพศพลูกสาวข้า อย่าคิดแม้แต่จะมาเยี่ยมหลุมศพของนาง อย่าแม้แต่จะมาร้องไห้ให้นาง เจ้ามันไม่คู่ควร!!"เมื่อพูดจบไป๋เฉิงก็เดินกลับเข้าไปในจวนโดยไม่หันหลังกลับมามองหยางซีซวนอีกเลย.."ข้าขอร้องท่าน ให้ข้าได้อยู่ในงานศพของนางเถิดข้าของร้องท่านจริงๆ" หยางซีซวนก้มหน้าลงหมอบกับพื้น แต่เสนาบดีไป๋ก็หาได้สนใจไม่ บัดนี้เขารู้ซึ้งแล้วจริงๆ ว่าชีวิตเขาขาดนางไม่ได้ ราวกับว่าหัวใจของเขาแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ชีวิตจากนี้ที่ไม่มีหนิงฮวาเขาจะอยู่ได้อย่างไร"ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้ หนิงฮวาข้าขอโทษข้าผิดไปแล้ว อย่าทิ้งข้าไปนะ ข้าขอร้องอย่าทิ้งข้าไป ข้ายอมเจ้าแล้ว ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง เพราะงั้นลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะให้ข้าหย่ากับนางข้าก็ยอม หนิงฮวาข้าผิดไปแล้ว"หยางซีซวนร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดนี้มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวหยางซีซวนกลับมายังจวนสกุลหยางของตนอย่างล่องลอย เขาสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอนหนิงฮวาทันที เขาภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน เขาเปิดประตูห้องเข้า
ณ จวนสกุลไป๋"เปิดประตูจวนเดี๋ยวนี้!!" เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าประตู เสนาบดีไป๋เฉิงจึงรีบรุดไปดูทันทีว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อเขาวิ่งมาถึงหน้าจวนก็เห็นว่าฉินอ๋องอุ้มลูกสาวตนเข้ามาด้วยท่าทีที่รีบร้อน "นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" เสนาบดีไป๋เอ่ยถามฉินอ๋องด้วยความร้อนใจ"ตามหมอให้ข้าก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน ห้องนางอยู่ที่ใด!!" ฉินอ๋องแผดเสียงดังขึ้น ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาอธิบายสิ่งใดทั้งนั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการห้ามเลือดให้นาง"ซิงอีเจ้ารีบไปตามหมอมารักษาลูกข้า!!" เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งนำฉินอ๋องไปยังห้องของหนิงฮวา ฉินอ๋องเห็นเช่นนั้นแล้วจึงได้วิ่งตามบิดาของนางไป"เจ้าค่ะ" ซิงอีได้ยินผู้เป็นนายสั่งเยี่ยงนั้น นางจึงรีบวิ่งออกไปตามหมอมาทันที "ข้าขอผ้าสะอาดหน่อย เร็วเข้า!" ฉินอ๋องพูดขึ้นไป๋เฉิงเห็นโลหิตที่ไหลอาบอาภรณ์ของลูกสาว เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ภาพชายชราที่วิ่งหาผ้ามาเพื่อห้ามเลือดให้ลูกสาวด้วยความรนรานและสั่นเทาช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วหดหู่ยิ่งนัก เสนาบดีไป๋เฉิงยื่นผ้าสะอาดให้กับฉินอ๋องอย่างรวดเร็วฉินอ๋องดึงเศษอาภรณ์ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานออก ก่อนจะนำผ้าพื้นใหม่มา
"ท่านอ๋องช่วย..ช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าค่ะ!!""เจ้าตั้งสติก่อน เกิดอันใดขึ้น คุณหนูของเจ้าเป็นอะไร แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด" ฉินอ๋องพยายามถามซิงอีอย่างใจเย็น"คุณหนูถูกลักพาตัวเจ้าค่ะ พวกมันบอกจะรอที่ถ้ำทางทิศตะวันตก" ซิงอีพูดด้วยความร้อนใจ ไม่รู้ป่านนี้คุณหนูของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกมันทำร้ายสตรีตัวเล็กๆ อย่างคุณหนูได้ลงคอ จิตใจมันโหดร้ายยิ่งนัก"ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบบอกใครเพราะมันอาจเกี่ยวกันชื่อเสียงของคุณหนูของเจ้า ข้าจะไปช่วยเอง" เมื่อพูดจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาและหายไปกับความมืดทันทีหยางซีซวนตามมาช่วยหลิวลี่ถังได้ทันท่วงที ดีที่พวกมันยังไปได้ไม่ไกล เขาจึงสามารถตามมาทัน และจัดการพวกมันที่มากันสามคนต่อหนึ่งอย่างง่ายดายที่แท้ก็เป็นพวกซีอานจริง ๆ ที่จ้องจะเล่นงานเขา แสดงว่าพวกมันคงวางแผนมานานแล้ว ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก เมื่อตั้งสติได้เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ซิงอีสาวใช้ของหนิงฮวาก็บอกว่าคุณหนูของนางก็ถูกลักพาตัวเช่นกัน นั่นก็แสดงว่ามันคือเรื่องจริงหยางซีซวนจึงรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำทิศตะวันตกตามที่ซิงอีบอก ในใจได้แต่ภาวนาว่านางจะไม่เป็นอะไร ต
ทางด้านซีอานที่คอยตามสืบมาเป็นปีก็ได้เวลาลงมือเสียที พวกเขารอที่จะแก้แค้นหยางซีซวนมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม "เจ้าจะต้องได้พบกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน" หนึ่งในชายชุดดำกล่าวขึ้นอย่างเคืองแค้นเหล่าชายชุดดำพากันกระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อเฝ้าคอยการเคลื่อนไหวของหยางซีซวนตามคำสั่งที่ได้รับ หากหยางซีซวนออกจากจวนยามใดให้เริ่มแผนการได้ทันทีเพราะหลังจากที่หยางซีซวนได้รับจดหมายขู่ในวันนั้น เขาก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในแผนการ เมื่อเหยื่อเห็นว่าเป็นเพียงจดหมายขู่ ก็จะตายใจและประมาท เมื่อนั้นแหละหยางซีซวน เจ้าจะต้องเสียใจ!ยามโหย่วของวันต่อมา หนิงฮวาใส่ชุดจีนโบราณสีขาวปักด้วยสีทองลายดอกเหมย เครื่องประดับบนหัวเป็นเครื่องเงินประดับด้วยไข่มุก มีสายห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม กำลังยืนมองดอกเหมยอยู่หน้าเรือน ไม่นานนักหยางซีซวนก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลิวลี่ถัง วันนี้หลิวลี่ถังก็แต่งกายงดงามเช่นกันเป็นฮันฝูสีชมพูอ่อนปักลายดอกบัวดูอ่อนช้อยงดงามหยางซีซวนยิ้มอย่างพอใจฮูหยินทั้งสองของเขางดงามยิ่งนัก เขานับว่าเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุดในใต้หล้าเลยก็ว่าได้ ทั้งสามคนเดินมายังรถม้า
"เอ่อ..ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ท่านรู้จักฮูหยินของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ""นางเป็นสหายคนสนิทของข้าเชียวล่ะ"หยางซีซวนได้แต่กัดฟันกรอด หนิงฮวาไปสนิทสนมกับฉินอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งตอนนี้นางยังขอกลับไปอยู่ที่จวนสกุลไป๋ หรือนางจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ห่างจากเขา ไปสนิทสนมกับฉินอ๋อง..แม้ว่าหยางซีซวนจะรู้สึกหึงหวงหรือหงุดหงิดเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการ หรือท่าที ที่บ่งบอกว่าไม่พอใจใส่ฉินอ๋องได้ ณ สถานที่จัดการแสดงศิลปะ ขณะนี้กำลังเป็นช่วงของการแต่งกลอน เขียนบทกวี และการกล่าวถึงสัจธรรม"วันนี้ ข้าขอเชิญผู้กล้าที่มีความสนใจในเรื่องบทกวี และบทกลอน ออกมากล่าวในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้หรือตระหนักได้ จากการชมดอกไม้ในปีนี้" เสียงนักกวีชื่อดังท่านหนี่งเอ่ยขึ้น พร้อมกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาเพียงเวลาไม่นานนัก นักกวีผู้นี้ได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้คนอีกครั้งว่า"ข้าน้อยจำได้ดีว่าท่านผู้นี้คือฉินอ๋องผู้สง่างามแห่งลั่วหยาง หากไม่เป็นการเสียมารยาท ข้าน้อยขอเชิญท่านออกมากล่าวถึงสิ่งที่ท่านตระหนักได้ หลังจากร่วมงานชมดอกไม้ในปีนี้ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเ