ณ จวนสกุลหยางสุริยันปรากฎจันทราลับ คิมหันต์เหมันต์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน สองปีแล้วที่เจ้าจากไป หยางซีซวนนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นเหมยที่เขาและหนิงฮวาเคยปลูกร่วมกันเมื่อวัยเยาว์ สายตาเศร้าหมองทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สีหน้านิ่งเฉยเสมือนคนที่ไร้ซึ้งความรู้สึก ราวกับว่ามันเป็นคำสาปจากนาง ซีซวนใช้ชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกผิด และความคะนึงหาราวกับร่างไร้วิญญาณหลิวลี่ถังที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ ปีที่สองหลังจากหนิงฮวาจากไป หลิวลี่ถังก็ยังคงเป็นเพียงฮูหยินรองที่ทำหน้าที่ของฮูหยินเอก แม้ว่าหนิงฮวาจะจากไปแล้วก็ตาม ที่ตรงนั้นยังคงเป็นของนางเสมอมาหลิวลี่ถังคอยดูแลหยางซีซวนที่ตอนนี้กลายเป็นคนวิกลจริต เขาจำต้องพ้นสภาพของแม่ทัพเพราะไม่สามารถควบคุมสติหรืออารมณ์ได้ภาระหน้าที่ต่างๆภายในจวนจึงตกมาเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่หยางซีซวนเริ่มเสียสติ บรรดาบ่าวไพร่ก็ต่างพากันหนีหายไป บ้างก็ขโมยทรัพย์สินของมีค่าไปขาย ไม่ว่าจะเป็นแจกันหรือถ้วยชาม ล้วนถูกขโมยไปทั้งสิ้นจวนสกุลหยางที่ไร้ซึ่งหยางซีซวนคอยปกครองบรรยากาศนั้นดูอึมครึมและเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงของผู้คน หลิวลี่ถังอดทนดูแลเขามาเป
ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นผืนผ้าใบที่มีเฉดสีอบอุ่นอย่างสีส้ม แดง และชมพู อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า เสียงนกร้องและจิ้งหรีดร้องแว่วมาแต่ไกลหนิงฮวานั่งจมอยู่ในห้วงความคิด จิตใจของนางล่องลอยไปยังที่แสนไกล ฉินอ๋องหายหน้าไปสามเดือนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเขาจากไปเลยโดยที่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา หนิงฮวาได้แต่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน หากนางไม่พูดเช่นนั้นออกไป ตอนนี้จะเป็นเช่นไร.. มันจะต่างจากตอนนี้หรือไม่อย่างน้อย นางก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต แม้จะเป็นเพียงสหายกันก็ยังดี ป่านนี้ฉินอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงนางบ้างหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเปลี่ยนใจจากนางไปแล้ว หัวใจของนางปวดร้าวเมื่อนึกถึงหน้าของฉินอ๋อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามีผลต่อความรู้สึกของนางเช่นนี้ "เขาคงไม่มาแล้วจริง ๆ" หนิงฮวาถอนหายใจและหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม นางรู้ว่านางต้องละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อฉินอ๋องและเดินหน้าต่อไป พูดง่ายแต่ทำยากยิ่งนางจะสามารถตัดใจจากคนที่ดีกับนางมาตลอดได้อย่างไร เขาและนางมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน
ดวงตะวันสาดส่องทุกหย่อมหญ้า สนามรบร้อนระอุ สายลมจากบ้านเกิดเมืองนอนพัดกระหน่ำหวนให้คิดถึงคนข้างหลังที่ยังรอ ความอดอยากและความกระหายในชัยชนะจุดไฟแห่งสงครามให้โหมกระหน่ำ เสียงคมดาบประทะกันดังกึกก้อง เสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเต็มไปทั่วพื้นที่ หยาดเลือดไหลรินสู่พื้นดิน ไฟสงครามแผดเผาคร่าชีวิตเหล่าทหารกล้าท้ายที่สุดร่างกายและกระดูกก็กลายเป็นเถ้าถ่านหล่อเลี้ยงผืนดินสงครามอันยืดเยื้อและยาวนานกินเวลาเกือบปีระหว่างลั่วหยางและซีอาน ต่างพาให้เหล่านักรบเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางใจ แต่ในที่สุดซีอานก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังทหารแห่งลั่วหยางได้ จึงยกธงขาวยอมแพ้ล่าถอยกลับไปแต่โดยดีเสียงโห่ร้องฉลองชัยชนะดังกึกก้อง สายลมกรรโชกแรงพัดพาเมฆทมิฬมาปกคลุม หยาดฝนโปรยปรายไปทั่วบริเวณ ราวกับมาเป็นสักขีพยานชัยชนะให้แก่ลั่วหยาง แม่ทัพหยางซีซวนกลับเข้ามาพักผ่อนที่กระโจมของตน เมื่อเขาเดินเข้ามาถึง ก็ถูกต้อนรับโดยหลิวลี่ถังผู้เป็นดั่งหมอยาประจำตัว ทั้งสองพบกันโดยความบังเอิญ หลิวลี่ถังเป็นชาวบ้านแถบชายแดนระหว่างลั่วหยางและซีอาน หยางซีซวนถูกรอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและได้รับความช่วยเหลือจากหลิวลี่ถัง นางเ
เมื่อหยางซีซวนเดินเข้ามาก็พบว่าไป๋หนิงฮวาดูซูบผอมลงไปมาก นางเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้นหรือ หนิงฮวามองหน้าของบุรุษที่นางเฝ้ารอมานับปีอย่างดีใจ แม้สีผิวจะคล้ำลงไปบ้างจากการทำสงครามต้องตากแดดตากลมแต่เขาก็ยังคงรูปงามสำหรับนางเสมอไป๋หนิงฮวาลุกขึ้นมาจับมือเขาดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บหนักที่ตรงไหน เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีนางจึงลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหนิงฮวาดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว นางคิดถึงและเป็นห่วงเขาเสียจนกินมิได้นอนมิหลับ ได้แต่คอยสวดมนต์ภาวนาให้เขาปลอดภัยกลับมา"ซีซวนเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหตุใดหลายเดือนมานี้จึงไม่มีจดหมายมาจากเจ้าเลย รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่" ไป๋หนิงฮวาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหยางซีซวนนึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้ส่งจดหมายมาให้นางจริงๆอย่างที่นางพูด ก็ได้แต่โอบกอดนางไว้ นางซูบผอมลงไปมากจนกระดูกไหปลาร้าปรากฎออกมาอย่างเห็นได้ชัด"สงความเคร่งเครียดและยาวนานกว่าที่ข้าคิดนัก ทุกวันข้าเหนื่อยจนไม่มีเวลาได้เขียนจดหมายหาเจ้าเลย ขอเจ้าอย่าขุ่นเคือง ข้ากลับมาหาเจ้าแล้ว" หนิงฮวากอดหยางซีซวนไว้แน่นราวกับว่ากลัวเขาจะหายไปอีก จากนี้คงไม่มีเรื่องใดมาทำให้นางและซีซวนต้องพร
หลังจากงานแต่งของฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพหยางจบลง ก็เป็นการรับฮูหยินรองเข้าจวนมาโดยที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพราะนางเป็นเพียงสามัญชนธรรมดามิได้มีครอบครัวที่เป็นตระกูลใหญ่หนุนหลังดั่งเช่นฮูหยินเอก หนิงฮวานั่งอยู่ริมหน้าต่างและเหม่อมองไปยังขอบฟ้าในยามพลบค่ำ พลันนึกถึงใบหน้าของบุรุษผู้เป็นที่รักซึ่งป่านนี้เขาคงกำลังมีความสุขอยู่กับฮูหยินรอง นางทำได้เพียงแค่พร่ำถอนหายใจ"การเป็นฮูหยินของเจ้า ข้าต้องใจกว้างดั่งมหาสมุทรเชียวหรือ"เมื่อยามราตรีมาถึงหนิงฮวาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมิยอมขยับไปไหน สายลมพัดผ่านพาให้แสงเทียนสั่นไหว หนิงฮวาแหงนหน้ามองดวงจันทร์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับเข้ามาภายในห้องนอน ยามรุ่งขึ้นหยางซีซวนก็อยู่ทานอาหารเช้าที่เรือนของลี่ถังก่อนจะกลับไปนั่งทำงานที่ห้องทำงานของเขาเอง ลี่ถังผู้มีตำแหน่งเป็นฮูหยินรองก็มาคารวะน้ำชาฮูหยินเอกตามธรรมเนียม โดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก เพราะมิมีเรื่องจำเป็นที่ต้องคุยเมื่อยามอู่ หนิงฮวายกน้ำชาและขนมเข้ามาที่ห้องทำงานของซีซวน แต่เมื่อเข้ามากลับพบว่า เขานั้นมีผู้ยกน้ำชาและขนมมาให้เขาก่อนนางเสียแล้วลี่ถั่งนั่งฝนหมึกอยู่ข้างๆซ
อดีตคุณหนูไป๋หนิงฮวาเคยเป็นคนที่ร่าเริงสดใส แม้บางครั้งจะดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็นับว่าน่ารัก มิรู้ว่ารอยยิ้มนั้นของคุณหนูหายไปตั้งแต่ตอนไหนกัน..เร่เข้ามา~ เร่เข้ามา~ ปิ่นมงคล~ ปิ่นมงคลนอกจากจะสวยงามแล้วยังช่วยเสริมดวงชะตาโชคลาภและที่สำคัญเสริมดวงเรื่องความรักด้วยนะขอรับ~เมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศของร้านค้าแผงลอยร้านหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเขาจะขายเครื่องประดับมงคล บรรดาสาวน้อยใหญ่ก็ต่างพากันกรูเข้าไปแย่งกันซื้อ ของแบบนี้ไม่ว่าจะยุคไหนก็ยังคงมีคนเชื่อและยอมซื้อมัน หนึ่งในนั้นก็มีหนิงฮวาอยู่ด้วย"เจ้าว่าปิ่นมงคลนี่เหมาะกับข้าหรือไม่"หนิงฮวาหยิบปิ่นขึ้นมาหนึ่งอัน เพื่อที่จะให้ซิงอีช่วยตัดสินใจ ขณะที่นางกำลังจะหันกลับมาถามหาความเห็นจากซิงอี นางก็ถูกฝูงชนเบียดจนเสียหลักเซล้มชั่วพริบตาที่นางจะล้มลงนั้นกลับมีคนมาช่วยประคองนางไว้ เมื่อหนิงฮวาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบกับฉินอ๋องเมื่อตั้งสติได้หนิงฮวาก็รีบผละตัวออกจากฉินอ๋องทันที ต้องยอมรับจริงๆ ว่านางเคยเห็นเขาเพียงไกลๆเท่านั้นแต่นางกลับจำเขาได้ทันทีนางเคยเห็นฉิงอ๋องครั้งแรกเมื่อตอนที่ลั่วหยางได้ชัยจากสงครามเมื่อปีก่อน ผ่านมาจนป่านนี้แล้วนางก็ยังจำ
หยางซีซวนตื่นขึ้นมาที่เรือนของลี่ถัง แต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปร่วมทานมื้อเช้ากับหนิงฮวาผู้เป็นฮูหยินเอก แต่เมื่อเขาเข้ามากลับไม่พบกระทั่งเงาของฮูหยินเอก นางหายไปไหนกัน"ฮูหยินของเจ้าอยู่ที่ใด" น้ำเสียงดุดันถามหาฮูหยินเอกด้วยความร้อนใจ "ข้าถามว่านางหายไปที่ใด!!!" เมื่อสาวใช้ที่คอยทำความสะอาดเรือนของฮูหยินมีท่าทีอึกอัก เขาก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที"เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ" "ออกไปตั้งแต่เมื่อวาน!!เป็นไปได้อย่างไรเหตุใดจึงไม่มีใครมารายงานข้า" หยางซีซวนรู้สึกวาบโหวงในใจเป็นอย่างมาก เหตุใดนางจึงไปไหนไม่บอกกล่าวเขาสักคำ ยิ่งช่วงนี้เขาได้จดหมายประหลาดมา ยิ่งทำให้รู้สึกกังวล"บ่าวเห็นว่าท่านอยู่ในเรือนของฮูหยินรองจึงมิกล้าเข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ""หากเป็นเรื่องของฮูหยินเอก ข้าจะอยู่ที่ใดก็จงรีบมาบอกข้า ทหาร!!นี่คือคำสั่ง จงออกไปตามหาฮูหยินกลับจวนมาบัดเดี๋ยวนี้"เสียงคำสั่งของแม่ทัพดังสนั่น ระดมกำลังตามหาฮูหยินที่หายไป เขาไม่รอช้ารีบกุมบังเหียนออกตามหาฮูหยินทันที ขณะที่ม้ากำลังวิ่งด้วยความเร็ว เขาได้แต่ภาวนาอย่าให้เรื่องเกิดไม่ดีกับฮูหยินของเขาเลยถ้าหากว่
สามวันมานี้หนิงฮวาได้ยินบ่าวไพร่พูดเรื่องของท่านแม่ทัพกับฮูหยินรองอยู่ทุกวัน บางคนก็ว่าคงจะมีข่าวดีเร็วๆนี้ อีกไม่นานคงจะมีคุณหนูคุณชายวิ่งกันเต็มจวนบางครั้งนางก็ต้องได้ยินว่าบ่าวไพร่ต่างพากันอิจฉาฮูหยินรอง ท่านทั้งสองพบกันราวพรหมลิขิต ได้ไปพบรักขณะที่ไปรบ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานนับปีแม้ฮูหยินรองจะมิใช่ลูกของผู้มีอำนาจ แต่ท่านแม่ทัพกลับแต่งฮูหยินรองเข้าจวนมาไล่เลี่ยกับฮูหยินเอก แถมดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะรักฮูหยินรองมากกว่าฮูหยินเอกที่ถูกผู้ใหญ่บังคับหมั้นกันตั้งแต่เยาว์วัย ทหารยามที่เฝ้าอยู่บริเวณเรือนของฮูหยินเอกก็พูดกันว่า เมื่อยามที่ท่านแม่ทัพมานอนค้างที่เรือนของฮูหยินเอก มันไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ร้อยวันพันปีเท่านั้นจึงจะได้ยินหนิงฮวาได้ยินคำพูดเหล่านี้มาโดยตลอด เพียงแต่นางไม่อยากถือสาเอาความ นางคงไม่สามารถห้ามปากและความคิดของผู้ใดได้ สิ่งที่เขาพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น หลายสิ่งที่พวกเขาพูดมาล้วนเป็นความจริงนางมิใช่คนที่อ่อนหวานและขี้เอาใจแบบฮูหยินรอง นางเติบโตมาอย่างบุตรสาวของขุนนาง การแสดงออกแต่ละอย่างควรสง่างาม มิควรทำสิ่งใดประเจิดประเจ้อจนเป็นที่นินทา
ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นผืนผ้าใบที่มีเฉดสีอบอุ่นอย่างสีส้ม แดง และชมพู อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า เสียงนกร้องและจิ้งหรีดร้องแว่วมาแต่ไกลหนิงฮวานั่งจมอยู่ในห้วงความคิด จิตใจของนางล่องลอยไปยังที่แสนไกล ฉินอ๋องหายหน้าไปสามเดือนแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเขาจากไปเลยโดยที่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา หนิงฮวาได้แต่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน หากนางไม่พูดเช่นนั้นออกไป ตอนนี้จะเป็นเช่นไร.. มันจะต่างจากตอนนี้หรือไม่อย่างน้อย นางก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต แม้จะเป็นเพียงสหายกันก็ยังดี ป่านนี้ฉินอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงนางบ้างหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเปลี่ยนใจจากนางไปแล้ว หัวใจของนางปวดร้าวเมื่อนึกถึงหน้าของฉินอ๋อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขามีผลต่อความรู้สึกของนางเช่นนี้ "เขาคงไม่มาแล้วจริง ๆ" หนิงฮวาถอนหายใจและหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม นางรู้ว่านางต้องละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อฉินอ๋องและเดินหน้าต่อไป พูดง่ายแต่ทำยากยิ่งนางจะสามารถตัดใจจากคนที่ดีกับนางมาตลอดได้อย่างไร เขาและนางมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน
ณ จวนสกุลหยางสุริยันปรากฎจันทราลับ คิมหันต์เหมันต์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน สองปีแล้วที่เจ้าจากไป หยางซีซวนนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นเหมยที่เขาและหนิงฮวาเคยปลูกร่วมกันเมื่อวัยเยาว์ สายตาเศร้าหมองทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สีหน้านิ่งเฉยเสมือนคนที่ไร้ซึ้งความรู้สึก ราวกับว่ามันเป็นคำสาปจากนาง ซีซวนใช้ชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกผิด และความคะนึงหาราวกับร่างไร้วิญญาณหลิวลี่ถังที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ ปีที่สองหลังจากหนิงฮวาจากไป หลิวลี่ถังก็ยังคงเป็นเพียงฮูหยินรองที่ทำหน้าที่ของฮูหยินเอก แม้ว่าหนิงฮวาจะจากไปแล้วก็ตาม ที่ตรงนั้นยังคงเป็นของนางเสมอมาหลิวลี่ถังคอยดูแลหยางซีซวนที่ตอนนี้กลายเป็นคนวิกลจริต เขาจำต้องพ้นสภาพของแม่ทัพเพราะไม่สามารถควบคุมสติหรืออารมณ์ได้ภาระหน้าที่ต่างๆภายในจวนจึงตกมาเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่หยางซีซวนเริ่มเสียสติ บรรดาบ่าวไพร่ก็ต่างพากันหนีหายไป บ้างก็ขโมยทรัพย์สินของมีค่าไปขาย ไม่ว่าจะเป็นแจกันหรือถ้วยชาม ล้วนถูกขโมยไปทั้งสิ้นจวนสกุลหยางที่ไร้ซึ่งหยางซีซวนคอยปกครองบรรยากาศนั้นดูอึมครึมและเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงของผู้คน หลิวลี่ถังอดทนดูแลเขามาเป
สองปีต่อมาดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ ส่องแสงอันอบอุ่นเหนือโลกเบื้องล่าง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยเฉดสีชมพูและส้ม อากาศสดชื่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่และดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่หนิงฮวาตื่นมารดน้ำแปลงผักตั้งแต่เช้า นางปลูกผักมากมายหลายชนิด ส่วนหนึ่งก็เก็บไว้กินเอง และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปขายในตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน โดยส่วนใหญ่แล้วซิงอีเป็นคนนำผักและสมุนไพรที่เก็บได้ไปขาย อันที่จริงไม่ใช่ว่านางไม่มีสมบัติติดตัวเลย บิดาของนางมาหาเดือนละครั้ง และทุกครั้งที่มาก็มักจะนำเงินทองและสมบัติมากมายมาให้ รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับซึ่งภายหลังนางก็ปฏิเสธไปบ้างเพราะในบ้านไม่ได้มีพื้นที่มากพอสำหรับสิ่งของฟุ่มเฟือยเช่นเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าส่วนข้าวสารอาหารแห้งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญหนิงฮวาก็จะรับไว้ด้วยความยินดี "เจ้าตื่นเช้าเสียจริง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานเดี๋ยวข้าจะทำเอง" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาแย่งบัวรดน้ำออกไปจากมือหนิงฮวา "ข้าทำเองได้" หนิงฮวาพยายามที่จะแย่งบัวรดน้ำกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล ฉินอ๋องส
สามเดือนก่อนสายลมเย็นพัดพาม่านหน้าต่างปลิวไสว ไป๋เฉิงที่นั่งเฝ้าร่างบุตรสาวที่ไม่ไหวติงมาหลายวัน รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างโดยพลัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้หากเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ มีหวังบุตรสาวของตนคงไม่หายป่วยเป็นแน่วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่หนิงฮวายังไม่ยอมฟื้นขึ้นมา นางนอนนิ่งเช่นนี้มาหลายวันแล้ว นับวันร่างกายนางยิ่งซูบผอม หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่ฟื้นกลับขึ้นมาดังท่านหมอได้กล่าวไว้เป็นแน่"หากเจ้ายอมลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด พ่อจะทำให้เจ้าทุกอย่าง.."ไป๋เฉิงได้แต่นั่งภาวนาขอให้หนิงฮวาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยไม่นานนักร่างกายของหญิงสาวที่นอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงมาหลายวันกลับมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย หนิงฮวาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทราอันยาวนาน "ฮวาเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว!!" ไป๋เฉิงดีใจเสียจนนั่งไม่ติด เขาได้แต่ขอบคุณฟ้าดินที่เมตตาบุตรสาวของตน ขอบคุณจริงๆที่นางมีชีวิตอยู่"น้ำ.." หนิงฮวาพยายามเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ เสียงของนางแหบแห้งเสียจนฟังไม่รู้ความ"น้ำ..น้ำหรอ เจ้าหิวน้ำใช่หรือไม่" ไป๋เฉิงตาลีตาลานหาเหยือกน้ำมารินใส่แก้วให้หนิงฮวาด้วยความดีใจ ในที่สุดการสวดภาวนาของเขาก็เป็
"ร้องไห้หรือ เจ้าอย่ามาบีบน้ำตาต่อหน้าข้า มันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นับแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้คิดจะมาเคารพศพลูกสาวข้า อย่าคิดแม้แต่จะมาเยี่ยมหลุมศพของนาง อย่าแม้แต่จะมาร้องไห้ให้นาง เจ้ามันไม่คู่ควร!!"เมื่อพูดจบไป๋เฉิงก็เดินกลับเข้าไปในจวนโดยไม่หันหลังกลับมามองหยางซีซวนอีกเลย.."ข้าขอร้องท่าน ให้ข้าได้อยู่ในงานศพของนางเถิดข้าของร้องท่านจริงๆ" หยางซีซวนก้มหน้าลงหมอบกับพื้น แต่เสนาบดีไป๋ก็หาได้สนใจไม่ บัดนี้เขารู้ซึ้งแล้วจริงๆ ว่าชีวิตเขาขาดนางไม่ได้ ราวกับว่าหัวใจของเขาแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ชีวิตจากนี้ที่ไม่มีหนิงฮวาเขาจะอยู่ได้อย่างไร"ไม่นะ ไม่เอาแบบนี้ หนิงฮวาข้าขอโทษข้าผิดไปแล้ว อย่าทิ้งข้าไปนะ ข้าขอร้องอย่าทิ้งข้าไป ข้ายอมเจ้าแล้ว ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง เพราะงั้นลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะให้ข้าหย่ากับนางข้าก็ยอม หนิงฮวาข้าผิดไปแล้ว"หยางซีซวนร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดนี้มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวหยางซีซวนกลับมายังจวนสกุลหยางของตนอย่างล่องลอย เขาสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องนอนหนิงฮวาทันที เขาภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน เขาเปิดประตูห้องเข้า
ณ จวนสกุลไป๋"เปิดประตูจวนเดี๋ยวนี้!!" เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าประตู เสนาบดีไป๋เฉิงจึงรีบรุดไปดูทันทีว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อเขาวิ่งมาถึงหน้าจวนก็เห็นว่าฉินอ๋องอุ้มลูกสาวตนเข้ามาด้วยท่าทีที่รีบร้อน "นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" เสนาบดีไป๋เอ่ยถามฉินอ๋องด้วยความร้อนใจ"ตามหมอให้ข้าก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน ห้องนางอยู่ที่ใด!!" ฉินอ๋องแผดเสียงดังขึ้น ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาอธิบายสิ่งใดทั้งนั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการห้ามเลือดให้นาง"ซิงอีเจ้ารีบไปตามหมอมารักษาลูกข้า!!" เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งนำฉินอ๋องไปยังห้องของหนิงฮวา ฉินอ๋องเห็นเช่นนั้นแล้วจึงได้วิ่งตามบิดาของนางไป"เจ้าค่ะ" ซิงอีได้ยินผู้เป็นนายสั่งเยี่ยงนั้น นางจึงรีบวิ่งออกไปตามหมอมาทันที "ข้าขอผ้าสะอาดหน่อย เร็วเข้า!" ฉินอ๋องพูดขึ้นไป๋เฉิงเห็นโลหิตที่ไหลอาบอาภรณ์ของลูกสาว เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ภาพชายชราที่วิ่งหาผ้ามาเพื่อห้ามเลือดให้ลูกสาวด้วยความรนรานและสั่นเทาช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วหดหู่ยิ่งนัก เสนาบดีไป๋เฉิงยื่นผ้าสะอาดให้กับฉินอ๋องอย่างรวดเร็วฉินอ๋องดึงเศษอาภรณ์ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานออก ก่อนจะนำผ้าพื้นใหม่มา
"ท่านอ๋องช่วย..ช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าค่ะ!!""เจ้าตั้งสติก่อน เกิดอันใดขึ้น คุณหนูของเจ้าเป็นอะไร แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด" ฉินอ๋องพยายามถามซิงอีอย่างใจเย็น"คุณหนูถูกลักพาตัวเจ้าค่ะ พวกมันบอกจะรอที่ถ้ำทางทิศตะวันตก" ซิงอีพูดด้วยความร้อนใจ ไม่รู้ป่านนี้คุณหนูของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกมันทำร้ายสตรีตัวเล็กๆ อย่างคุณหนูได้ลงคอ จิตใจมันโหดร้ายยิ่งนัก"ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบบอกใครเพราะมันอาจเกี่ยวกันชื่อเสียงของคุณหนูของเจ้า ข้าจะไปช่วยเอง" เมื่อพูดจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนหลังคาและหายไปกับความมืดทันทีหยางซีซวนตามมาช่วยหลิวลี่ถังได้ทันท่วงที ดีที่พวกมันยังไปได้ไม่ไกล เขาจึงสามารถตามมาทัน และจัดการพวกมันที่มากันสามคนต่อหนึ่งอย่างง่ายดายที่แท้ก็เป็นพวกซีอานจริง ๆ ที่จ้องจะเล่นงานเขา แสดงว่าพวกมันคงวางแผนมานานแล้ว ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก เมื่อตั้งสติได้เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ซิงอีสาวใช้ของหนิงฮวาก็บอกว่าคุณหนูของนางก็ถูกลักพาตัวเช่นกัน นั่นก็แสดงว่ามันคือเรื่องจริงหยางซีซวนจึงรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำทิศตะวันตกตามที่ซิงอีบอก ในใจได้แต่ภาวนาว่านางจะไม่เป็นอะไร ต
ทางด้านซีอานที่คอยตามสืบมาเป็นปีก็ได้เวลาลงมือเสียที พวกเขารอที่จะแก้แค้นหยางซีซวนมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม "เจ้าจะต้องได้พบกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน" หนึ่งในชายชุดดำกล่าวขึ้นอย่างเคืองแค้นเหล่าชายชุดดำพากันกระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อเฝ้าคอยการเคลื่อนไหวของหยางซีซวนตามคำสั่งที่ได้รับ หากหยางซีซวนออกจากจวนยามใดให้เริ่มแผนการได้ทันทีเพราะหลังจากที่หยางซีซวนได้รับจดหมายขู่ในวันนั้น เขาก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในแผนการ เมื่อเหยื่อเห็นว่าเป็นเพียงจดหมายขู่ ก็จะตายใจและประมาท เมื่อนั้นแหละหยางซีซวน เจ้าจะต้องเสียใจ!ยามโหย่วของวันต่อมา หนิงฮวาใส่ชุดจีนโบราณสีขาวปักด้วยสีทองลายดอกเหมย เครื่องประดับบนหัวเป็นเครื่องเงินประดับด้วยไข่มุก มีสายห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม กำลังยืนมองดอกเหมยอยู่หน้าเรือน ไม่นานนักหยางซีซวนก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลิวลี่ถัง วันนี้หลิวลี่ถังก็แต่งกายงดงามเช่นกันเป็นฮันฝูสีชมพูอ่อนปักลายดอกบัวดูอ่อนช้อยงดงามหยางซีซวนยิ้มอย่างพอใจฮูหยินทั้งสองของเขางดงามยิ่งนัก เขานับว่าเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุดในใต้หล้าเลยก็ว่าได้ ทั้งสามคนเดินมายังรถม้า
"เอ่อ..ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม ท่านรู้จักฮูหยินของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ""นางเป็นสหายคนสนิทของข้าเชียวล่ะ"หยางซีซวนได้แต่กัดฟันกรอด หนิงฮวาไปสนิทสนมกับฉินอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อีกทั้งตอนนี้นางยังขอกลับไปอยู่ที่จวนสกุลไป๋ หรือนางจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่ห่างจากเขา ไปสนิทสนมกับฉินอ๋อง..แม้ว่าหยางซีซวนจะรู้สึกหึงหวงหรือหงุดหงิดเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการ หรือท่าที ที่บ่งบอกว่าไม่พอใจใส่ฉินอ๋องได้ ณ สถานที่จัดการแสดงศิลปะ ขณะนี้กำลังเป็นช่วงของการแต่งกลอน เขียนบทกวี และการกล่าวถึงสัจธรรม"วันนี้ ข้าขอเชิญผู้กล้าที่มีความสนใจในเรื่องบทกวี และบทกลอน ออกมากล่าวในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้หรือตระหนักได้ จากการชมดอกไม้ในปีนี้" เสียงนักกวีชื่อดังท่านหนี่งเอ่ยขึ้น พร้อมกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาเพียงเวลาไม่นานนัก นักกวีผู้นี้ได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้คนอีกครั้งว่า"ข้าน้อยจำได้ดีว่าท่านผู้นี้คือฉินอ๋องผู้สง่างามแห่งลั่วหยาง หากไม่เป็นการเสียมารยาท ข้าน้อยขอเชิญท่านออกมากล่าวถึงสิ่งที่ท่านตระหนักได้ หลังจากร่วมงานชมดอกไม้ในปีนี้ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเ