เสียงหวีดหวิวของอากาศดังจนแสบแก้วหูไปหมด ร่างกายของเยว่เล่อพุ่งลงสู้พื้นดินอย่างรวดเร็วตามแรงโน้มถ่วง แต่ก่อนที่ร่างกายจะกระแทกลงสู่พื้นดินนางรวบรวมลมปราณไว้ที่เท้าแล้วค่อยๆเหยียบย่ำบนอากาศเดินลงมาสู่พื้นดินอย่างสวยงาม ดีจริงๆที่ก่อนหน้านี้นางฝึกวิชาเหินเวหาไว้ใช้หนีคนของสำนัก เมื่อลงพื้นได้อย่างปลอดภัยแล้วเยว่เล่อก็เดินตามหาน้องสาวอยู่สักพักพอใกล้ค่ำแล้วจึงตัดใจ อย่างไรเสียซูเจียวก็โตพอจะปกป้องตัวเองแล้ว ทั้งยังมีของวิเศษมากมายไว้ป้องกันตัว นางเดินหาที่นอนไปตามธารน้ำสักพักจนได้ยินเสียงครึกโครมด้านหน้า ด้วยความใคร่รู้จึงพุ่งตรงไปดูอย่างรวดเร็ว ตู้มมม โฮรก เสียงคำรามของพยัคฆ์ตัวใหญ่มหึมากึกก้องไปทั่วบริเวณเพื่อข่มคู่ต่อสู้ของมัน “อ่อ หมากับแมวกำลังกัดกัน” โฮรกกก แค่ก ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีเยื่ยมของพวกมันทำให้พวกมันทั้งสองรับรู้ถึงผู้บุกรุกได้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กที่มีพลังแค่น้อยนิดจึงไม่สนใจ แต่พอได้ยินนางมนุษย์พูดแล้วก็สะอึกจนคำรามไม่ออก หมากับแมวกำลังกัดกัน? พวกมันเป็นถึงพยัคฆ์นิลกาฬกับหมาป่าเงินเหมันต์เชียวนะ สัตว์อสูรระดับ 8 ผู้
เกือบ 6 วันแล้วหลังจากเยว่เล่อมาโลกเบื้องล่าง ตอนนี้นางกำลังเบื่อสุดๆ เพราะไม่ว่าจะเดินไปไกลแค่ไหนก็เห็นแต่ป่า ป่า ป่าเต็มไปหมด “พวกเจ้าสองตัวคงไม่ได้หลอกข้าให้หลงป่าตายไปใช่มั้ย ห้ะ!!!” เยว่เล่อที่กำลังขี่คอของเป่าตงอยู่ดึงหูของมันพร้อมโวยวาย “โอ้ย เจ็บๆ เจ้าคิดว่าป่าอสูรมันเล็กนักรึไงเล่า ไม่เดินเองแล้วยังมาบ่นอีก” “แฮ่กๆ นายหญิงอีก 21 วันก็จะออกจากป่าได้แล้วขอรับ” เส้นเลือดของเป่าตงกระตุกยิกๆ เพราะเสวี่ยปิงกำลังเอาหัวถูไถขาของเยว่เล่อ ตอนนี้ไอ้หมาป่าโง่นั้นกลายเป็นหมาบ้านขี้ประจบไปแล้ว ลืมสิ้นศักดิ์ศรีของอสูรระดับ 8 “ไม่มีทางลัดเลยรึอาปิง” “มีขอรับหากใช้ทางนั้นเพียงแค่10วันก็ถึงเขตชั้นนอกของป่าโดยไม่ต้องผ่านเขตชั้นกลาง และเดินทางต่ออีก 3 วันก็ออกจากป่าอสูรได้ แต่มันอันตรายมากมันเป็นเขตของอสรพิษระดับ 9 ขอรับ อสรพิษเป็นอสูรน่ารังเกียจมันมิสนสัจจะดังนั้นมันอาจทำร้ายคนของตำหนักเช่นนายหญิงขอรับ” “ข้ามีเกราะแก้วคุ้มกายมันจะทำร้ายข้าได้ยังไง พวกเจ้านั่นแหละแม้แต่ไส้เดือนยังกลัว!!! อาเป่าเปลี่ยนไปใช้ทางลัดซะ” ร่างบางเอนหลังนอนลงบนขนนุ่มๆ มือเรียวเล็กลูบจ
ฮัดชิ้ว เยว่เล่อจามเสียงดัง นางสูดน้ำมูกกลับเข้าไปก่อนมันจะไหลย้อยลงมา “อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ ทั้งเมือกจากอสรพิษทั้งน้ำมูกเจ้า ข้ารังเกียจ” อาเป่าขยับหนีเยว่เล่อที่กำลังล้มตัวมาซบไออุ่นจากขนปุกปุยของมัน “หรือจะให้ข้าถลกหนังเจ้าเอามาห่ม” อาเป่าไม่กล้าค้านอีกยอมให้นางซุกตัวเหนียวเหนอะกับขนของมัน หิมะเริ่มตกลงมาหนักมากขึ้นจนปกคลุมพื้นดินเป็นปุยสีขาว เยว่เล่อตัวสั่นงกงันแนบใบหน้าแล้วสั่งน้ำมูกเช็ดขนอาเป่า มันหันหน้าหนีความอัปยศและความรังเกียจไปทางอื่นก่อนจะเห็นว่าอาปิงวิ่งกลับมาจากไปดูลู่ทางแล้ว “นายหญิงข้างหน้ามีลำธารไหลออกไปด้านนอก หากเดินไปตามลำธารต้องมีทางออกจากหุบเหวนี้แน่ ทั้งระหว่างทางข้าเจอถ้ำด้วยเราเข้าไปพักสักคืนพรุ่งดีค่อยเดินต่อดีไหม” “อือ” เยว่เลอปีนขึ้นไปขี่คออาเป่าทั้งที่มันยังนอนอยู่เป็นการบอกว่าให้มันพานางไป มันถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินตามอาปิง หรือมันจะประจบยัยหนูนี่เหมือนเจ้าหมาโง่ดีไหม นางจะได้เลิกใช้เขาเยี่ยงทาสเช่นนี้ ในถ้ำอบอุ่นกว่าข้างนอกเยว่เล่อจึงมีใจอยากเดินสำรวจขึ้นมาบ้าง นางให้พวกมันสองตัวนอนเฝ้าหน้าถ้ำส่วนตนเองเดินลึกเข้าไปเพ
หลายวันมาแล้วที่เยว่เล่อเดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆหลายหมู่บ้านเพื่อไปถึงเมืองใหญ่ นางไม่ได้อาบน้ำมาสามวันตัวจึงคลุกมอมไปด้วยฝุ่น เสื้อผ้าของสาวใช้ที่ใช้ปลอมตัวหนีมาชายกระโปรงก็ขาดรุ่งริ่ง สภาพเช่นนี้บอกใครว่าเป็นคุณหนูแห่งสำนักอันดับหนึ่งก็ไม่มีใครเชื่อ!!! “ทำไมพวกเจ้าไม่กลับร่างเป็นหมากับแมวตัวใหญ่ๆเหมือนเดิมแล้วให้ข้าขี่คอไปเล่า!!!” เยว่เล่อย้ำเท้าอย่างหงุดหงิด แม้การฝึกปราณจะไม่ต้องกินอาหารบ่อยๆแต่นางขั้นปราณยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งยังไม่ได้กินอะไรมาเกือบ 1 อาทิตย์ หิวจนจะกินหมากับแมวที่เดินตามเธอต้อยๆแล้ว “เจ้าโง่รึเปล่า หากข้าใช้ร่างอสูรระดับ 8 เข้าไปในเมืองของพวกมนุษย์ข้าก็โดนพวกมันไล่ฆ่าน่ะสิ อีกแปปเดียวจะถึงแล้ว ถ้าเจ้าทนไม่ไหวทำไมมิรีบกลับบ้านเจ้าบนตำหนักลอยฟ้าเสียเลยล่ะ” อาเป่าใช้น้ำเสียงและสายตาดูแคลนเยว่เล่ออย่างถึงที่สุด มันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าคนจากตำหนักเทียนฝูจะมีสภาพเช่นนี้ได้ ไร้ซึ่งความสง่างาม! แถมนางยังถือครองป้ายหยกบัญชาเมฆาจนพวกเขาต้องกลายเป็นทาสนางอีก อนาจใจเหลือเกิน อาปิงแม้ไม่ได้จะใช้สายตาดูถูกมองเยว่เล่อแต่กลับพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วยกับ
ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวผู้คนในเมืองถยอยกันกลับจวนของตนเอง บนถนนหนทางที่เคยมีคนเดินพลุกพล่านบัดนี้กลับแทบไม่เหลือคน คงมีแต่หนึ่งคน กับอีกสองหมาแมวเดินอยู่เท่านั้น “นายหญิงเราจะไปนอนที่ไหนดีขอรับ” “เฮอะ ติดตามนางคงไม่พ้นนอนข้างถนนหรอก” ยิ่งคิดอาเป่ายิ่งรู้สึกสมเพชตัวเอง เขาเคยเป็นอสูรผู้ยิ่งใหญ่ เกรงขาม สง่างามอยู่ดีๆ บัดนี้กับกลายมาเป็นแมวขี้เรื้อนตัวหนึ่ง! “อาเป่า เจ้าดูถูกเจ้านายของเจ้าไปหน่อยแล้วจริงๆ ข้าหรือจะทำให้พวกเจ้าลำบาก” เยว่เล่อเชิดหน้ากอดอกภาคภูมิใจ “หรือว่านายหญิงมีสมบัติวิเศษหรือสมบัติเทพที่เป็นมิติพิเศษไว้พักผ่อนใช่หรือไม่ขอรับ สมแล้วๆที่นายหญิงเป็นถึงผู้สืบทอดของตำหนักเทียนฝู” อาปิงในร่างหมาขนปุยสีขาววิ่งวนรอบตัวเยว่เล่ออย่างมีความสุข ดวงตาของมันเป็นประกายเปี่ยมด้วยความหวัง ไม่ใช่เพียงแค่อาปิงเท่านั้น อาเป่าเงยหน้ามองนางอย่างคาดหวังว่าเกียรติของมันจะไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้ พยัคฆ์นิลกาฬเช่นมันคงไม่ตกอับถึงขั้นต้องนอนข้างถนน “จะไปใช่ได้อย่างไร เราจะไปนอนกันใต้สะพานตั้งหากเล่า” พอบอกพวกมันทั้งสองตัวแล้วเยว่เล่อจึงเดินต่อ แต่เมื่อมิเห็น
ความคิดของอาเป่าผิดแล้ว มันประเมิณความสามารถของคุณหนูหวางเยว่เล่อแห่งสำนักมังกรฟ้าต่ำไปมาก ความหวังจะได้กลับป่าอสูรของมันคงต้องสลายแล้วเมื่อพริบตาต่อมาเด็กสาวที่นั่งข้างมันก็ลุกพรวดขึ้นมาจนมันสะดุ้ง “เดี๋ยวก่อนคุณชายท่านนั้น ท่านกำลังไปพบกับหญิงที่ชอบใช่หรือไม่ ไอ้หยาๆ ไม่ดีแล้วๆ ดวงไม่มงคล ไม่เป็นมงคลเลย สนใจทำทานกับข้าสักหน่อยหรือไม่ ข้าจะให้หินนำโชคกับท่านเป็นการตอบแทน” ไม่มีใครได้ตั้งตัวร่างกายของเยว่เล่อลุกไปขวางทางเด็กหนุ่มแต่งตัวดี ท่าทางสูงศักดิ์ไว้คนหนึ่ง “...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังไปพบใคร” เด็กหนุ่มตกใจมากเมื่อมีคนรู้ว่าเขากำลังไปพบกับแม่นางที่เขาแอบชอบมาหลายปี สายตาสงสัยมากมายส่งไปทางเยว่เล่อ นางยิ้มหวานออกมาจะไม่รู้ได้ไงเขาใส่น้ำหอมเสียจนฉุน แต่งกายประณีตในอกเสื้อยังมีปิ่นอยู่คาดว่าคงเอาไปให้แม่นางสักคน เรื่องง่ายๆเช่นนี้แค่สังเกตุให้ดีก็รู้แล้ว “จุ๊ๆ คุณชาย ข้าน่ะพอเห็นโชคชะตาของผู้คนได้นิดหน่อย วันนี้ดวงความรักของท่านไม่ค่อยเป็นมงคลข้าจึงขวางท่านไว้ด้วยความหวังดี แต่ไม่ต้องกังวลเพียงซื้อหินนำโชคจากข้าไป รับรองมันจะขจัดอัปมงคลออกไปทั้งยังเสริ
ในย่านเริงรมย์ของเมืองจงหยวนมีผู้คนมากมายมาหาความสำราญให้กับชีวิตของตัวเอง บ้างมากินดื่ม บ้างมาชื่นชมความงดงามของเหล่าหญิงงาม ย่ามเริงรมย์แห่งนี้จึงเป็นแหล่งหมุนเวียนเงินขนาดใหญ่ในเมืองนี้ “แหวะ เหม็นเหล้าชะมัดทำไมแถวนี้ถึงมีแต่คนเมาเนี่ย” เยว่เล่อที่มานั่งอยู่ข้างร้านแห่งหนึ่งพร้อมกับถ้วยคู่ใจนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ขนสากเพราะมอมแมมของเสวี่ยปิงถูไถมือของเยว่เล่อเป็นการปลอบใจ มันสงสารนายหญิงตกอับของตัวเองเหลือเกิน เป็นคุณหนูผู้มีเกียรติและร่ำรวยอยู่ดีๆก็มาตกระกำลำบาก ฝั่งเยว่เล่อที่ไม่รู้ความคิดของเสวี่ยปิงจึงคิดว่ามันอ้อนเลยลูบหัวมันอย่างเอ็นดู ส่วนคนที่เขาใจความคิดของหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวอย่างเป่าตงก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ ทำไมมันต้องมาอยู่กับพวกโง่เช่นนี้ด้วย? ซ่า น้ำเย็นถูกสาดลงมาบนตัวของเยว่เล่อ นางมึนงงไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก “ออกไปสะนังขอทาน อย่ามานั่งที่หน้าหอของข้าอัปมงคล ออกไป! พวกเจ้ารีบเอาน้ำมาล้างพื้น!” “เจ้าค่ะท่านแม่” ร่างบางของสาวงามสามคนรีบเดินกลับเข้าไปตักน้ำในร้านตามที่แม่เล้าของตัวเองสั่ง “ส่วนนังขอทานเช่นจะ…เจ้า เจ้าน่ะเงย
ร่างกายเยว่เล่อโงนเงนไปตามแรงของสาวใช้ที่อาบน้ำให้นาง ดวงตาของนางปิดปรือไม่รับรู้สิ่งใด งานของพวกนางคณิกามันเริ่มตอนกลางคืนมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงถูกดึงจากที่นอนตั้งแต่ฟ้ายังมิสางแบบนี้! ฮืออออ ข้าอยากนอนเตียงดีๆที่ไม่ได้นอนมานาน ถ้ารู้ว่าจะลำบากขนาดนี้จะเรียกค่าตัวเพิ่มอีกสักพันตำลังทอง “พระเจ้า ผิวแม่นางเหมยฮวาดีอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว” “ใช่มั้ยล่ะ นอกจากผิวแล้วรูปร่างหน้าตาของพี่เหมยฮวายังงดงามจนข้าอดอิจฉาไม่ได้เลยล่ะ งดงามยิ่งกว่าพี่สาวคนไหนๆในร้านนี้อีกนะ” เสียงของสาวใช้ดังเข้ามาในหูเยว่เล่อไม่ขาด ในน้ำเสียงมีความประจบประแจงอยู่แปดส่วน แน่นอนล่ะทั้งเมื่อคืนและตอนนี้นางได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากแม่เล้า ทั้งห้องที่ดีที่สุด เสื้อผ้าเครื่องประดับที่ดีที่สุด ไม่แปลกใจหากสาวรับใช้พวกนี้จะอยากพันแข้งพันขานาง “ไปเอาชุดมาอีก เร็วเข้าอีกเดี๋ยวจิตรกรก็จะมาแล้ว ครั้งนี้ข้าลงทุนจ้างจิตรกรฝีมือดีค่าตัวไม่ใช่น้อย อย่าทำให้เสียเวลา” “เจ้าค่ะท่านแม่” ทั้งสาวใช้และคณิกานับสิบชีวิตวุ่นวายกับการแต่งตัวให้เยว่เล่อออกมางดงามที่สุด “เหมยเอ๋อร์ของแม
หลังจากเดินซื้อของจนหมดเรี่ยวแรงร่างกายของเยว่เล่อก็ล้มตัวนอนบนฟูกนุ่มๆทันทีเมื่อกลับถึงห้อง เป่าตงและเสวี่ยปิงที่นอนรออยู่ในห้องเงยหัวขึ้นมามอง “ไปอาบน้ำก่อนค่อยนอน” เสียงเรียบๆของเป่าตงดังขึ้นมา ตอนนี้มันเหมือนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเต็มตัว “ขอนอนพักสักพักค่อยไปอาบ” เยว่เล่อนอนหงายกางแขนกางขาจนเต็มเตียง สายตามองเพดานเตียงอย่างเลื่อนลอย ส่วนหนึ่งในใจตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจากทวีปหยางจื่อตี้แล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลอยู่เรื่องหนึ่ง ฟึบ เยว่เล่อตะแคงข้างหันไปมองเป่าตงและเสวี่ยปิงที่นอนอยู่บนเบาะของตัวเอง ตอนแรกนางตกลงกับพวกมันว่าหากข้ามทวีปได้สำเร็จจะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ…แต่ในใจเยว่เล่อดันเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมา นางไม่อยากปล่อยพวกมันไปเลย แม้เป่าตงจะขี้บ่น ขี้เหวี่ยง ขี้วีนแค่ไหน แต่มันก็คอยช่วยนางอยู่ข้างๆเสมอ เสวี่ยปิงเองถึงแม้จะเป็นหมาขี้ประจบ แต่มันก็เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีของนาง การมีทั้งสองตัวอยู่ด้วยทำให้การเดินทางของนางไม่เหงาเลยสักวัน ทุกวันมีแต่เรื่องสนุกเต็มไปหมด ถ้าจะต้องจากกันในวันพรุ่งนี้… แค่คิดถึงเรื่องน่าเศร้าดวงตาของเยว่เล่อก็เริ่มแดงก่ำ
พอเช้าวันต่อมา เยว่เล่อ ฮุ่ยหมินและเหล่าสหายโจรก็นั่งเรือซ่อมซ่อลำเดิมพร้อมปลาหมึกกลับมายังท่าเรือ สภาพของเหล่าสหายโจรดูย่ำแย่เกินกว่าจะบรรยายได้ เพราะพวกเขาไม่ได้เจอเหล่าสหายพี่น้องกองโจรมาหลายอาทิตย์จึงกินดื่มกันจนเมาหัวราน้ำ ส่วนเยว่เล่อมิได้ร่วมดื่มแต่สภาพกลับไม่ต่างกันเท่าไรนักเมื่อนางเมากลิ่นซากปลาหมึก! เยว่เล่อไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าจะเอาพวกมันไปด้วยทำไม แต่พอนางบอกให้เอาโยนทิ้งไปฮุ่ยหมินก็รีบมาห้ามไว้เพราะบอกว่ากลับไปมือเปล่ามันน่าสงสัย “แหวะ อ้วก” เพียงแค่ขึ้นมาถึงฝั่งเยว่เล่อและเหล่าสหายโจรก็ประจำพุ่มไม้แยกกันอ้วกจนหมดพุง หลังลากสังขารกลับโรงเตี๊ยมได้ หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งมารายงานคนที่สภาพดีที่สุดเช่นฮุ่ยหมินว่ามีคนฝากจดหมายเอาไว้ให้ เมื่อเขาคลี่จดหมายออกจึงพบว่าเป็นนัดหมายตกลงราคาสินค้า เขามิค่อยพอใจนักที่นางจะขายสิ่งล้ำค่าหายากเช่นไข่ของหงส์เพลิง แต่ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าเขาได้เงินนางได้หินนั่นจึงทำอะไรไม่ได้ อีกอย่างคนที่คว้าชัยชนะมาได้ก็คือนาง “น้องสาวเจ้าไหวมั้ยเนี่ย” ฮุ่ยหมินพยุงหิ้วปีกร่างของเยว่เล่อขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆ “เอ้า จดหมายของเจ
ใช้แรงไปไม่น้อยเมื่อต้องปีนบันไดเชือกมาถึงสามสิบชั้น แต่เพียงแค่ขึ้นมาถึงดาดฟ้าเรือใจของเยว่เล่อก็เต้นระส่ำไปหมด มีเรื่องน่าสนใจให้จ้องมองเต็มไปหมด ทั้งหอคอยปราการที่ตั้งสูงบนนั้นแล้วยังติดตั้งปืนใหญ่เอาไว้ ทั้งยังมีบ่อปลาเสริมมงคล ไหนจะห้องดูหรูหราตกแต่งด้วยทองบนอีกชั้นของดาดฟ้านั่นอีก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเยว่เล่อที่สุดคงจะเป็นบัลลังก์สีดำสลักลวดลายอสูรตัวใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ นางรีบวิ่งไปดูบัลลังก์สุดอลังการนั่นด้วยความตื่นเต้นในทันที นี่แหละความอลังการที่นางหวังถึง! เยว่เล่อลูบลายสลักด้วยความประณีตอย่างแผ่วเบา พอมาใกล้ๆแล้วบัลลังก์ดูใหญ่กว่าเดิมอีก “ข้าลองนั่งดูได้หรือไม่” เยว่เล่อหันไปถามฮุ่ยหมินกับสหายโจรที่กำลังเดินมาหา “ได้สิ ถ้าเจ้ายอมมาเป็นเมียข้าย่อมมีสิทธินั่งบนบัลลังก์อยู่แล้ว” เยว่เล่อชะงักตูดของตัวเองที่กำลังจะนั่งลงเมื่อยินคำว่า ‘ได้สิ’ แต่เมื่อได้ยินเงื่อนไขข้างหลังจึงรีบยกตูดตัวเองขึ้นมายืน มองบัลลังก์ด้วยสายตาดุจรังเกียจมาก “ชิ แค่รองเท้าข้ายังไม่อยากเอาไปวางเลย” เยว่เล่อสะบัดหน้าหนี กำลังมองหาสิ่งสนุกใหม่ก็ได้ยินเสียงชาย
เยว่เล่อออกมากับพวกอันหรานและหยู่เซินโดยที่ไม่มีเป่าตงและเสวี่ยปิงตามมาด้วย ท่าเรือในยามค่ำคืนยังคงคึกคักมิต่างจากตอนกลางวัน ตลอดถนนเส้นทางมีโคมไฟจุดจนสว่าง เยว่เล่อสังเกตเห็นว่ามีเรือเข้าออกตลอดเวลา ทั้งยังมีคนของทางการเดินตรวจตราเข้มงวด นางเดินตามอันหรานกับหยู่เซินจนมาพบกับฮุ่ยหมินและฮันสุ่ยยืนพิงกำแพงรออยู่ “ไหนล่ะเรื่องสนุกที่เจ้าว่า” เยว่เล่อถามฮุ่ยหมิน นางไม่เห็นทีท่าว่าท่าเรือที่มีคนเยอะแยะเช่นนี้จะสามารถมีรังโจรซุกซ่อนเอาไว้ได้ “ตามมาสิ” ฮุ่ยหมินตอบ เขาใช้พลังปราณใช่แหวนมิตินำถุงผ้าและเบ็ดตกปลาหลายคันมาถือและแบ่งให้กับลูกน้องของตัวเองเยวเล่อเดินตามเขาไปเรื่อยๆ แม้พวกเขาจะเดินตรงไปที่ท่าเรือแต่นางก็ยังไม่ถามอะไรออกมา พวกเขาเดินตรงไปที่ซุ่มโต๊ะที่มีการตรวจตาคนเข้าออกท่าเรือ “พวกเจ้าจะออกเรือไปทำอะไร” นายตรวจถามเสียงเข้มเมื่อมีชายหนุ่มหน้าตาเจ้าสำอางกับผู้ชายอีกสามคนและมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนยืนอยู่ด้านหลัง ดูน่าสงสัยไม่น้อย “ข้ากับคนในครอบครัวจะออกออกไปตกหมึกน่ะ ท่านเป็นนายตรวจแห่งท่าเรือนี้คงรู้สิน่ะว่าหมึกต้องตกตอนกลางคืนน่ะ” “พวกเจ้าไปได้แ
ก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นเสวี่ยปิงจึงรีบลากคอเป่าตงจนตัวลอยมาวางไว้ข้างหลังผ้าคลุมโต๊ะแล้วกระซิบเสียงลอดไรฟันว่า ‘คอยดูสถานการณ์ไปก่อน’ เป่าตงที่กำลังมึนงงยิ่งงงเข้าไปอีกเมื่ออยู่ๆหมาโง่อย่างเสวี่ยปิงกับไม่ทำเรื่องงี่เง่าแต่กลายเป็นมันเสียเอง “พระเจ้า ข้าขอดูใกล้ๆสักหน่อย” เมื่อพ่อค้าทำท่าจะถลาตัวเข้ามาหยิบไข่ไป เยว่เล่อที่ไหวตัวทันจึงรีบไปหลบหลังฮุ่ยหมินที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ ความคิดแรกของพ่อค้าคือจะใช้กำลังแย่งชิงมาต้องตกไปเพราะเขาพึ่งจับได้กับสัมผัสไอปราณที่พึ่งออกมาจากรอบๆตัวของชายหน้าตาเจ้าสำอาง ถึงพ่อค้าจะมีระดับปราณต่ำกว่าจนมิสามารถล่วงรู้ได้ว่าเขาอยู่ระดับไหนแต่จากประสบการณ์ชายคนนี้ย่อมมีระดับไม่ต่ำกว่าระดับหกแน่ ขนของเขาลุกซู่รีบถอยหลังกลับไป “ข้าแค่จะขอตรวจดูเท่านั้นว่าใช่ของจริงหรือป่าว” “พี่ชาย อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเลย ชายสี่คนที่มากับข้าถึงจะดูไม่เอาไหนไปบ้าง ดูติ๊งต๊องไปสักหน่อย แต่พวกเขาเป็นถึงสมาชิกองโจรที่โหมเหี้ยมเช่นกองโจรเงาพรายอสูรเชียวนะ หากเกิดอะไรขึ้นมาร้านเล็กๆของท่านมิรู้ว่าจะมีสิ่งใดเหลือบ้าง…แต่หากคิด ว่าเบื้องหลังท่านยิ่ง
ณ เมืองท่าของแคว้นซูบรรยากาศอบอ้าวไปด้วยลมร้อนของทะเล กลิ่นเค็มจากสายลมทำให้สมองตื่นตัวแบบน่าประหลาด ทั้งผืนน้ำกว้างใหญ่ หาดทรายและต้นมะพร้าวสูงใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่เยว่เล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต นางวิ่งเหยียบย่ำทรายนุ่มขาวกับเสวี่ยปิงโดยมีเป่าตงเดิมสง่างามตามมา มันมองเหยียดยัยเด็กฟันน้ำนมและหมาโง่ที่ทำตัวเป็นบ้านนอกไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน ซ่า เมื่อคลื่นทะเลซัดพื้นทรายจนมาโดนเท้าของเป่าตง มันตกใจมากจนวิ่งหนีออกจากฝั่งไปไกล สะบัดเท้าเอาน้ำทะเลออกจากฝ่ามือแล้วดม พอได้กินเค็มๆจึงลองชิมอย่างกล้าๆกลัวๆ มันเบิกตาโตทันทีเมื่อพบว่าน้ำมันเค็ม อย่าบอกนะว่าผืนน้ำที่กว้างใหญ่ทั้งหมดนี้คือน้ำเค็มทั้งหมด! ฮุ่ยหมิน ฮันสุ่ย อันหรานและหยู่เซินทำหน้าตายมองภาพคนบ้านนอกตื่นทะเล พวกเขาอยากจะทำเป็นไม่รู้จักกับเยว่เล่อด้วยซ้ำเมื่อเห็นนางสะดุดขาตัวเองแล้วจมทะเลลึกแค่เข่า! เสวี่ยปิงใช้หัวดันหลังเจ้านายตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะจมน้ำตื้นตาย เป็นการตายที่น่าสมเพสมากมิใช่หรือ มันไม่อยากมีประวัติว่าเคยมีเจ้านายโง่ขนาดนี้มาก่อน มันยังไม่อยากถูกลูกหลานตัวเองล้อจนตาย! แค่กๆ เยว่เล่อลุกข
ในวันนี้เยว่เล่อมีภารกิจสำคัญคือหาสุราลูกพลัมกลับไปฝากท่านพ่อ แต่ปัญหาคือไม่มีใครไปเป็นเพื่อนนางเลยสักคน เป่าตงนั่นมิอยากยุ่งกับนางเป็นทุนเดิม แต่เสวี่ยปิงเนี่ยสิมันบอกว่าอยากจะซึบซับปราณจากหินปราณธาตุน้ำแข็งอยู่ในโรงเตี๊ยม นางจึงเดินหน้าบูดลงมาชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมจึงได้พบกับเหล่าสามสหายโจรกำลังนั่งกินอาหารเช้าไร้ซึ่งวี่แววคนเป็นหัวหน้า “หัวหน้าของพวกเจ้าอยู่ไหนรึ” เยว่เล่อขมวดคิ้วมุ่น คนชอบเสนอหน้าเช่นฮุ่ยหมินจะหายไปได้ยังไง “อ่อ หัวหน้ากำลังนั่งนับเงินอยู่น่ะ เมื่อไรที่หัวหน้าพูดเช่นนี้ล่ะก็ทำใจได้เลยว่าจะไม่เห็นหน้าเขาเกือบครึ่งวันนั่นแหละ” อันหรานพูดออกมาสบายๆ เขาและลูกน้องทุกคนดูชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ “อีอะไออือแอ่อาง” (มีอะไรหรือแม่นาง) ฮันสุ่ยถามพร้อมข้าวเต็มปาก “เฮ้อ ข้าจะไปเหล่าสุราพลัมหอมมีใครจะไปกับข้าบ้าง” แค่ได้ยินคำว่าสุราราวกับมีหางโผล่ออกมา พูกเขาทิ้งถ้วยชาและตะเกียบลงบนโต๊ะ รีบวิ่งมาหาเยว่เล่ออย่างรวดเร็ว หน้าร้านขนาดกลางมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘เหล่าพลัมหอม’ มีชายชราหลังง้อผมขาวโพลนคนหนึ่งกำลังกวาดเศษใบไม้อยู่หน้าร้านเมื่อเห็นเยว
ครืนนน การสั่นครั้งสุดท้ายรุนแรงมากเสียจนพื้นที่รอบบริเวณภูเขาไฟเสิ่นอู๋เหมือนมีแผ่นดินไหว แม้แต่ผู้ชมที่รอชมอยู่ด้านล่างยังสามารถสัมผํสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนี้ “การตัดสินครั้งสุดท้ายมาถึงสักที ตอนนี้หินร่วงหล่นเร็วมากจนแทยไม่เหลือ ทีมแม่นางมี่เถียนเหมือนจะถอดใจแล้วหรือป่าว พวกเขาค่อยกระโดดตามแผ่นหินที่ร่วงลงมาเพื่อกลับมาข้างล่าง แต่ทีมแม่นางอี้ฝานยังคงพยายามต่อสู้กับความร้อนของภูเขาไฟเสิ่นอู๋ต่อด้วยการเสียสละพลังปราณธาตุน้ำของแม่นางจื่อเวยเพื่อประคองให้แม่นางอี้ฝานได้ไปต่อ ส่วนม้ามืดของเราเช่นแม่นางไฉเอ๋อร์ก็เหลือเวลาอีกแค่เจ็ดลมหายใจเท่านั้นก่อนจะถูกปรับแพ้เพราะผิดกติกา!” จากตอนแรกเสวี่ยปิงต้องทำเป็นถูกล่อด้วยหินปราณไปเรื่อยๆ แต่ในสถานการณ์ที่น้ำแข็งละลายไล่เท้าหลังของมัน การวิ่งนี้จึงกลายเป็นการวิ่งหนีตายไปโดยปริยาย เยว่เล่อมองเส้นชัยบนยอดภูเขาที่อยู่ใกล้เพียงแค่นิดเดียวเท่านนั้น ยังไงก็ทันแน่! ความคิดของเยว่เล่อถูกชะงักลงด้วยลูกไฟที่ก่อร่างเป็นนกคล้ายหงส์กำลังบินโฉบมาทางนางและเสวี่ยปิง เมื่อก้มลงไปมองจึงพบว่าเป็นฝีมือของอี้ฝานที่อยู่ในโดมครอบน้ำของจื่อเวย นางเลือกไม่สนใจสะเ
กลับมาในสถานการณ์ปัจจุบัน ทีมของมี่เถียนและอี้ฝานหยุดปะทะกันตั้งแต่หินเริ่มหล่นแล้ว จนตอนนี้แผ่นหินค่อยๆหยุดร่วงลงทีมของพวกนางก็ยังเร่งไต่ภูเขากันต่อ “ตอนนี้หมดระลอกการสั่นเตือนครั้งที่หนึ่งแล้ว ทุกคนต่างเร่งให้ถึงยอดปล่องภูเขาโดยเร็ว อย่าลืมว่าการสั่นเตือนของภูเขามีทั้งหมดแค่สามครั้งก่อนพลังของภูเขาไฟจะหมด ทีมของแม่นางมี่เถียนและทีมของแม่นางอี้ฝานตัดสินใจหยุดปะทะกัน โอ๊ะ ดูเหมือนจะไม่ ทั้งสองทีมทิ้งสมาชิกไว้สามคนเพื่อต่อสู้กัน ศักดิ์ศรีของสำนักปล่อยวางไม่ได้เชียวหรือ” ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไรความร้อนจากภูเขาไฟยิ่งมากเกินจะทนไหว ร่างกายของมี่เถียนชื้นเหงื่อ ไอร้อนระอุจนทำให้แผ่นหินกลายเป็นกะทะร้อน ติงหยวนอุ้มคนรักขึ้นแล้วกระโดดต่อ เขามีคุณสมบัติปราณธาตุไฟดังนั้นเขาจึงทนความร้อนได้มากกว่าคนรัก “พี่ข้าไปเองได้ ข้ามไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพี่ ปล่อยข้าลงเถอะ” “ใครหน้าไหนมันกล้าบอกว่าเจ้าเป็นตัวถ่วงของข้าก็พูดออกมาเถอะ” “เหอะ ได้ดีเพราะเกาะผู้ชาย หน้าไม่อาย” จื่อเวยหันหลังไปมองภาพคู่รักสองคนแล้วสบถออกมา จื่อเวยใช้ปราณแปลงคุณสมบัติเป็นธาตุน้ำครอบคลุมตัวของนา