หลังจากรักษาตัวโนโรงพยาบาลร่วมเดือน ข่าวการถูกทำร้ายของพัศวีก็ค่อยๆ เงียบหายไป เนื่องจากการใช้อิทธิพลของครอบครัวกดดันให้สำนักข่าวต่างๆ ปิดข่าวและเลิกสนใจติดตามข่าว ส่วนด้านคดีความ ก็ต้องยอมความ เพราะมันเกี่ยวพันถึงชื่อเสียง และหน้าตาทางสังคม ซึ่งฝ่ายหญิงเองก็ถือว่าได้รับความเสียหายมากเช่นกัน
เกศิตา ปุญญะวัชโร เป็นลูกนอกสมรสของ พลวัตร ปุญญะวัชโร ที่เพิ่งกลับมาใช้ชีวิตในไทยเพียง 5 เดือนก่อนเกิดคดีฉาวกับพัศวี และค่อนข้างเป็นที่จับตามมองของสื่อ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้เธอถูกขุดคุ้ยอย่างหนัก ทั้งความเสเพล และเสพติดกามารมณ์ และการใช้ความรุนแรง เนื่องจากอิทธิพลของครอบครัว ทำให้รอดพ้นจากคดีฉาวต่างๆ มาได้ หลายต่อหลายครั้ง
แต่การที่เธอยังคงได้รับเกียร์ติ และยอมรับในฐานะทายาท และได้มีส่วนในการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถสูง คุมบริษัทเครือเบฟเวอร์เรจทั้งหมดไว้ในกำมือ และแบรนด์ดังเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากที่เธอเข้ามาบริหาร
กลุ่มชายฉกรรจ์ ที่ทำร้ายพัศวี ก็เป็นคนของเธอ ที่เรียกใช้เป็นประจำ เสมือนบอร์ดี้การ์ดประจำตัว หากวันนั้น เรื่องราวระหว่างเธอและพัศวีไม่ลงเอยที่เกมส์ของพัศวี การใช้ความรุนแรงคงไม่เกิด เพราะเธอต้องการเป็นผู้คุมเกมส์ ไม่ใช่พัศวี ที่เอาชนะเธอตลอดทั้งคืน เธอไม่อยากเสียหน้าให้เด็กน้อย ที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่เขากลับ ทำเหมือนเธอเป็นลูกไก่ในกำมือ โดยใช้เกมส์สวาทที่เธอชื่นชอบ มาเป็นเครื่องมือบีบให้เธอต้องสยบต่อเขา
“ทำแต่เรื่องงามหน้า”
นายพลวัตร ผู้เป็นพ่อ ตวาดลูกสาวด้วยความโกรธ โดยมีภรรยาหลวงของเขานั่งอยู่เคียงข้าง จ้องมองเกศิตา ด้วยสายตาเหยียดหยาม ตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากปิดข่าวและเจรจาเรื่องคดีความ กันระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เขาจึงมีเรียก เกศิตา เข้าพบ เพื่อตำหนิ
“เชื้อแม่มันแรง” คุณหญิงระพี กล่าวเสียงเย้ยหยัน
“ขอบคุณค่ะ เป็นลูกแม่ ก็ต้องเหมือนแม่” เกศิตาลอยหน้า
“แกจะทำอะไร จะเหลวแหลกยังไง ฉันไม่ว่า แต่อย่าลากบริษัทให้ไปเสื่อมเสีย ดีแค่ไหนที่ คุณพัศกร กับฉันคุ้นเคยกันมานาน เขาถึงไม่ให้ลูกชายของเขาเอาความแก”
เขาเอือมระอากับการกระทำของเกศิตามาตั้งแต่สมัยยังเรียนในต่างประเทศ แต่ด้วยความรู้สึกผิดต่อเธอและแม่ สิ่งที่เขาให้ได้ก็แค่เงิน และชื่อเสียงจอมปลอมในฐานะทายาท แค่ในนาม และคอยตามเช็ดตามล้าง เรื่องต่างๆ ที่เธอก่อไว้ เกศิตาก็เป็นเพียงพนักงานที่มีตำแหน่งสูงคนหนึ่งในบริษัท ที่ต้องทำงานแลกเงินเดือนที่มหาศาลจากชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่อ และพี่น้องนอกสายเลือด และภรรยาหลวงที่เป็นแม่เลี้ยงสูตรสำเร็จ
พฤติกรรมความเหลวแหลก การกระทำที่บ่อนทำลายชื่อเสียงวงตระกูล ก็เป็นเพียงวิธีการระบายอารมณ์จากความคับแค้นใจ โหยหาความรักมาตั้งแต่เด็ก การพลัดพราก และผิดหวังอยู่ร่ำไป เกศิตา มีชีวิตที่ดำดิ่งจากความผิดหวังในความรัก จนยากจะเชื่อใจใคร ไม่เคยเชื่อว่ามีความรักอยู่จริง ผู้ชายทุกคนหวังเพียงร่างกาย และเงินทองที่เธอปรนเปรอ จึงไม่แปลกที่เธอต้องการเป็นควบคุมมัน มากกว่าการถูกควบคุม
หลังจากออกจากโรงพยาบาล รักษาร่างกายเป็นปกติ เพื่อนๆ จึงนัดรวมตัวกันเลี้ยงรับขวัญพัศวี โดยได้รับการเสนอตัวรับผิดชอบ และมอบบันเทิงจากผับ อินดีส สถานที่เกิดเหตุ ให้กับเขาเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาเป็นสมาชิก VIP ที่มาใช้บริการบ่อยกว่าคนอื่นๆ แต่กลับต้องมาประสบเหตุ ณ ที่แห่งนี้
พัศวี และสืบสาย ที่ถึงตอนนี้สืบสายไม่ห่างจาก พัศวีเลย ทำตัวเป็นเหมือนบอร์ดี้การ์ด คอยเทคแคร์ดูแลเขาเป็นอย่างดี
“คุณสืบครับ ผมหายดีแล้ว คุณช่วยทำตัวปกติได้ไหมครับ ใครเขาจะคิดว่าผมกับคุณเป็นคู่เกย์กันแล้ว” พัศวีบ่น เพราะสาวๆ หลายคนเมินและหัวเราะเขา เพราะท่าทีที่ สืบสายคอยหยิบจับนั่นนี่ให้เขา และประคองลุกนั่ง
“คุณพัศครับ สาวๆ นั้นอันตราย และตอนนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคุณครับ ผมแค่ทำหน้าที่เพื่อนที่ดี” สืบสายยกแก้วให้ แล้วหัวเราะ
ณัฐการมาพร้อมกันกับมัสยา ทักทาย 2 หนุ่ม ครั้งก่อนที่เคยดื่มด้วยกัน ทำให้ทุกคนเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน โดยมี นับหนึ่งและสืบสายเป็นตัวกลางที่ทำให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกัน ยิ่งพอทราบข่าวที่พัศวีถูกทำร้าย ต่างตกใจและเป็นห่วง มีน้ำใจไปเยี่ยมที่โรงพบาลกันอยู่หลายครั้ง วันนี้จึงยินดีที่เขาหายดีแล้ว และมาสนุกร่วมกัน
“เพื่อนสาวฉันยังไม่มาอีกเหรอ” ณัฐการถามหานับหนึ่ง
“ธนญไปรับ เดี๋ยวคงมาแล้ว” สืบสายตอบ
“อ้าว! แล้วนี่เธอมาสองคนเหรอ อีก 2 คนไปไหน” พัศวีถามถึง พัฒนารัตน์กับเนื้อน้อง
“สองสาวติดกิจกรรมชมรม แต่ฝากความคิดถึง และยินดีที่นายหายป่วยมา” มัสยาตอบแทนเพื่อน
ด้วยความข้องใจ ณัฐการชิงถามพัศวีก่อน ด้วยเธอเองรู้จักกับ 3 หนุ่มมาก่อนคนอื่น และค่อนข้างจะคุ้นเคยกับพวกเขามากกว่า จึงคิดว่าไม่น่าจะทำให้เขาขุ่นเคือง เพราะสิ่งที่จะถาม มันมาจากความเป็นห่วง
“พัศ นายมาที่นี่ ไม่กลัวเจอโจทย์เหรอ” ณัฐการทำท่าเหมือนกระซิบ แต่เสียงนั้นเหมือนจะตะโกนแข่งกับดนตรีมากกว่า
“ไม่อ่ะ เจอสิดี ฉันจะได้จัดการเอาคืน” คิดแล้วเขาก็ยั้วขึ้นมาทันที แล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดกหมดแก้ว
สิ้นคำ สายตาของพัศวีพลันเหลือบไปเห็นเกศิตาที่อยู่อีกมุมหนึ่งเงียบๆ จ้องมองเขา ด้วยสายตาที่เอาเรื่อง ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มหน้าตาดี ประกบข้าง ทำให้เขาจำได้ทันที ว่าสองคนนั้น คือคนที่ทำร้ายเขาครั้งก่อน
“ผู้หญิงคนนั้น กันไอ้สองคนที่นั่งอยู่มุมโน้นที่ทำร้ายฉัน” พัศวี เอียงศีรษะกระซิบที่ข้างหูสืบสาย
“เฉยไว้ก่อน รอนญมาก่อน” สืบสายตอบกลับ
ไม่ทันขาดคำ ธนญ และนับหนึ่ง เดินตรงเข้ามาหากลุ่มเพื่อน พลันมองตามสายตาของพัศวีที่โกรธ และสืบสายกำลังจับจ้อง ไปอีกทิศทางหนึ่ง เขาจึงจำได้ว่า คนที่พัศวีกำลังจ้องอยู่ คือหญิงสาวที่เคยมาอ่อยเขาและพัศวี ในเช้าวันรุ่งขึ้น พัศวีก็ถูกทำร้าย
“ผู้หญิงที่สั่งลูกน้องทำร้ายพัศวี นั่งอยู่โน่น” เขาเอียงคอกระซิบที่ข้างหู เป็นนัยให้รู้ตัวไว้ก่อน นับหนึ่งจึงมองตามเขาไป
และพบว่าสาวคนนั้นดูสวยสง่า และเฉียบคมมาก เธอดูมีเสน่ห์เย้ายวน จนยากจะห้ามใจ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังเป็นที่ต้องตาและอดชื่นชมได้ หากในค่ำคืนนั้น คนที่ติดกับของเธอคือ ธนญ นับหนึ่งจะรู้สึกเช่นไร หากแต่เป็นเธอที่เลือกพัศวี นั่นย่อมหมายความถึง มีบางสิ่งที่พัศวีทำให้เธอหลงใหลมากกว่า ธนญ นับหนึ่งจึงคิดแผนการช่วยเพื่อนเพื่อเอาคืนเธอ และทดสอบอะไรบ้างอย่าง
นับหนึ่งและธนญ มาถึง และทักทายเพื่อนๆ แต่เธอไม่ได้นั่งลงข้างณัฐการหรือธนญเหมือนเคย นับหนึ่งเข้าไปนั่งข้างพัศวี และคล้องแขนเขาไว้ โน้มตัวเข้าหา และกระซิบบางอย่าง ซึ่งการกระทำนี้อยู่ในสายตาของเกศิตา และทำให้ ธนญ ถึงกับขมวดคิ้ว แต่พัศวีกลับหัวเราะชอบใจ
“มีอะไรกัน สองคนนี้ ฉันว่ามันแปลก” ณัฐการหลิ่วตามอง พฤติกรรมที่แฝงไปด้วยเลศนัยของนับหนึ่ง
“มีเรื่องสนุกน่ะ” พัศวีตอบ และส่งสายตาให้นับหนึ่ง ทำให้ธนญนึกฉุนขึ้นมา แต่เก็บอาการเอาไว้
เครื่องดื่มถูกเสิร์ฟให้ทุกคนจนครบ ท่ามกลางบรรยากาศความเป็นกันเองในกลุ่มเพื่อนๆ และนานเป็นเดือนที่พัศวีไม่สามารถใช้ชีวิตหนุ่มเจ้าสำราญ บริหารเสน่ห์ให้สาวๆ เขาปล่อยอารมณ์เต็มที่ ในขณะที่เกศิตาเฝ้ามอง เธอกลับนึกโกรธที่เขากลับมีความสุข แต่เธอกลับมีอารมณ์ขุ่นมัวมาตลอด 1 เดือนเต็ม ทีคิดถึงแต่เรื่องของเขา
เกศิตา ตัดสินใจเดินมาหา และกล่าวทักทาย ด้วยรอยยิ้มที่ดูจะเป็นการแสยะยิ้มมากกว่า แต่เธอพรุ่งเป้าไปที่ ธนญ เหมือนครั้งก่อน เธอนั่งเบียดเขาที่พนักวางแขนอย่างถือวิสาสะ
“เราไม่ต้อนรับ” ธนญ กล่าวเสียงเย็นชา จนทำให้นับหนึ่งหัวเราะ เกศิตาสะบัดหน้า จ้องเธออย่างมาดร้าย
“คุณควรกลับไป” พัศวีออกปากไล่
“ใจเย็นสิเด็กๆ”
เธอทำเหมือนพวกเขาอ่อนต่อโลก โดยการประชดว่าเป็นเขาเป็นแค่เด็กน้อย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ เหมือนกับกำลังจะบอกว่าเขาเป็นเด็กดี ที่ทำตามคำสั่งพ่อที่ยอมความเธอง่ายๆ
“คุณคะ คุณก็แก่แล้ว จะมาแย่งของเล่นกับเราเป็นเด็กๆ ก็คงไม่ใช่” นับหนึ่งโพร่งออกมาแรง จนคนรอบข้างสะดุ้ง
“เธอ! ฉันแค่มาทักทายคนรู้จัก” เกศิตา ตวาดเสียงใส่นับหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เกศิตาอายุมากกว่าพวกเขาเพียง 2-3 ปีเท่านั้น แต่นับหนึ่งกลับบอกว่าเธอแก่ ทั้งโกรธและเสียหน้า
“แต่คนรู้จักของคุณ เขาเป็นคนของฉัน” นับหนึ่งเน้นเสียง
“แล้วที่เธอกอดแขนอยู่นั่นคนของใคร” เกศิตาโต้กลับ
“ผู้ชายสามคนนี้เป็นคนของฉัน” นับหนึ่งจ้องตอบและจิกเสียงแข็ง ณัฐการและมัสยารู้สึกตกใจ ไม่เคยเห็นนับหนึ่งในสถานกาณ์แบบนี้มาก่อน และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนนั้นเบอร์ 1 คนนี้เบอร์ 2 และ 3” ธนญแทบสำลัก เมื่อได้ยินนับหนึ่งแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพวกเขา พัศวีและสืบสายหัวเราะพร้อมกันอยู่ในลำคอ
“อืม” พัศวีผายมือ เป็นเชิงยอมรับ
“ถ้าคุณอยากได้ ฉันจะแบ่งให้ แต่มีข้อแม้นะ ขอผู้ชายสองคนนั้นให้เพื่อนของฉัน” นับหนึ่งต่อรองด้วยหน้าตาจริงจัง จนณัฐการและมัสยาถึงกับอึ้งและเอามือป้องปาก เพราะชายสองคนที่นับหนึ่งขอ หน้าตาหล่อเหลา ดูแข็งแรงบึกบัน สมชายชาตรี
“ได้ งั้นคุณไปกับฉัน” เกศิตาพูดพร้อมลุกขึ้นดึงแขนของ ธนญ แต่เขาสะบัดออก แบบไม่สบอารมณ์
“เฮ่! ฉันบอกว่าจะแบ่งให้ แต่ไม่ใช่เขา คุณเอาคนนี้ไป” นับหนึ่งยื้อแขนอีกข้างของธนญไว้ แล้วดึงพัศวีขึ้น ผลักเขา เบาๆไปหาเธอ ซึ่งแผนการนี้ นับหนึ่งได้เตี๊ยมไว้กับพัศวีแล้ว
พัศวีคว้าแขนของเกศิตา กึ่งจูงกึ่งลากไป ออกจากตรงนั้น โดยสองสาวเพื่อนซี้ของเธอรั้ง 2 บอร์ดี้การ์ดเอาไว้ ทั้ง 5 คน ล้อม บอร์ดี้การ์ดสองคนไว้ และข่มขู่ว่าเรื่องที่พวกเขาเคยทำร้ายพัศวี ควรปล่อยให้พัศวีกับเกศิตาไปเคลียร์กันเอง
พัศวีผลักเกศิตาขึ้นรถของเขา และขับออกไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้เธอไม่ได้พกโทรศัพท์หรือกระเป่าถือใดๆ ออกมาด้วย จึงทำให้เธอตื่นตระหนก เพราะรู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งก่อน พัศวีคงโกรธและแค้นเธอมาก เธอได้แต่นั่งเงียบ ไม่พูดจาใดๆ เอาแต่ครุ่นคิด
“กลัวเหรอ ผมไม่ฆ่าคุณหรอก ผมไม่ได้ใจร้ายแบบคุณ” พัศวียิ้มเยาะ ทำลายความเงียบระหว่างเขาและเธอ
“จะพาฉันไปไหน หากเกิดอะไรขึ้น นายหนีไม่พ้นแน่” เธอทำใจดีสู้เสือ และขู่เขา
“เดี๋ยวก็รู้” เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก
น้ำเสียงของเขาชวนให้ขนลุก ด้วยความเย็นของแอร์ และคำพูดของเขาทำให้เกศิตาขนลุกชัน จนต้องลูบแขนตัวเองขึ้นลงเบาๆ เนื่องจากเธอสวมเพียงชุดเดรสเกาะอกเข้ารูป โดยเสื้อคลุมถูกทิ้งไว้ที่โต๊ะพร้อมกับกระเป๋าและโทรศัพท์
ผ่านไปสี่สิบกว่านาที รถของเขามาจอดนิ่งที่ริมหาดที่เงียบสงบในจังหวัดหนึ่งของภาคตะวันออก ไม่มีบ้านคนหรือโรงแรมที่พัก เส้นทางที่ผ่านเข้ามาก็เป็นเพียงถนนแคบ ๆ ที่ใช้สัญจรกันของคนในท้องถิ่น จากถนนใหญ่เข้ามา ไม่มีบ้านเรือนลัดเลาะไปตามชายหาดเล็กๆ ที่ไม่ได้สะดุดตาพอจะเป็นที่ท่องเที่ยว
เกศิตา เริ่มคิดไปในทางร้าย ว่าเขาอาจจะแก้แค้นเธอ โดยการนำมาฆ่าทิ้งทะเล เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอถึงกับรนราน เปิดประตูและพยายามที่จะวิ่งหนีเขา แต่เพราะความมืดจึงมองไม่เห็น และเส้นทางก็รกเต็มไปด้วยหญ้าและต้นไม้ กอปรกับร้องเท้าส้นสูงที่แหลม ทำให้การทรงตัวในพื้นที่ขรุขระทำได้ยากลำบาก
พัศวีคว้าตัวเธอไว้ทัน และอุ้มกลับมาที่รถ เธอดิ้นอย่างสุดกำลัง ขัดขืนเขาโดยใช้การทิ้งน้ำหนักตัว และสองขาถีบกลางอากาศ เพื่อให้หลุดจากพันธนากรในอ้อมแขนของเขา พัศวีเหวี่ยงเธอลงที่พื้น ผลักเธอลงแนบกับกระโปรงท้าย ค้ำแขนทั้งสองข้างกันเธอไว้ ไม่ให้หนี กรงมนุษย์ที่แข็งแรง ชายหนุ่มร่างกายกำยำ เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่น แทบไม่รู้สึกถึงแรงผลัก หรือแรงตบตีของเธอ เขาปล่อยให้เธอดิ้นรน จนหยุดไปเองในที่สุด
“อยากรู้นักจะเก่งสักแค่ไหน” เขาทำท่าจะตบเธอ แต่ทุบลงบนฝากระโปรงดังปัง จนเธอกรีดร้อง เขาได้แต่หัวเราะชอบใจ
“ “ เธอกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความกลัว แต่ไม่ร้องขอให้ปล่อย หรือไว้ชีวิต
เขาก้มหน้าลงใกล้จนริมฝีปากจรดกับริมฝีปากของเธอ เกศิตาเบือนหน้าหนี เพราะเธอไม่ต้องการรอยจูบหรือ ให้เขาเป็นฝ่ายควบคุมความต้องการของเธออีก ร่างที่สั้นเทิ้ม ทำให้เขาสะใจไม่น้อย การอยู่เหนือเธอทำให้เธอดูอ่อนแอ และไร้เรี่ยวแรง ผิดกับการแสดงออกก่อนหน้าที่ทำตัวเหมือนนางพญา มีบอร์ดี้การ์ดคอยปกป้อง จะคิดจะสั่งให้ทำร้ายใครก็ได้ตามใจ
เขาจับเธอพลิกคว่ำลงกับฝากระโปรงรถ รั้งกระโปรงของเธอขึ้น และกระชากชั้นในจีสติง ลงมาที่โคนขา เธอพยายามดิ้นรนเพราะหากเขาสามารถสอดใส่ในร่างกายเธอสำเร็จ เธอจะต้องสูญเสียการควบคุมให้เขาอีกเป็นครั้งที่สอง
พัศวีไม่ได้ทำอะไรเธอในทันที แค่แนบร่างกายของเขาลงบนร่างของเธอ จุมพิษเบาๆไปตามแผ่นหลังและแนวไหล่ที่เปลือยเปล่า
“คุณชอบ ที่โล่งๆ กลางแจ้ง ใต้ท้องฟ้าและทะเลดวงดาว แต่เสียดาย วันนี้ไม่มีแสงจันทร์ “
เขาใช้น้ำเสียงเย้ยหยันเธอ และผละออกมาถอดเสื้อผ้าของตัวเองช้าๆ ถึงแม้เกศิตาอยากจะหนีจากเขา แต่ด้วยความมืดและไม่รู้จักทาง ทำให้เธอรังเร ไม่รู้จะวิ่งไปทางไหน เขาคว้าเอวเธออีกครั้ง เขาเปลือยท่อนบน แม้อาวุธของเขาที่ดุนพร้อมผงาดเข้าไปในกายเธอ แต่เขากลับยังไม่ใช้มันกับเธอ ชั้นในที่ถูดรูดลงมาที่โคนขา รั้งขาทั้งสองของเธอ เขากอดเธอไว้นิ่งๆ
“วิธีที่เธอทำกับฉัน มันง่าย แต่วิธีที่ฉันจะทำกับเธอนี่สิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต และหยุดไป
“ใครใช้ให้นายมากล้าดีทำกับฉันแบบนั้น” เธอเค้นเสียง
“ฉันไม่ได้สั่งให้พวกเขาฆ่านายก็ดีถมไป” เธอทวงบุญคุณ
“ฉันทำอะไรเธอ นอกจาก เซ็กซ์ บ้าๆ ที่ร้องขอ ตอบสนองเธอไม่พอหรือไง ถึงขั้นต้องตีให้ตาย”
เขาบีบที่ต้นแขนของเธอด้วยแรงโกรธ เมื่อคำพูดของเธอฟังดูโหดเหี้ยมและอำมหิต ทั้งที่ตอนนั้นเธอต่างหากที่ต้องการเขามาก จนไม่สามารถยับยั้งกายและใจของตัวเอง ยอมเขาทุกอย่าง ไม่รู้จักกี่ครั้ง อุปกรณ์ที่มีเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งวิธีการที่นุ่มนวลหรือจะดิบเถือน
“นายทำเหมือนฉันเป็นของเล่น เป็นสัตว์เลี้ยง และยังคิดจะแบล็คเมล์ฉันด้วยวีดีโอนั่น”
เธอพรั่งพรูออกมาด้วยความคับแค้นใจ ถึงแม้สิ่งที่ทำร่วมกันกับพัศวีจะสุดวิเศษ แต่การบันทึกเก็บภาพไว้เป็นหลักฐาน มันน่ากลัวสำหรับเธอ และบริษัท ถึงแม้ครอบครัวของเธอจะคอยช่วยเหลือมาตลอด แต่หากภาพนั้นหลุดออกไป จะส่งผลต่อความเชื่อมันของบริษัท และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวได้
เพราะลึกๆในใจ เธอต้องการการยอมรับจากคนในครอบครัว ความรักจากพ่อ และพี่น้องต่างมารดา ไม่ใช่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ทำหน้าที่แค่บริหารบริษัทให้ได้ผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ ให้กับพวกเขาเพียงเท่านั้น พวกเขายอมรับและดีกับเธอเพราะสิ่งนี้ แต่ถ้าหากกลุ่มธุรกิจในเครือ ได้รับผลกระทบกับข่าวฉาว ภาพหลุด ย่อมหมายความว่าเธอหมดประโยชน์ และหมดความหมายกับคนเหล่านั้น น้ำตาที่ไหลซึมช้าๆ ทำให้พัศวีมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนลง และไม่เข้าใจ
เพราะตลอดเวลาเขาคิดเพียงแค่ เธอเป็นผู้หญิงรักสนุก มองหาหนุ่มๆ ที่เธอพึงใจไว้สำเร็จความใคร่ให้กับตัวเอง มีรสนิยมทางเพศที่ตื่นเต้นเร้าใจ ไม่เกี่ยงสถานที่ ไม่เกี่ยงวิธีการ ซึ่งไม่ต่างกับเขา ที่ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ มีแล้วก็แล้วไป หาคนใหม่ๆ ไปเรื่อย แล้วแต่โอกาส ส่วนการบันทึกวีดีโอมันก็แค่ของเล่นที่เขาทำไว้ดูส่วนตัวแก้เหงาไม่คิดจะนำไปเผยแพร่ หรือแบ่งให้ใครดู
“ในเมื่อกล้าสั่งคนทำ ทำร้ายฉัน เธอก็ควรจะรับผิดชอบมัน”
เขาตบเธอเต็มแรงหนึ่งครั้ง เธอไม่มีโอกาสปกป้องตัวเอง ใบหน้าของเกศิตา สะบัดตามแรงกระแทกลงกับตัวถังรถ ก่อนที่จะล้มลง หยดเลือดแดง ไหลซึ่มที่มุมปาก เธอใช้ฝ่ามือเรียวขาวซีด เพราะความหนาวเย็น ประคองแก้มของตัวเอง จนรู้สึกถึงไออุ่นจากแก้มที่กำลังบวมช้ำ นั่งจ้องเขาด้วยดวงตาที่โหมไปด้วยไฟโกรธ แต่ไม่ขยับหรือพูดอะไร เพราะรู้ว่าตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างของเขา
พัศวี โกรธตัวเองที่เสี้ยวเวลาหนึ่งที่ใจอ่อนเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ และกลับทวีความโมโหเมื่อเธอ นิ่งเงียบ ไม่พูดหรือขอร้องเขา อีกทั้งยังส่งสายตาก้าวร้าวและดึงดัน
พัศวีกระชากแขนของเธอขึ้น แต่แล้วก็ต้องตกใจที่แขนของเธอนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง เขาจึงเปิดประตูหลังและผลักเธอขึ้นไปที่เบาะหลังแทน เกศิตาขยับตัวหนีให้พ้นมือที่เขาพยายามจะขอดูแผลที่ริมฝีปาก ราวลูกแมวน้อย ใช้เล็บทั้งจิกและข่วนเขาให้พ้นการพยายามจับใบหน้า ในพื้นที่แสนแคบ เขาล็อคข้อมือน้อยๆ ของเธอไว้ ยึดโยงขึ้นเหนือศีรษะ จนไม่สามารถขยับ
“ร้ายนักนะ”
พัศวีเริ่มหงุดหงิด และไม่ได้รื่นรมก็การแข็งขืนของผู้หญิงมากนัก เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยขืนใจใคร มีแต่คนสมยอมเขา และปฏิบัติต่อเขาราวกับราชา ปรนเปรอสวาทเขาด้วยความเต็มใจ แต่ครั้งนี้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ากลับทำสิ่งตรงข้าม มาครบทุกรูปแบบ ชนิดหวังให้เขาถึงตาย
ท่อนกายที่เปลือยช่วงบน อกแน่นตึง กล้ามเนื้อท้องที่นูนแน่น สัมผัสกับเนินอกอวบอิ่มของเกศิตา ผิวขาวราวไข่มุก เนียนนุ่มและเย็นเฉียบ เมื่อได้รับไอร้อนจากร่างกายของชายหนุ่ม ถึงกับอ่อนแรง หลอมละลายราวกับก้อนน้ำแข็ง เธอหายใจหอบแรง จนอกสั่นสะท้านขึ้นลง เธอเบือนหน้าหนีการจับจ้อง จนลมหายใจของเขารดอยู่ที่ซอกคอ ชวนให้ขนลุก เนินเนื้อใต้ร่มผ้าเริ่มตอดตุบๆ จนแทบระเบิด เพียงแค่ชั่วเวลาที่เขาทาบทับรางของเธอเพียงไม่กี่นาที ที่ปลุกปล้ำกันไปมา
แรงดึงดูของร่างกายที่ตอบสนอง เขาโน้มลงซุกไชร้ใบหน้าและจูบเธอที่ซอกคอ กลิ่นกายสาวหอมหวาน ชวนให้เกิดแรงกำหนัดที่แข็งขึง แก่นกายที่พองโตเบียดแน่นเนินขาขาว จนต้องแยกออกโอบเอวเขาโดยไม่รู้ตัว แรงต้านที่รั้งด้วยชั้นในตัวน้อย แทบดึงให้ขาดจากกันกดผิวเนื้อเนียนนุ่มจนเกิดรอยแดง
“ไม่” เสียงครางของเธอ อยากจะปฏิเสธเขา แต่ไม่สามารถต้านทานพลังในกายของตังเองได้
เขาไม่หยุด และยังพยายามควบคุมเธอ ด้วยความต้องการของเธอเอง แรงบดขยี้ที่เนินเนื้อขบกัดจนเกิดร้อยแดงช้ำ จนร่างกายของเกศิตาไม่อาจต้านแรงของเขาได้อีกต่อไป ปล่อยให้เขาจัดการร่างกายของเธอตามใจชอบ เมื่อร่างบอบบาง เย้ายวน สงบราวสัตว์ป่าที่ถูกปราบให้เชื่อง เขาจึงเริ่มบรรเลงบทเพลงรัก ด้วยท่วงทำนองแผ่วเบา เนิบนาบ เชื่องช้า แล้วจึงเปลี่ยนจังหวะที่เร็วแรง ประดุจเสียงไวโอลิน ที่เสียดสีคันชักแหลมสูง คลอด้วยเสียงกลองที่ดังกึงก้องในใจ กระทบกันตามกันตามจับหวะผิวเนื้อกระแทกกระทั้น เพลงรักที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มบรรเลงด้วยคีย์เสียงที่ต่ำ กลับค่อยทวีเสียงสูง ราวกับจะให้ดังไปไกลถึงดวงดาว
ด้วยความคับแคบ ร่างกายกำยำ แขนขาที่ยาว ทำให้ท่วงท่าที่ดูจะติดขัด จนเขาต้องหลั่งมันในกายเธอด้วยความลืมตัว ความรู้สึกนี้ ทำให้เขาเริ่มสับสน และเสียวสะท้านจนขนลุก การที่ได้ปลดปล่อยในกายเธอ โพรงเนื้อที่อุ่นชื้น มันมีความสุข และรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ร่างกายที่ตอบสนองความต้องการของเธอถึงขีดสุด ร่างกายแทบแตกสลาย เหมือนโดนระเบิดลูกใหญ่ ทิ้งบอม สมองของเธอดับวูบ จนสลบไปในอ้อมแขนของเขา
เวลาผ่านไป พัศวีออกมาด้านนอกเพื่อยืดเส้นยืดสาย สูดอากาศบริสุทธิ์ นานแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสธรรมชาติเช่นนี้ เขาเดินไปหยิบเสื้อเชิตที่ถอดทิ้งไว้บนพื้น สะบัดเม็ดทราย และนำมันมาสวม และจัดให้เข้าที่เข้าทาง หนุ่มหล่อสุดเนี้ยบ ที่ยืนทอดสายตาไปกับคลื่นลมทะเล เป็นภาพที่สวยงาม ราวกับเทพบุตรในฝัน
เกศิตา ค่อยๆ ลืมตารับแสดงแดดอ่อน ร่างกายที่อ่อนล้า สั่นสะท้าน มีเสื้อสูทตัวโคร่งคลุมกาย ภาพทิวทัศน์สวยงามราวภาพฝันตรงหน้า ทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ ทะเลก่อคลื่นเล็กน้อย ท้องฟ้าสีคราม หาดทรายขาวสะอาด พัศวียืนอยู่ที่ริมหาด ด้วยเสื้อผ้าสุดเนี้ยบ ในเชิ้ตสีดำพับแขนแค่ศอก สวมเข้าในกางเกงแสลกแนบขายาว คัทชูหนังเงางาม จมลงในพื้นทราย มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ พูดคุยปลายสายด้วยรอยยิ้ม และดูสดใส ผมที่ถูกลมพัด สะบัดเป็นริ้ว ราวกับคลื่นตามแนวหยักศก
เกศิตาหลับไปค่อนคืน พยุงร่างพิงกับเบาะ สำรวจร่างกายตัวเอง จึงรู้ว่ากางเกงชั้นในถูกดึงออกไปกองที่ข้อเท้า ด้วยความตกใจ และเริ่มรู้สึกตัว จึงรีบดึงมันขึ้นปิดของสงวน และจัดให้เข้าที่ ชุดเดรสเกาะอกยังถูกสวม ไม่ได้ถอดออก มันแค่ร่นออกจากเนินอกจนเห็นหัวนมโผล่พ้นข้างหนึ่ง แดงช้ำจากการดูดกัดของเขา รอยขบจนแดงช้ำรอบริเวณ จ้ำแดงๆ ไล่ไปตลอดแนวคอถึงติ่งหู จนเธอรู้สึกร้อนวูบวาบ และไม่รู้จะปกปิดมันด้วยสิ่งใด มีเพียงเสื้อสูทที่เขาทิ้งไว้ให้คลายหนาว
เธอกระชับเสื้อของเขาก้าวลงจากรถ เกศิตา คิดจะหนี จากไปขณะที่เขายังติดสาย แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด หันมองไปรอบๆ ไม่พบหนทาง ผู้คน บ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง การอยู่กับเขาอาจจะปลอดภัยกว่าการไปในที่ ๆ ไม่คุ้นเคย ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน พัศวีก็ดึงเธอไว้
“ขึ้นไป” เขาผลักเธอให้นั่งประจำข้างคนขับ ปิดประตู แล้วขึ้นประจำตำแหน่งพลขับ ออกรถอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร
เขาแอบมองรอยช้ำที่เขาตบเธอที่มุมปาก รู้สึกผิด และสงสารเธอ ใบหน้าขาวซีดไร้เครื่องสำอาง เนื่องจากถูกลบจากคราบน้ำตาและเหงื่อจนหมด เห็นเส้นเลือดคล้ำ เรียวปากที่ซีดเซียวจากลิปติกที่ลบเลือน มีคราบเลือดแห้งเกรอะกรังติดอยู่ และบวมเขียว เธอหันหน้าไปทางอื่น เหม่อมองไปด้านข้าง เอนกายพิงเบาะเงียบๆ จนผล็อยหลับไป
สูทสีดำตัวโคร่ง ที่เธอใช้ปกคลุมร่างกาย เลื่อนตกลงไปกองที่ตัก ทำให้พัศวี มองเห็น รอยช้ำต่างๆ ที่เขาทำไว้กับเธอชัดเจน นึกโกรธตัวเอง ที่ทำกับเธอได้ขนาดนี้ แต่เมื่อนึกถึงวันที่ตัวเองนอนเข้าเฝือกเป็นเดือนในโรงพยาบาล ความสงสารเปลี่ยนเป็นความสะใจ
เขาพาเธอมาที่บ้านพักตากอากาศบนเขา ในเมื่อมันเป็นวันหยุด เขาจึงตั้งใจจะใช้เวลาเอาคืน และทรมานเธอเล่นๆ ค่อยส่งเธอกลับในวันทำงาน สำหรับปัญหาอื่นๆ ธนญ และเพื่อนๆ ได้จัดการให้เขาเรียบร้อยแล้ว เพราะคนของเธอไม่มีทางนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งกับพ่อของเธออย่างแน่นอน
แม่บ้านที่ดูแลบ้านพักบนเขา ทำอาหารอ่อนๆ จัดเตรียมไว้บนโต๊ะ หลังจากที่เขาสั่งให้เกศิตา ไปอาบน้ำชำระร่างกาย คนของเขาไม่ใช่คนพูดมากสอดรู้สอดเห็น และพัศวีเองพาผู้หญิงมาค้างที่นี่บ่อยครั้ง มากหน้าหลายตามสับเปลี่ยนไปไม่เคยซ้ำ จึงไม่รู้สึกแปลกใจ ที่จะมีผู้หญิงคนใหม่มาอีกคน
“ทานสิ ป้าศร เตรียมให้แล้ว” เขาบอกเธอ เมื่อเห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดเสื้อยืด และกางเกงผ้าพื้นเมืองเดินออกมาจากห้อง หลังจาที่กเธอนั่งประจำที่เรียบร้อย เขาจึงเดินเข้าไปในห้องที่เธอเพิ่งออกมา เพื่อจัดการกับตัวเอง แต่ไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถ และโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องน้ำด้วย
เธอค่อยๆ จิบข้าวต้มร้อนๆ ทีละนิด เนื่องจากเจ็บที่ปาก และไม่สามารถอ้ามันออกได้เต็มที่ อาหารที่จืดชืด แต่แสนอร่อยสำหรับหญิงสาวที่หิวโหย เธอจัดการมันจนเกลี้ยง ดื่มน้ำผลไม้ นม และทุกอย่างที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ จนพัศวีถึงกับตกใจในสิ่งที่เห็น เมื่อเขาออกมาและอดหัวเราะเธอไม่ได้
เขานั่งลงใกล้ๆ และใช้สำลีพันปลายไม้ บีบยาเจลใส่ทาที่มุมปากให้เธอ
“ทายาจะได้ไม่อักเสบ รักษาแผลในปากไม่กี่วันก็หาย” เขาทายาให้เธออย่างเบามือ ไม่รู้สึกถึงแรงกด ขณะที่เกศิตาจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา และเขาเองก็จ้องกลับเช่นเดียวกัน
เมื่อสองหนุ่มสาวประสานสายตากัน จิตใจที่อ่อนไหวของเกศิตาไม่อาจทานต่อสายตาของเขา ถึงเธอจะดูแข็งกร้าวภายนอก แต่ภายในนั้นบอบบาง และแสนจะเจ็บช้ำ เธอหลบสายตาหันจับจ้องสิ่งอื่น ทำให้พัศวียิ้มอย่างมีชัย
“จะปล่อยฉันเมื่อไหร่” เธอจับมือที่กำลงทายาให้เธอลง
“พรุ่งนี้”
เขาตอบเท่านั้น แล้ววางก้านสำลีและหลอดยาลงบนโต๊ะ หันมาดูอาหารที่เหลืออยู่ เธอยังเหลือสปาร์เก็ตตี้ผัดขี้เมาไว้ให้เขา และลงมือรับประทานโดยไม่พูดอะไรอีก
“ค้างคืนที่นี่เหรอ” เธอถาม และออกสำรวจด้านนอกระเบียงสูงที่ทอดอยู่เหนือผาสูง มองเห็นกลุ่มหมอกจางๆ ที่เริ่มบางตา เพราะสายมากแล้ว
เขาไม่ตอบ แค่มองดูเธอจากด้านหลัง ที่กำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพ และความสวยงามของธรรมชาติป่าเขาที่สมบูรณ์ เกศิตาสูดหายใจแรงๆ เอาอากาศที่สดชื่นเข้าเต็มปอด ยืนกอดอกหลับตาพริ้มอยู่อย่างนั้น
“เดี๋ยวจะพาออกไปซื้อของใช้จำเป็น” เขากระซิบจากจากด้านหลัง และโอบรอบเอวเธอ จนเกศิตาตกใจ ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเธอมาก่อน
“ทำไมต้องสะดุ้งแรงทุกครั้งที่กอด” เขาถามเธอตรงๆ
เธอไม่ตอบ พยายามเอามือเขาออก แต่ไม่เป็นผล
“คืนนี้ ที่นี่” เขาบอกสิ่งที่จะทำในค่ำคืนนี้กับเธอ พร้อมกับสอดมือลงไปที่หว่างขา เธอยืนตัวแข็ง เขาจงใจเกินไป เธอไม่ได้ต้องการมันทั้งวันทั้งคืน
เขาพาเธอไปที่ร้านขายยาในเมือง เพื่อซื้อยาคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย หน้าตาที่แดงกร่ำของเธอ ทำให้เขาแปลกใจ
“จะหน้าแดงทำไม อายเภสัชเหรอ” เขาถามเธอเมื่อขึ้นมาบนรถ
“นายซื้อมามากเกินไป” เธออ้อมแอ้ม ไม่เต็มเสียง
“ซื้อมาให้พอ ไม่ดีกว่าเหรอ หลายๆ แบบ ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบแบบไหน เพราะดูเธอจะชอบทั้งหมด ที่ฉันจัดให้” เขาหัวเราะ
“เขามองฉัน” เธอตอบหน้าง้ำ
พลันทำให้พัศวี คิดสิ่งที่เธอพูด มันสื่อได้หลายแง่ จากการที่เธอเดินเข้าร้านเพื่อยาซื้อยาคุมกำเนิด และถุงยางอนามัยกับเขา เป็นสิบๆ กล่อง มันดูดโชกโชน กร้านโลก และมีศึกใหญ่รออยู่ จนถึงขั้นโหมซื้อมากมายขนาดนี้ และเธอก็สวยมาก คงจะมีกลเม็ดเด็ดพราว นั่นคงจะสื่อกับเธอด้วยสายตาที่เภสัชคนนั้นมองเธอ
คำพูดและท่าทางของเธอ ทำให้เขาได้เห็นมุมที่ต่างออกไป เธอมีความกระดากอาย และคิดถึงการแสดงออกทางสังคม ฉะนั้นเธออาจไม่ใช่คนที่เลวร้ายอย่างที่คิด
การได้มองดู และสูดดมดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมที่กำลังเบ่งบานชูช่อสวยงาม ช่างสร้างความเพลิดเพลินให้แก่นับหนึ่งเป็นอย่างมาก กุหลาบหลากสี ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว มะลิ แก้ว พุดซ้อน ฯลฯ ดอกไม้ไทยต้นเล็กต้นน้อย ที่เธอซื้อมาเพื่อทดลองสกัดน้ำมันหอม ก็มีมากมาย แม้เธอจะขลุกอยู่ในเรือนเพาะชำทั้งวัน ก็ไม่มีวันเบื่อ ห้องทดลองที่กั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซ้อนในเรือนเพาะชำอีกที ของนับหนึ่งได้เริ่มใช้งานมาสักระยะหนึ่งแล้ววันนี้ ธนญ ไม่ได้มาหาเธอ นับหนึ่งไม่ได้โทรหา หรือถามเขาว่าจะมาไหม เพราะเธอเข้าใจดีว่า บางครั้งคนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวของตัวเอง เวลาสำหรับครอบครัว และเธอเองก็เป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่งของเขา การคบกันของพวกเธอยังไม่ได้ชัดเจน ต่างยังคงมีระยะห่างของกันและกันอยู่หลังจากกลับจาก งานสังสรรค์เลี้ยงรับขวัญ พัศวี ทุกคนต่างแยกย้าย เขาแค่มาส่งเธอ แล้วก็กลับ เธอไม่ได้ชวนเขาอยู่ต่อ ถึงแม้จะอยากให้เขาอยู่ เขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะเข้าไปในบ้าน เขาแค่ส่งเธอหน้าประตูรั้วเท่านั้น
“ทานข้าวเถอะ” นับหนึ่งแตะที่แขน ธนญ เบาๆ ปลุกเขาให้ลุกขึ้นเพื่อรับประทานอาหารเย็นเขาเลิกคิ้ว ด้วยความสงสัย เธอเตรียมอาหารได้อย่างไร เพราะเมื่อมาถึง เขาก็ขอตรงมานอนก่อนเลย โดยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“เอามาจากไหน”เมื่อเขาเดินออกมาที่ระเบียงด้านหน้าบ้านพัก นับหนึ่งจัดเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะเล็กๆ เป็นอาหารพื้น ๆ ไข่เจียว ต้มยำ ผัดเผ็ด และข้าวร้อนๆที่ควันยังกรุ่น อาหารเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ผักสดๆ“สั่งจากร้านของกลุ่มครอบครัวเจ้าหน้า ข้างที่ทำการอุทยานฯ เป็นร้านอาหารที่ทำกันเองไว้บริการนักท่องเที่ยวน่ะ ฉันเห็นนายหลับ เลยอยากให้นอนพัก จะได้ไม่ต้องขับรถออกไปหาของกินอีก”“ขอบใจ”อากาศเริ่มหนาวเย็น แต่ธนญสวมเพียงเสือยืดตัวเดียว นับหนึ่งจึงเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวมาให้ เธอใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย จนเขารู้สึกชื่นชม“ทานได้ไหม” นับหนึ่งมอง ธนญตักอาหารเข้าปาก“ได้สิ มองฉันกินตลอด ฉันไม่ได้กินอะไรยากขนาดนั้น
เขานั่งมองเธอก่อนตัดสินใจย้ายเธอขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะมันอาจทำให้เธอนอนสบายกว่า“ฉันต้องการหกแสน” พระแพงพึมพรำ“หึ” เขาขำในลำคอ ที่ค่าตัวเธอหกแสนเชียวเหรอ“ฉันเกลียดนาย” พระแพงกำลังฝัน และต่อว่าเขาที่มาขัดขวางการยืมเงินของเธอ พร้อมตีเขาที่หน้าอกอย่างแรง“ยายบ้าเอ๊ย! หลับอยู่ยังกล้าตีฉัน”เธอทุบหน้าอกเขาทั้งที่ยังหลับตา สืบสายอุ้มเธอโยนลงเตียง จนเธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างกายเธอบอบช้ำ จากแรงกระแทกที่ตกลงจากรถ ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้สึกตัว และลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นหน้าเขา พระแพงตกใจสุดขีด จึงถลันตัวลุกขึ้นหนีเขา ลืมว่าตัวเองเจ็บอยู่สืบสายคว้าไหล่ของเธอไว้แล้วผลักลงนอนตามเดิม ความกลัวทำให้เธอดิ้นรน หนีจากพันธนาการของเขา เขาจึงใช้ร่างกายของเขากดเธอไว้กับที่นอน แขนทั้งสองข้างถูกล็อคไว้เหนือศีรษะ ร่างของเขาทับเต็มตัวกดทับลงที่หว่างขาจนไม่สามารถขยับได้“หยุด” เขาคำราม&ld
แขนที่เกร็งเริ่มอ่อนแรง เปลี่ยนเป็นสัมผัส ลูบไล้แผ่วเบา เขาประคองแก้มพระแพงไว้เต็มฝ่ามือ จุมพิตดูดดื่มแผ่วเบา ปลายลิ้นบางสอดรับปลายลิ้นของเขาที่ซอกซอนกระพุ้งแก้ม ขาทั้งสองข้างตวัดรอบสะโพกที่สอดเข่าทั้งสองเพื่อแอ่นสะโพกผายของเธอให้รับแก่นกายที่ตั้งตรงได้มุม แต่มันทำหน้าที่เพียงสัมผัสหน้าปากถ้าที่ปกคลุมพุ่มริ้วสีดำหยิกขอด เสียดสีไปมาสร้างความเพลิดเพลินทีละน้อย รอจนกว่าปลายกลีบจำปาจะเผยอออก พร้อมน้ำหวานเขาจับมือเธอให้กุมที่แท่งลำของเขา และประคองมือเธอไว้ เขาสอนวิธีสัมผัสที่ช่วยให้เขารู้สึกกระสัน และปล่อยมือให้เธอได้ทำด้วยตัวเอง ก่อนจะทำมันให้กับเธอบ้าง ปลายนิ้วที่กรีดไปตามรอบแยก ขึ้นและลงช้าๆ หนักบ้าง เบาบ้าง จนเธอครางออกมา“ช้าหน่อย”เขากระซิบบอกเธอที่ข้างหู เมื่อเธอสัมผัสเขารุกเร้าเร็วเกินไป เพราะหากแรงกระสันมันมากเกินจะทนได้ เขาอาจจะต้องรุกเธอก่อนถึงเวลาที่ร่างกายเธอพร้อม เขาค่อยๆสอดนิ้วกลางเขาไปจนมิด ร่างของเธอแอ่นรับอัตโนมัติ ไม่ต่อต้าน ดูเหมือนความเจ็บปวดจะจางหายไปแล้ว เพราะร่างกายเธอต้องการเขามากกว่า แรง
สืบสายหายไปเกือบสัปดาห์ แต่พระแพงกลับไม่โทรหาเขาเลยสักนิด เขาเองก็ไม่ เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานเท่าไหร่ เขาบอกว่าเมื่อเธอทำงานให้เขาแล้วจะปล่อยเธอไป แต่เขากลับยังไม่บอกเธอให้ชัดเจนว่าเมื่อไหร่ หรือถ้าต้องการเธอ 60 ครั้งอย่างที่บอก แต่เขากลับไม่มาหาเธอเลย แล้วจะอีกนานแค่ไหนกันที่เธอต้องอยู่ที่นี่ โดยไม่สามารถติดต่อใครได้เลยความคิดต่างๆ ประดังประเดเข้ามาจนสับสนไปหมด พระแพงขดตัว กอดเข่าชั้นอยู่มุมหนึ่งของโซฟา ผล็อยหลับไปอย่างรู้ตัวสืบสายเปิดประตู แล้วต้องแปลกใจที่ทั้งห้องมืดราวกับไม่มีคนอยู่ เขาสงสัยว่าพระแพงแอบหนีออกไปข้างนอก เพราะเขาไม่ได้มาหาเธอเกือบสัปดาห์ เมื่อเปิดไฟในห้องเขาก็ต้องตกใจที่เห็นเธอนอนขดตัวอยู่บนโซฟา และไม่รู้สึกตัวว่าเขาได้เข้ามาในห้องเลยด้วยซ้ำเขาตรงไปอุ้มเธอขึ้น เพื่อย้ายไปนอนที่เตียง พระแพงก็รู้สึกตัวและรีบดีดตัวหย่อนขาลงที่พื้น เพื่อยืน ด้วยอาการที่ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าเขาจะมา เธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย และออกจะล่อแหลม เธอจึงรีบวิ่งไปหยิบเสื้อยืด
ธนญ พานับหนึ่งมาที่คอนโดหรูติดริมแม่น้ำ มองเห็นทิวทัศน์แม่น้ำและสะพานข้ามต่างๆ สวยงามชัดเจน มันเป็นห้องส่วนตัวของเขา ที่ใช้เวลามาดื่มกับเพื่อนที่ผับ หรือสโมสร ตั้งแต่คบกับเขามานับหนึ่งไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวใดๆ กับเขาเลย จะรับรู้ต่อเมื่อเขาเป็นฝ่ายเล่าให้เธอฟังเอง เพราะเธอเคารพในความเป็นส่วนตัวของเขา เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยถามเธอก่อน มีแต่เธอเล่าให้เขาฟังก่อนเสมอ“ที่นี่สวยจัง” เธอมองทิวทัศน์ผ่านผนังกระจกหนา ที่เปิดม่านออกจนหมด“ห้องนี้ฉันซื้อไว้นอนกับผู้หญิง” เขาตอบเธอตรงๆ นับหนึ่งเบิกตากว้าง หันขวับมามองเขา“บางเรื่องไม่ต้องบอกฉันก็ได้” เธอต่อว่า“รู้ทีหลังจะมาโกรธฉัน”“ถ้าเขายอมนาย และนายก็ชอบ ฉันจะมีสิทธิ์ว่าหรือโกรธอะไรนายได้ล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ฉันไม่ชอบการมีแฟน” คำพูดของเขาทำให้นับหนึ่งหายใจติดขัด แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้“เราสองคนเป็นอะไรกันเหรอ” นับหนึ่งถามเขาตรงๆ“เพื่อน&rdq
หลังจากวันที่เธอตัดสินใจจบความสัมพันธ์ทางกายกับ ธนญ ความเป็นเพื่อนของทั้งคู่ก็จบลงด้วย แม้จะเจอกันในห้องเรียน ต่างฝ่ายต่างไม่เคยแม้แต่มองหน้ากัน นับหนึ่งเป็นคนที่เข้มแข็งแม้จะถูกหญิงสาวที่เคยอิจฉาเธอค่อนแคะ เธอก็ไม่โต้ตอบ หรือแสดงความโกรธหรืออารมณ์ใดๆ ให้ใครเห็นระหว่างสืบสายและพัศวี เธอยังคงพูดคุยด้วยปกติ แต่เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทของธนญ จึงต้องเมินเธอบางครั้งที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เพื่อไม่ทำให้นับหนึ่งลำบากใจ มีแค่รอยยิ้มที่เห็นใจและเข้าใจเธอเท่านั้นฝนที่กำลังกระหน่ำปลายฤดู ราวกับพายุ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้นักศึกษาทั้งชายหญิง ต่างพากันวิ่งเข้าใต้อาคาร โดยไม่ได้มองว่าใครเป็นใคร นับหนึ่งวิ่งชนกับใครคนหนึ่ง จนล้มลง เป้และของที่ถือมากระจายหล่นลงบนพื้นที่เปียกแฉะ เธอจงรีบเก็บมัน ทำให้ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เสื้อสีขาวตัวบางแนบเนื้อ ทำให้มองเห็นสรีระ และยกทรงตัวงาม เมื่อเข้ามาใต้อาคาร ผู้คนต่างมองเธอ รูปร่างที่สวยงามเย้ายวน ทำให้หนุ่มๆ ตาระห้อย สาวๆต่างอิจฉา
ปลายลิ้นที่พลิ้วไหวของเขา ที่เนื้อน้องมองมันทำให้เธอเคลิ้มเคล้ม จนต้องดูดนิ้วของตัวเองตามแรงสัมผัสของเขา พัศวีสอดนิ้วของตัวเองเข้าไปในปากอวบอิ่มของเธอเพื่อให้เธอดูดกลืนเขา แทนนิ้วเรียวของเธอก่อนหน้า เขารับรู้ถึงแรงสัมผัสที่ปลายนิ้วของเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาตวัดมันกับกลีบจำปาของเธอ ยิ่งแรงและเร็ว เธอยิ่งดูดกลืนเขาลึกขึ้น เธอมีความต้องการเขาแล้ว เช่นเดียวกับที่เขาต้องการเธอพัศวี โถมร่างกายแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นค่อมร่างบางของเธอไว้ ให้แก่นเสียดสีกับกลีบจำปาของเธอ ก่อนจะก้มตัวลงจูบเธออย่างดูดดื่ม แบบเดียวกับที่เขาจูบเนินเนื้อของเธอ ความหิวโหยของหนุ่มสาวแทบจะรอการกลืนกินกันและกันไม่ไหว แต่ต้องฝีนต้าน เพื่อความหฤหรรษ์ที่รอคอยกันมานาน“ต้องการมันไหม” เขาถาม“ฉันต้องการ” เนื้อน้องไม่อยากทนมันอีกแล้ว“เธอจะต้องเจ็บมากนะ” เขากระซิบบอก และเคล้าเคลียเธอไปมา“ขอร้อง” เธอไม่กลัวสิ่งใดอีกต่อไป เธอขอร้องให้เขาดับไฟในตัวเธอ เพราะมันกำลังเผาผลาญเธอแทบมอดไหมพัศวีจูบ
อาการบอบช้ำตามร่างกายของวิกรม ทุเลาลงมาก เขาร้อนใจ เมื่อพนมกรมารายงานความคุ้มคลั่งของอักษะที่นับวันจะทวีความรุนแรง และออกคำสั่งที่ดูเหมือนคนขาดสติและมิได้ไตร่ตรอง เรื่องหนึ่งไม่ทันจะหายเรื่องใหม่ก็เข้ามาพนมกรประคองร่างที่ยังเดินได้ไม่ดีนักของวิกรมมาที่รถของเขา ก่อนจะรีบเปิดประตูให้วิกรมได้นั่งสบายๆที่เบาะหลัง เขาปฏิบัติต่อวิกรมต่างจากอักษะ ราวกับวิกรมนั้นเป็นนายใหญ่แทนอักษะเสียอีก ดูจะมีความเคารพยำเกรงและเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเสียด้วยซ้ำไม่ทันที่พนมกรจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงโทรศัพท์ของวิกรมก็ดังขึ้น“เรื่องที่ผมเคยขอให้คุณวิกรมลองตัดสินใจ ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไม่รอคำตอบจากคุณอีกแล้วครับ ผมเลือกแล้ว”“มีอะไรหรือคุณเมืองนาย คนของผมเพิ่งมารับผมออกจากโรงพยาบาลวันนี้”“คุณวิกรมทบทวนข้อเสนอของนายธนญหรือยัง ก่อนหน้าที่ผมเคยบอกกับคุณไว้ ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี และผมฝากคุณวิกรม ไปบอกท่านอักษะด้วยว่า ผมขอยุติการเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายนั่น ถึงผมจะรักเงินมากแค่ไหน แต่น้องชายของผมก็สำคัญกว่าเงินนั่นมากกว่าเป็นหลายเท่า อย่าได้ริอาจมาแตะต้องน้องชา
พระแพงมองแผ่นหลังกว้างของสืบสาย ที่แสงจันทร์จับเป็นเงาวาววับ เสียงพูดคุยที่เบา แต่น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเข้าใจจากโทนเสียง น้ำหนักเสียงหนักเบาของเขา ที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียดสืบสายรับโทรศัพท์ของธนญที่เรียกเข้ากลางดึก หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจกันผ่านไปไม่นานนัก นับหนึ่งที่หมดแรงหลับไปแล้ว ส่วนพระแพงเองก็ไม่ขยับตัวเมื่อสืบสายประคองศีรษะของเธอออกจากไหล่ของเขา เพื่อที่จะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสืบสายนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า หันหลังให้พระแพงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ปิดคลุมไว้แค่เนินอก จนกระทั้งรู้สึกว่าไออุ่นที่เคยได้รับจากกายของสืบสายหายไป และไหล่ของเธอเริ่มเย็นเฉียบ จนรู้สึกขนลุก อีกทั้งเสียงใครบางคนที่กำลังคุยกับใคร ทำให้พระแพงค่อยๆ ลืมตา และเพ่งมองไปที่แผ่นหลังของสืบสาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขา“ฉันจะให้คงทรัพย์ ส่งคนไปเฝ้าคนร้ายที่โรงพยาบาลทันที ฉันกลัวจะเหมือนคราวที่แล้วอีก คราวนี้เราต้องมีพยานบุคคลให้ได้ แล้วเพื่อนนายเป็นอะไรมากไหม”“เมืองเหนือปลอดภัย แผลแค่ถากๆ แต่เจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกจ
ชายที่ตามไล่ล่าพลอยฟ้า ชะงักฝีเท้าทันที ที่เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ที่รถของพวกเขา แต่ไม่ทันที่จะหลบวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง“หยุดนะ ไม่งั้นฉันยิ่ง”ทำให้ตำรวจนายอื่นประทับลำกล้องขึ้นไกปืนทันที แต่คนร้ายกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่เลยสักนิด พวกเขาวิ่งกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนตำรวจนายนั้นลั่นกระสุนตามทันที จนเสียงดังกึกก้องป่า ราวกับเสียงฟ้าคำรามยามฟ้าฝนกระหน่ำเช่นนี้ พร้อมกับไว่ไล่ตามไป“เกิดอะไรขึ้นครับ”เมืองเหนือที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมภูผารีบตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อได้ยินเสียงปืน“พวกคนร้ายมันวิ่งหนีการจับกุมครับ”“แล้วผู้หญิงล่ะครับ”“เราไม่เห็นคุณผู้หญิง ผมคาดว่าคุณผู้หญิง อาจจะหลบหนี พวกมันถึงวิ่งหน้าตื่นออกมาตามหาไม่ทันระวังตัวแบบนั้น”“หนีหรือ”น้ำเสียงของเมืองเหนือนั้นตกใจ เพราะเขาชำนาญป่าแถบนี้ และรู้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย และมีหุบเหวลึกอยู่มากมาย หากคนไม่ชินทางอาจตกลงไปโดยไม่รู้ตัวฝนที่เบาลง ให้พวกเขาตัดสินใจออกตามล่า พร้อมทั้งตามหาพลอยฟ้าไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนร้ายยังไม่ได้ตัวเธออย่
ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถกระบะเก่าคร่ำคร่า จอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในซอยเล็กๆ ห่างจากบ้านฟ้าร้อยดาวราวยี่สิบเมตร ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจเกินไปนัก ที่จะเป็นที่สนใจของผู้ผ่านไปผ่านมา เพราะปกติจะมีรถที่หลบเข้ามาหาที่จอด เพื่อเข้ามาทานอาหารหรือมาที่คาเฟ่อยู่เป็นประจำ“ผมซุ่มดูอยู่ครับ ห่างออกมาจากหน้าคาเฟ่ราวยี่สิบเมตรครับ ไม่มีใครสนใจเรา ผู้หญิงนักวิจัยที่มาจากขุนวางพร้อมนายเมืองเหนือพักอยู่ที่นี่ครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆครับนาย คนไม่พลุกพล่าน แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนไอ้ภูผาคนสนิทของคุณเมืองนายและน้องชายจะเป็นเจ้าของที่นี่ และมันก็พักอยู่ที่นี่ครับ พวกบนเขามีคนของนายภูผาเฝ้าอยู่ และคอยติดตามเข้าป่าไปพร้อมป่าไม้ครับ ยากมากที่จะเข้าถึง ”ชายคนขับกำลังส่งข่าวถึงใครบางคน ซึ่งปลายสายนั้นรู้จักเมืองเหนือและเมืองนายเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดถึงนักวิจัยหญิง ซึ่งคนเดียวที่อยู่ที่นี่นั่นคือพลอยฟ้า รวมถึงภูผาที่เป็นอุปสรรคของพวกมัน“นายว่าไงพี่”“นายบอกให้รอจังหวะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูพวกมันไปก่อน”ทั้งสองเอนเบาะนอนในรถ พร้อมดับเครื่องและแง้มกระจกไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท พวกมันตั้งใจ
คนของอักษะที่ซุ่มรอดูอยู่บริเวณคอนโดหรูที่พักของตรีทศ รอเวลาที่ลลิตาจะออกมา ในที่สุดเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏตัว ลลิตาที่เดินเคียงคู่มาในชุดลำลองของตรีทศ สองหนุ่มสาวเดินออกมาบริเวณด้านหน้า เดินไปตามฟุตบาททางเท้าเพื่อไปยังร้านอาหารที่ห่างออกไปราว สองร้อยเมตรคนของอักษะรีบส่งสัญญาณไปยังคนที่อยู่ในรถ ส่วนคนที่เดินตามก็ตามมาห่างๆ แต่คอยรายงานเป็นระยะ จนกระทั่งตรีทศและลลิตาถึงที่หมายเนื่องจากเป็นร้านอาหารดัง ราคาย่อมเยา รสชาติถูกปากผู้คนในย่านนั้น ทำให้มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งโต๊ะเสริมล้นออกมายังริมฟุตบาท“วันนี้ลูกค้าเยอะ สงสัยเราคงต้องนั่งข้างนอกนี้แล้วหละ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งได้”“คุณครับด้านในที่นั่งเต็มหมดแล้วครับ”เป็นอย่างที่คิด พนักงานเสิร์ฟออกมาแจ้งตรีทศ เมื่อเขามาถึงและถามพนักงานว่าด้านในยังพอที่นั่งเหลือไหม โดยที่พนักงานนั้นจำเขาได้ดี เพราะตรีทศเป็นลูกค้าประจำ พนักงานเสิร์ฟกุลีกุจอ เข้าไปสำรวจด้านในทันที ก่อนจะกลับออกมาพร้อมความผิดหวัง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรานั่งข้างนอกนี่ก็ได้”ตรีทศตอบและหันไปทางโต๊ะเสริมที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ไกลจากปา
ตรีทศตะแคงใช้ศอกค้ำ ฝ่ามือยันศีรษะของตัวเองไว้ นอนมองลลิตาที่มีอาการงัวเงีย เมื่อแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ห้องนอนที่แสนจะเรียบง่ายสว่างขึ้น เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดออก เธอปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องตอบเขาไป ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือความจริง ลลิตาคิดว่าตัวเองฝันไป เธอกระพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง“ตื่นเถอะ”เสียงของตรีทศบอกเธอว่า ไม่ใช่ความฝัน ลลิตาตกใจรีบลุกขึ้น เธอมองไปรอบๆ นี่มันห้องของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน ตรีทศที่ยังนอนมองลลิตาเหยียดยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลลิตาที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงถูกตรีทศรวบเอาไว้ก่อน ลลิตานั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงยื้อที่เหวียงเข้าหาตัวเขา“คุณทศ ไหนบอกให้ฉันตื่น ฉันจะลุกแล้วนี่ไง”“ผมให้คุณตื่นไม่ได้บอกให้คุณลงจากเตียงเสียหน่อย”ตรีทศกอดรอบเอวลลิตาไว้ เธอนั้นจับท่อนแขนที่แน่นขึ้นของเขา พร้อมทั้งห่อตัว เมื่อตรีทศพยายามซุกไซ้ที่ซอกคอ“นี่สายแล้วนะคะ ไม่ไปทำงานหรือ”“ผมทำงานโปรเจคฯ ไม่ต้องเข้าสำนักงานก็ได้ นี่ไงที่ทำงานผม”“แต่ฉันต้องทำ”“เจ้านายคุณไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขาให้คุณดูแลณัฐกา
ตรีทศและนิอรที่เดินออกมายังโถงส่วนหน้าของโรงพยาบาล ห่างไปไม่ไกลจากตรงนั้น ลลิตานั่งรอณัฐการอยู่ที่ร้านกาแฟ ตามที่ณัฐการบอก โดยตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่กำลังสับสนและหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง“นิอร มาทำอะไรที่นี่น่ะ”ณัฐการในชุดคลุมท้องแสนน่ารัก นั่งอยู่บนรถเข็นที่นางพยาบาลช่วยเข็นมาหาลลิตาที่ร้านกาแฟ“คุณอิ๋ง ไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่คุณออกจากบริษัท พวกเราเหงามากเลยค่ะ เจ้านายไม่พาลูกน้องไปเลี้ยงเหมือนเคย อรขอฟ้อง”“นี่พี่อุ๋งกับพี่หัส ละเลยลูกน้องขนาดนี้เลยเหรอฉันต้องจัดการหน่อยแล้ว”“แล้วนี้มาตรวจครรภ์หรือคะ”ตรีทศมองณัฐการ ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน ณัฐการเองก็มองเขาแว้บหนึ่งก่อนจะจำได้“อ้อ ฉันจำนายได้แล้ว นายเป็นเพื่อนของนับหนึ่งนี่นา ฉันเป็นเพื่อนนับหนึ่ง เราเจอกันบ่อยๆ ที่มหาวิทยาลัย”“อ้อ! จำได้แล้ว เธอชื่ออะไรนะ ติดอยู่ที่ปาก”“ฉันชื่อณัฐการคณะบริหาร”“อ่อใช่ ผมตรีทศ”ตรีทศยิ้มให้ณัฐการ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เมื่อจำกันได้“นายเป็นแฟนกับนิอรเหรอ”สิ้นเสียงคำถามของณัฐการ ตรีทศไม่ทันจะได้ตอบ สายต
นายอักษะที่อยู่ในอารมณ์ครุกรุ่น โกรธโมโห และบันดาลโทสะ เขาทำร้ายวิกรมไม่ยั้ง ที่คนของวิกรม ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ชายสูงอายุสองคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนรัก คู่หู เจ้านายและลูกน้องที่รักกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ที่พลาด อักษะไม่เคยให้อภัยใคร เพราะมันหมายถึงชีวิตทั้งหมดของเขาอาจจบสิ้นลงนายวิกรมที่กองอยู่ที่พื้น ถูกลูกน้องสองคนประคองข้างให้ทรงตัวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้นายอักษะเช็ดมือ เอาเลือดของวิกรมที่เปรอะเปื้อนออก ด้วยสายตาและมือที่สั่นเทา เขาไม่เคยเห็นอักษะซ้อมหรือทำร้ายวิกรมถึงขั้นปางตายขนาดนี้มาก่อน เพราะทุกคนรู้ดีว่าวิกรมคือเพื่อนรัก ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของนายอักษะมาตั้งสมัยยังหนุ่ม จนกระทั่งเรืองอำนาจ อีกทั้งเป็นนายอีกคนของพวกเขา“พามันออกไป”สิ้นคำสั่งสองหนุ่มรีบหิ้วปีกวิกรมออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่วิกรมสิ้นลาย และสูญสิ้นศักดิ์ศรีจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกันของอักษะ สายตาดุดันเข้มขึ้น เขากัดฟัน และข่มความเจ็บแค้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอม วิกรมถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อสิ้นสติเช้าวันใหม่ที่แสงอร
พลอยฟ้าตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งสาง ดวงตาที่พยายามลืมขึ้นในแสงสลัวที่ฟ้ายังไม่แจ้งดี พลอยฟ้านอนหันหลังให้เขาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มอุ่นคลุมกายอยู่ใต้วงแขน เสียงหายใจแรงของภูผาทำให้พลอยฟ้า ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นอยู่หรือว่าหลับก่อนจะค่อยลุกขึ้น และหันไปตามเสียงนั้นช้าๆ ใบหน้าที่เอียงไปทางหนึ่ง แขนทั้งสองวางอยู่บนอก ผ้าห่มคลุมแค่ท่อนล่าง ผิวกายที่ขาวสะอาด มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงพลอยฟ้ามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะย่องลงจากเตียง และรีบร้อนสวมใส่มัน และไม่ลืมที่จะเก็บของสำคัญที่เธอตั้งใจมาเอาคืน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและเขาลงเอยกันบนเตียงเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ทำให้ภูผาลืมตา เขาตื่นนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าพลอยฟ้าจะทำตัวไม่ถูก เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับอยู่ เพราะมันก็ยากสำหรับเขาด้วยเช่นกันที่จะต้องเผชิญหากับเธอพลอยฟ้าที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงแดดอ่อนๆ ก็ฉายแสงเต็มที่ แต่เธอยังคงหมกตัวอยู่ในห้อง อยากออกไปข้างนอกใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าโผล่ไปเจอเขาตอนไหน เธอจึงเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องจนกว่าจะได้ยินเสียงของเขา จนกระทั่งช่วงสาย เสียง