“อย่าให้คำว่าสถานะ มาทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของเรา จนไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน ถ้าสถานะมันสำคัญกับเธอนัก ก็จงอยู่ในสถานะที่เป็นเธอ คนที่ไม่เคยมีตัวตนสำหรับฉันมาก่อน”
“นับหนึ่ง” พยายามติดต่อกับ “ธนญ” ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องเรียน ไปหาถึงบ้าน แต่เธอก็ไม่สามารถผ่านแม้กระทั่งประตูรั้วหน้าคฤหาสน์เข้าไปได้ ตอนที่ความสัมพันธ์ยังเป็นเพื่อนสนิทกันนั้น นับหนึ่งไม่เคยต้องรอหรือกดกริ่งเรียกเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้เขาทำกับเธอเหมือนอากาศธาตุที่ล่องหน ไม่มีตัวตน ไม่แม้แต่เป็นคนรู้จัก มันเร็วจนตั้งรับไม่ทัน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นไปด้วยดีมาตลอด
เมื่อ 6 เดือนก่อน นับหนึ่งเพิ่งย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทย และตั้งใจว่าที่นี่เธอจะลงหลักปักฐาน มีเพื่อนมีครอบครัวและอาชีพที่มั่นคง ไม่ต้องเร่ร่อนไปที่ไหนอีก ชีวิตของเธอเหมือนคนเร่ร่อน ไม่เคยอยู่ที่ไหนนาน ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เสมอ เธอจึงไม่ค่อยมีเพื่อนหรือคนรู้จักมากนัก ครอบครัวของเธอต้องไปประจำการในต่างประเทศ คราวละหลายเดือนหรือเป็นปี เนื่องจากพ่อและแม่ของเธอเป็นเจ้าหน้าวิศวกรอาวุโสชำนาญการระดับสูง รับผิดชอบการวางระบบโครงข่ายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ระดับชาติ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วโลก ชีวิตเหมือนฝัน ทั้งความโชคดีที่คนเก่ง มีความสามารถ ได้ทำงานร่วมกันในองค์กรใหญ่ระดับนานาชาติ และได้รักกันจนสามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ มีลูกสาวที่น่ารัก เรียนเก่ง มีความสามารถ ดั่งลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ชีวิตที่ไม่เคยต้องแยกจากกันด้วยหน้าที่การงาน ทั้งยังเอื้ออำนวยให้ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันเสมอ สั่งสมประการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกสาวอันเป็นที่รัก ให้กลายเป็นหญิงสาวมากความสามารถแบบไร้พรมแดน นี่เองกระมังที่เป็นที่มาของชื่อ “นับหนึ่ง” เพราะต้องย้ายไปทำงานและอาศัยในเมืองต่างๆ นับไม่ถ้วน โดยตั้งต้นนับหนึ่งทุกการเดินทางของชีวิต
ชีวิตที่สมบูรณ์ของ นับหนึ่ง ดำเนินมาได้ 19 ปี แล้วทุกอย่างก็หายไปพร้อมกับการจากไปของพ่อและแม่ ที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงในโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับชาติของประเทศหนึ่งในแถบแอฟริกากลาง นับหนึ่งได้รับสินไหมทดแทนเนื่องจากการจากไปพร้อมกันของพ่อและแม่มหาศาล แต่มันไม่มีความหมายสำหรับเธอ เพราะนับแต่นั้นเธอต้องใช้ชีวิตคนเดียวมาโดยลำพัง ทั้งเหงาและว้าเหว่
การกลับมาเมืองไทย บ้านเกิดของบุพการี คือหนทางเริ่มต้นนับหนึ่ง ของชีวิตที่เหลือตัวคนเดียวลำพัง แต่น้อยเหลือเกินกับความรู้ความเข้าใจ วัฒนธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี ที่เธอออกจะเคอะเขินและไม่คุ้นชิน แต่พอจะรับรู้มาบ้าง จากคำบอกเล่า อบรมสั่งสอนจากพ่อและแม่ แรกๆ เธอต้องปรับตัวเยอะมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือจากณัฐการ เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เธอมีในประเทศไทย จากการรู้จักกันครั้งแรกที่งานแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ ด้วยพื้นเพครอบครัวเป็นคนไทยของนับหนึ่ง เมื่อณัฐการรู้ว่านับหนึ่งเป็นคนไทย ที่ใช้ชีวิตในต่างแดน ทำให้เธอเริ่มสานสัมพันธ์สร้างมิตรภาพความเป็นเพื่อนต่อกันมาโดยตลอด และให้นับหนึ่งช่วยในเรื่องการสื่อสารภาษาต่างประเทศที่เธอไม่เข้าใจ จนสามารถสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติได้ดีขึ้นเป็นลำดับ
เธอไม่มีญาติในไทย ทั้งบ้านและมหาวิทยาลัย ครอบครัวของณัฐการที่ค่อนข้างมีฐานะและเป็นที่รู้จักในสังคม ได้ช่วยเหลือและดำเนินการให้เป็นที่เรียบร้อย เพราะรับรู้เรื่องราวและเอ็นดูนับหนึ่งเป็นทุนเดิม โดยจัดหาบ้านเดี่ยวที่มิดชิดเป็นสัดส่วน คำนึงถึงระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากนับหนึ่งต้องอาศัยเพียงลำพังคนเดียว โดยมีแม่บ้านมาคอยดูแลจัดการทำความสะอาด สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เริ่มแรกทีเดียว ครอบครัวของณัฐการชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ด้วยความเกรงใจและวิถีชีวิตที่ต่างกันและการใช้ชีวิตในต่างแดนที่แสนจะอิสระ ทำให้ไม่สะดวกใจนัก อาจต้องเกิดปัญหาเล็กๆน้อยๆให้ขุ่นเคืองใจกัน และบุคลิกที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาของนับหนึ่ง จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อและแม่ของณัฐการ และเคารพการตัดสินใจของนับหนึ่ง แต่ก็คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ห่างๆ
การปรับตัวกับระบบการเรียนการศึกษา ในระบบมหาวิทยาลัยในประเทศไทย การโอนย้ายหน่วยกิจต่างๆ ทำให้นับหนึ่งวิ่งวุ่นเป็นสัปดาห์ กว่าจะได้เริ่มต้นศึกษาจริงจังในภาควิชาเคมี ความใฝ่ฝันในการเป็นนักปรุงน้ำหอมมืออาชีพและมีแบรนด์เป็นของตัว คือความฝันสูงสุด แต่คนส่วนใหญ่ จะคิดว่า นับหนึ่งจะต้องดำเนินรอยตามพ่อและแม่ของเธอ ได้เป็นวิศวกรหญิง ในองค์กรใหญ่ระดับนานาชาติเฉกเช่นเดียวกับบุพการี
“หนึ่งแกอยู่ไหน” ณัฐการโทรหาเพื่อนสาวอย่างกระวีกระวาด
“เอ่อ! บอกไม่ถูกอ่ะ พอเปิดประตูมามันเป็นสระน้ำเลย งงๆ แต่ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย ไม่รู้ต้องไปทางไหนต่อ” สายตาสอดส่องหาทางไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
“คนมองฉันแปลกๆ” กระซิบเบาๆ
สายตานับสิบคู่ จ้องมองนับหนึ่ง แบบฉงน ปนแปลกใจ และดูหมิ่นอยู่ในที เมื่อเห็นนับหนึ่งแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนเก่าๆ เนื่องจากสโมสรแห่งนี้ เป็นที่รวมเหล่าบรรดาทายาทเศรษฐีทั้งเก่าและใหม่อันดับต้นๆ ของประเทศไทยเอาไว้ ทั้งแหล่งรวมแฟชั่นคนรวยทั้งหลาย
“อ๋อ..ฉันรู้แล้ว แกรอตรงนั้นนะ เดี๋ยวฉันไป”
สิ้นเสียงตอบกลับ นับหนึ่งก็ล้มลงจนเข่ากระแทกกับพื้นอย่างแรง โทรศัพท์มือถือหล่นกระเด็นไปถูกเท้าใครบางคนด้านหน้า แต่ดีที่กางเกงยีนตัวเก่าค่อนข้างหนา จึงไม่ทำให้ผิวเนื้อต้องสัมผัสกับพื้นจนเป็นแผลถลอก
“บ้าจริง!..ฉิบ” เสียงสบถของนับหนึ่ง ถึงกับเงียบกันทั้งสระ
กลุ่มคนด้านหน้าหยุดกึก ทันทีที่มีเสียงสบถ พร้อมกับอะไรบ้างอย่างกระแทกเข้ากับส้นเท้า ใครสักคนในกลุ่มนี้ที่ชนเธอแรงมาก เธอเงยหน้ามองด้วยสายตาเอาเรื่อง ก็ต้องเจอกับสายตาคู่หนึ่งที่ไม่สบอารมณ์พอๆกันรออยู่ กลุ่มชายร่างกำยำสูงโปร่ง 3 คน สวมกางเกงว่ายน้ำรัดรูปถึงเข่า พวกเขาเป็นนักกีฬาหรือคนทั่วไปที่มาว่ายน้ำที่นี่นะ แว้บหนึ่งที่ นับหนึ่ง คิด แต่พ่อหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนที่จ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เหมือนใช้มนต์สะกด ทำให้นับหนึ่งจ้องตา เผยอปากค้าง จนจำไม่ได้ว่าตัวเองจะพูดอะไร ได้แต่แก้เก้อ
“ชนฉันล้ม จะไม่ขอโทษกันเลยเหรอ” นับหนึ่ง พูดเบาๆ ก่อนพยุงร่างเพรียวลุกขึ้น
เขาได้แต่แสยะยิ้มที่มุมปาก ก้มมองโทรศัพท์มือถือที่กระเด็นมาชนเท้า แล้วหมุนตัวเดินต่อไป ไม่มีคำขอโทษใดๆ สร้างความงุนงง ให้นับหนึ่งอย่างมาก คนไทยใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มันคงเป็นแค่คำกล่าวอ้างเกินจริง
“เฮ่! หนึ่ง แกเป็นไรไหม” ณัฐการในชุดว่ายน้ำสปอร์ตทูพีช วิ่งเข้ามาหาและพยุงแขนเพื่อนสาวไว้
“ไม่เป็นไร เมืองไทยนี่ มีอะไรแปลกๆ ดีเนอะ ไหนว่าคนไทยใจดี” และเอื้อมเก็บโทรศัพท์มือถือที่หล่นอยู่ด้านหน้า
“อืม มันไม่แปลกหรอกถ้าคนที่ชนแกไม่ใช่เจ้าหมอนั่น” ณัฐการพูดพร้อมโบ้ยปากไปทาง พ่อรูปหล่อหน้าเหวี่ยงเมื่อสักครู่
“ทำไมล่ะ” นับหนึ่งถึงกับทำหน้าฉงน
“หนุ่มหล่อ ดาวดังมหาลัย เดือนคณะ ลูกอภิมหาเศรษฐี ไม่แยแสใคร ทรงอิทธิพล ไม่มีใครอยากมีเรื่อง มีปัญหากับเขา มีผู้หญิงต่อคิวรอยื่นสมัครเข้าเป็นผู้หญิงในสังกัดมากมาย แต่ใช่ว่าใครจะเข้าสังกัดได้ ไม่เคยมีใครได้ตำแหน่งแฟนหรือคนรัก นอกจากคู่ควงหรือพูดกันหยาบๆ ก็คู่ขานั่นแหละ จะดีหน่อยก็แค่เพื่อน ใครลองอยากเลื่อนสถานะ มีอันเลิกคบ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”
ขณะที่เล่าไป ณัฐการ ก็นึกถึงอดีต ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยพยายามวิ่งตามเขา ทั้งที่เขาไม่เคยแม้แต่ชายตาแล
“ทำไมต้องมีปี่กับขลุ่ย มันคือเครื่องดนตรีไทยไม่ใช่เหรอ” ดวงตาของนับหนึ่งโพรงใส ไร้เดียงสา ประกายแวววาว ระยิบ
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า” ณัฐการหัวเราะชอบใจ
“มาเถอะ ฉันพาเปลี่ยนแกไปเปลี่ยนชุด” พร้อมดึงแขนนับหนึ่งไปอีกทาง ด้านที่ณัฐการเพิ่งเดินออกมา
“ว้าว!” ณัฐการมองนับหนึ่งตาลุกวาว ด้วยรูปร่างที่สวยงาม สูงเพรียว หน้าอกอวบอิ่ม แขนขามีกล้ามเนื้อเล็กๆ ดูแข็งแรง แต่ไม่เทอะทะ ในชุดบิกินีสีน้ำเงินเข้มตัดผิวขาวสะอาดเนียนใส
“พวกที่มองแก เมื่อครู่มีตะลึงแน่”
“ทำไมล่ะ ก็แค่ชุดว่ายน้ำธรรมดา” นับหนึ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน
“สาวๆ ที่ไทยไม่ค่อยใส่แบบนี้กันหรอก อาย เต็มที่ก็แค่แบบฉันนี่ แนวสปอร์ตดูไม่โป้”
“ฉันมีแต่แบบนี้ มันพกง่าย และใส่สบาย อยู่เมืองนอกส่วนใหญ่ใส่แบบนี้หมด เพราะไม่ใช่นักกีฬา” ในใจก็นึกแปลกใจ คนไทยไม่นิยมเหรอ หรือตัวเองจะเชยไปสำหรับแฟชั่นที่นี่
“แกมั่นใจก็ใส่ไปเถอะ ฉันว่าสวยดี” ณัฐการไม่ค้าน เพราะชื่นชมความเป็นสากลชองเพื่อนรักมากกว่า และเธอก็ดูสวยดี จนน่าอิจฉารูปร่างที่สมบูรณ์แบบ
สโมสรแห่งนี้มีทั้งสระเปิดและสระปิดที่ต่อเชื่อมกัน บรรดาทายาทเศรษฐี ที่มีเงินมากกว่ามักอยู่ในสระปิดด้านในเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด แต่ก็เป็นห้องกระจกที่เปิดให้เห็นด้านนอกชัดเจน
ทันทีที่นับหนึ่งและณัฐการเดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านประตูกระจกออกมายังสระน้ำด้านนอก สายตาของหนุ่มสาวทั้งด้านนอกและด้านใน จับจ้องไปที่นับหนึ่ง กับความเงียบกริบจนได้ยินเสียงสูดลมหายใจ และเสียงกลืนน้ำลายลงคอ
ทันทีที่โผล่ขึ้นจากน้ำ ธนญ หนุ่มหล่อที่สาวๆ คลั่งไคล้ ชายหนุ่มที่เฉยเมยและเย็นชาใส่นับหนึ่งที่สระด้านนอกก่อนหน้านี้ เขาต้องฉงน กับความเงียบ นอกจากเสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยของตัวเอง กับเสียงน้ำที่กระทบขอบสระ เขาไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่นเลย เหมือนทุกคนตกอยู่ในภวังค์ เมื่อขึ้นจากสระ เขาเดินตรงไปยังกลุ่มเพื่อน ที่นั่งจ้องบางอย่างออกไปด้านนอกทั้งที่ยังถือเครื่องดื่มจ่ออยู่ที่ปาก
ธนญใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผม พร้อมกับมองตามสายตาหนุ่มๆ ร่วมแก๊ง อ่อ! ยายผู้หญิงซกมกคนนั้น นี่แปลงโฉม เรียกร้องความสนใจแล้วหรือ อุตส่าห์อัพเกรดตัวเอง มาว่ายน้ำสโมสรที่คนธรรมดา ไม่มีปัญญาเข้ามาแม้จะแค่ดื่มกาแฟ แววตาที่เฉยชาไร้ความรู้สึกชื่นชม ออกจะไปในทางดูหมิ่น เขามองเธอแค่แว้บเดียว แล้วก็ไม่สนใจอีก
ทางด้านนับหนึ่งกับณัฐการ เมื่อออกมาก็ตรงไปหากลุ่มเพื่อนของณัฐการ ซึ่งทั้ง 3 คน รอนับหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ณัฐการแนะนำ นับหนึ่ง รู้จักกับ “มัสยา” “พัฒนารัตน์” และ “เนื้อน้อง” เพื่อนๆในสังคมเดียวกันกับณัฐการ เรียนต่างคณะกัน และมัสยาเคยร่วมทีมไปแข่งขันคณิตศาสตร์เยาวชนโลกมาด้วยกัน จึงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี นับหนึ่งเพิ่งมาจากเมืองนอก ยังไม่ค่อยรู้จักใครที่เมืองไทย และต่อไปก็จะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพวกเธอ ทุกคนยินดีที่รู้จักนับหนึ่ง เพราะได้ฟังเรื่องราวของนับหนึ่งจากณัฐการบ่อยๆ ซึ่งกลุ่มสาวๆ กลุ่มนี้ อัธยาศัยดี และเป็นกันเองทุกคน แต่ละคนมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไร ทำกิจการเล็กๆ ค้าขายขนาดย่อมและลงทุนด้านการเงินเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พอเป็นที่รู้จักในสังคมอยู่บ้าง
ความเหนื่อยล้าจากการว่ายน้ำ และเริ่มกระหายน้ำ อยากได้เครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว แต่ด้วยที่อยู่เมืองไทยยังเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ สำหรับนับหนึ่ง ในขณะที่เพื่อนๆ ยังเพลิดเพลินกันอยู่ในสระ เธอจึงตัดสินใจลองไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มเพื่อลองสั่งอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่เข้าใจภาษาที่เขียนไว้ ฟังจากบาร์เทนเดอร์ก็จะมีงงอยู่บ้าง ภาษาอังกฤษบางคำก็ไม่ตรงกับความหมายจริงของมัน เป็นการผสมภาษาแบบไทย ที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม
นับหนึ่งยืนคิดอยู่นาน จนไม่ทันสังเกตุว่าใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง ธนญ ซึ่งสูงถึง 180 ซ.ม. สูงกว่านับหนึ่งทั้งที่ ถือว่านับหนึ่งนั้นสูงมากกว่าหญิงไทยทั่วไป สูงถึง 169 ซ.ม.
“ตัดสินใจได้หรือยัง ถ้าไม่รู้จะดื่มอะไร ก็น้ำเปล่าไปเถอะ ถ้าสั่งไม่เป็นก็ให้บาร์เทนเดอร์เขาจัดให้” น้ำเสียงระอา และดูแคลนอยู่ในเชิง
“อืม ฉันอยากได้เครื่องดื่มที่ออกหวานนิดๆ เปรี้ยวหน่อยๆ ซ่าและสดชื่น” จากนั้นก็พูดภาษาอังกฤษ ทำให้บาร์เทนเดอร์ หนุ่มถึงกับเกิดอาการมึน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง จนนับหนึ่งถึงกับต้องหาที่พึ่ง เธอหันมามอง ธนญ พร้อมกับทำหน้าขอร้อง
“คุณคะ ฉันเพิ่งมาจากเมืองนอก ฉันพูดภาษาไทยได้แต่ไม่คล่องเท่าไหร่ ฉันอยากสื่อภาษาอังกฤษเมื่อสักครู่ให้เป็นภาษาไทย แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ภาษาไทยคำไหน คุณช่วยบอกเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม” นับหนึ่งยิ้มแห้งๆ ขอร้องเขา
“เหอะ..เนียน” ธนญ ในชุดกางเกงว่ายน้ำรัดรูปถึงเข่า ยืนกอดอก มองหญิงสาวอย่างหาความหมายในคำพูดและแววตา
นับหนึ่งได้แต่ยืนงง ไม่เข้าใจความหมายคำว่า “เนียน” ที่เขาพูด และท่าทางของเขา
ภาพสองหนุ่มสาวที่ทั้งสวยและหล่อหุ่นดี ยืนคุยกันหน้าเคาน์เตอร์บาร์ หยุดโลกอีกครั้ง เสียงเซ็งแซด วิพากวิจารณ์กันไป ฮือฮาจนน่าขนลุก สาวชุดบิกินี่ และรูปร่างที่ดี หน้าตาที่สวยงาม ทำให้สาวๆ หลายๆ คน ตาลุกเป็นไฟ สำหรับหนุ่มๆ ได้แต่ผิดหวัง ที่มีสาวหลงเสน่ห์นายวายร้ายเพิ่มอีกคน เพราะมันเป็นภาพที่ชินตา ว่าสาวๆ ทุกคนต้องตกหลุมนายเย็นชามาดนิ่ง หนุ่มๆ คนอื่น แค่รอตอนที่พวกเธอผิดหวังแล้วตัดใจ
“ให้บาร์เทนเดอร์เขาทำให้ แล้วก็ดื่มไป ไม่ชอบก็ทิ้ง จะเยอะทำไม เล่นใหญ่เป็นมืออาชีพเลยนะ” แล้วก็หันไปบอกบาร์เทนเดอร์เป็นภาษาไทยที่เธอพอฟังเข้าใจ ตรงกับที่เธอต้องการ นับหนึ่งอมยิ้มเล็กน้อย ทำหน้างงกับคำพูดของเขาบางประโยค ดูเขาเป็นคนปากร้ายแต่ก็ยอมช่วยเธอ
“ขอบคุณค่ะ” นับหนึ่งรับเครื่องดื่ม และหันไปค้อมศีรษะให้เขานิดหนึ่ง
ณัฐการเห็นเพื่อนสาวยืนคุยกับหนุ่มตัวร้ายถึงกับหวั่นใจ และกังวลอยู่เล็กน้อยกลัวว่าจะเกิดปัญหาทำให้ ธนญ ขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อเห็นว่า นับหนึ่งจากมาด้วยดี เธอก็โล่งใจ ถึงกับเป่าปาก เมื่อเธอกลายเป็นสาวฮอตประจำสระเปิด กลับมาพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มสุดพิเศษ เพื่อนๆรุมล้อม นับหนึ่ง ด้วยความเป็นห่วง และเตือนเรื่องของ ธนญ ว่าเป็นบุคคลอันตรายต่อสาวใสไร้เดียงสา นับหนึ่งได้แต่พยักหน้างึกๆ และมึนงง กลอกตาไปมา กระพริบตาถี่ ๆ กับสารพัดเรื่องราวร้ายๆ ของชายหนุ่ม นับหนึ่งไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น แค่เธอไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยบางคำก็เท่านั้นเอง
ไม่ต่างกันเพื่อนๆ ของธนญ เกิดความสนใจเกี่ยวกับหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่คนนั้นทันที เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ได้ยืนพูดคุยกับธนญ อย่างใกล้ชิดและดูเป็นกันเอง แบบไม่มีความเขินอายหรือเกร็งต่อ ธนญ แม้แต่น้อย เหมือนทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ใครอ่ะ ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆไปที่เคยมาจีบนายเลย ตอนแรกนึกว่ายายบ้านนอกที่อยากเข้าสังคม มาเดินเตร็ดเตร่” พัศวี กระตือรือร้นจนออกนอกหน้า
“หล่อนเป็นมืออาชีพ” ธนญ ตอบแค่นั้น
“หุ่นหล่อนได้นะ แบบที่ฉันชอบ หน้าตาก็สวย นายไม่สน ฉันรับช่วงเอง” พัศวีออกปาก พร้อมหลิ่วตา หัวเราะเบาๆ
“ฉันเคยเห็นเธอครั้งหนึ่งที่คณะฯ อยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาที่ภาควิชาเรา เหมือนจะมีการทำเรื่องโอนย้ายหน่วยกิจจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ” สืบสาย ซึ่งมีบุคลิกเงียบขรึม และนิ่งกว่า พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ
“ซิ่วมาจากที่อื่น ก็คงพวกที่ผลาญเงินพ่อแม่ไปชุบตัวเมืองนอก สุดท้ายก็ไม่ไหว กลับมาต่อให้จบที่ไทย เพราะเงินหมด” เสียงเย้ยหยันเรียบ ๆ ของ ธนญ เหมือนกำลังบอกว่า ตัวเองอ่านเกมส์ขาด ผู้หญิงที่เข้าหาเขาแต่ละคน เป็นคนเช่นไร
บัดนี้ในสายตาของ ธนญ นับหนึ่ง ก็ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงคนอื่น ที่อยากตะกายเข้าสังคมชั้นสูง หาความมั่นคงในฐานะทางการเงิน จากการหาคู่ในสังคมระดับเดียวกัน หรือสูงกว่า ใช้รูปร่างและหน้าตาเป็นสะพานหลอกล่อผู้ชายให้มาสนใจ เสริมบุคลิกใสซื่อไร้เดียงสา
ธนญ กำลังนึกถึง พิชญา หญิงสาวที่เข้าหาเขาคนล่าสุด หล่อนทำตามความต้องการของเขาทุกอย่าง ไม่มีศักดิ์ศรี หวังแค่ชื่อเสียงและเศษเงินเล็กน้อยที่เขาหยิบยื่นให้ แค่สถานะคู่ควงของเขา ไม่กี่เดือนเขาก็เบื่อ และสั่งห้ามหล่อนติดต่อกับเขาอีก เลิกคบกันเสียเฉยๆ โดยจ่ายเงินให้ก้อนหนึ่ง ซึ่งเธอก็ยอมจากไปแต่โดยดี แต่กับสาวในสังคมเดียวกันเขากลับไม่เคยเข้าใกล้ หรือแม้แต่จะคบหา เพราะมันหมายถึงปัญหาที่จะตามมาอีก ไม่จบ และตามด้วยเรื่องครอบครัว ธุรกิจ อื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากออกกำลัง ว่ายน้ำได้หอบกันพักใหญ่ หนุ่มๆ มาดื่มต่อกันที่เลานจ์ ของสโมสร ในหัวข้อสนทนาหนีไม่พ้นเรื่อง นับหนึ่ง ที่กำลังเป็นที่สนใจของหนุ่มสาวชาวไฮโซ โดยเฉพาะพัศวี ที่ดูจะติดอกติดใจเป็นพิเศษ และเมื่อรู้ว่าหล่อน เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนที่ภาควิชาของพวกเขา ยิ่งทำให้เขากระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
หลังจากออกจากสโมสร ณัฐการอาสาจะไปส่งนับหนึ่งที่บ้าน เพราะเพื่อนๆ คนอื่น ขับรถมาเอง แต่บ้านของเธออยู่คนละทางกัน นับหนึ่งจึงปฏิเสธ ไม่อยากให้เพื่อนต้องเสียเวลา และเธอเองก็คิดว่านั่งแท็กซี่กลับง่ายกว่า แท็กซี่เมืองไทยหาง่ายมาก นับหนึ่งเดินไปส่งณัฐการที่รถ เพื่อรับเอกสารที่รบกวนให้ณัฐการแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ ขณะที่กำลังกล่าวลากัน กลุ่มของธนญก็ออกมาพอดี พวกเขาดื่มมาเล็กน้อย มีอาการมึนๆ นิดหน่อย แต่ธนญซึ่งขับรถมา ดูเหมือนเขาจะดื่มเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีอาการใดๆ ธนญ ปลายตามองเธอแว้บหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นไม่ทันสังเกตเห็นนับหนึ่งและณัฐการ ธนญ ตรงไปยังรถหรูของตัวเอง ส่วนสืบสายและพัศวีมาด้วยกันแยกไปอีกคัน
รถของณัฐการเคลื่อนออกไปแล้ว แต่นับหนึ่งยังคงยืนเปิดเอกสารฉบับภาษาไทยที่มีโน้ตภาษาอังกฤษด้วยปากกาหมึกสีแดง ตรวจดูว่ามีข้อความตรงไหนที่ตกหล่นและ เธอไม่เข้าใจ คร่าวๆ เมื่อรถของ ธนญ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เธอแค่ขยับหลบ โดยไม่ได้สนใจ ทำให้ ธนญ ถึงกับหัวเสีย เพราะเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงเมินรถของเขา
ธนญ มองกระจกหลัง เพื่อดูว่านับหนึ่งกลับอย่างไร จึงเห็นว่ามีรถแท็กซี่เข้าจอดเทียบที่ประตูทางเข้าสโมสร เขาได้แต่แสยะยิ้ม และส่ายหัวเบาๆ รถของทั้งคู่ขับไล่ตามกันมาได้ระยะหนึ่ง ธนญจึงสังเกตุว่า รถของนับหนึ่งจี้ท้ายตามเขามาตลอด หรือหล่อนกำลังพยายามเข้าหา และสะกดรอยตามเขากันแน่ ด้วยเป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้ว การจราจรเริ่มติดขัด ธนญ ไม่สามารถสลัดจากรถแท็กซี่ของนับหนึ่งที่ขับจี้ท้ายเขามาตลอดได้ ทำให้ ธนญ หัวเสีย และรู้สึกโกรธนับหนึ่งมาก ทั้งที่นับหนึ่งไม่รู้เรื่องหรือเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้เลยด้วยซ้ำ
หลุดจากเขตเมือง เข้าเขตชานเมือง ถนนเริ่มโล่ง เขาจึงชะลอขับชิดเลนนอกติดไหล่ทาง เพื่อดูว่าแท็กซี่คันดังกล่าวจะแซงเขาไปหรือไม่ เมื่อแท็กซี่ขับผ่านเขาไป คงจะเป็นความโชคร้ายของนับหนึ่ง แท็กซี่ที่เธอนั่งมาเกิดยางแตก หลังจากแซง ธนญมาได้ไม่ไกลนัก
“คุณครับรถผมยางแตก คุณคงต้องต่อรถคันอื่นแล้วหละ” โชว์เฟอร์บอกกับหญิงสาวแบบเซ็งๆ
“อ๋อค่ะ”
นับหนึ่งลงจากรถ มายืนอยู่ด้านหลังแท็กซี่ที่เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพื่อโบกรถแท็กซี่คันใหม่ แต่เนื่องจากเส้นทางนี้ไม่ใช่ทางหลัก ทำให้มีรถผ่านมาค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่จะมีผู้โดยสารนั่งมาด้วยอยู่ก่อนแล้ว เหมือนแผนการที่ ธนญ คิดไว้เกี่ยวกับหญิงสาวจะเป็นจริง เมื่อรถ ธนญ ขับมาถึงจุดที่นับหนึ่งยืนอยู่ ความคิดก่อนหน้าก็ผุดขึ้นมา
“นี่เธอวางแผนไว้หรือเปล่า จะเล่นเกมส์กับฉันเหรอ”
ธนญ จอดรถเข้าข้างทางเดินไปหาหญิงสาว ทันทีที่นับหนึ่งเห็นเขา เธอก็อดแปลกใจไม่ได้ ยิ้มและเอียงศีรษะเชิงถามเป็นนัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมายืนอยู่นี่” ธนญ ถามขึ้นก่อน
“เอ่อ! คุณลุงแท็กซี่บอกว่ารถยางแตก ไปต่อไม่ได้ ให้ฉันหารถคันใหม่ไปต่อ”
เธอตอบเขาเหมือนคนคุ้นเคย ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกที่สโมสร และคุยกันไม่กี่ประโยค และออกจะไม่สบอารมย์กันด้วยซ้ำ
“แล้วเธอจะไปไหนล่ะ จะติดรถฉันไปไหม” ธนญ ถามอย่างหยั่งเชิง หญิงสาวต้องรีบตอบตกลงและขึ้นรถเขาทันทีแน่นอน
“ฉันจะกลับบ้าน อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว คุณไปเถอะ ขอบคุณที่มีน้ำใจ” เธอยิ้ม
“ถ้าอีกนิดเดียวก็ขึ้นรถสิ มันค่ำแล้ว” เขาพูดพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้เธอ
“บ้านคุณก็มาทางนี้เหรอ ถ้าไม่ใช่ทางผ่าน ฉันไม่ไป” เธอถามก่อน เพราะหากไม่ใช่จะได้ไม่ต้องลำบากใจ
เขาไม่ตอบแค่เอียงคอ ค้อมศีรษะเชิงถามว่าจะไปไหม นับหนึ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินตามเขาไป ตลอดทางไม่มีการสนทนาใดๆ จนถึงหมู่บ้านขนาดใหญ่ ที่บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่กว้างขวาง ต้นไม้ครึ้นเงียบสงบ ผ่านป้อมรักษาความปลอดภัย นับหนึ่ง แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาเป็นเพื่อนมาส่งเธอที่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงให้ผ่านเข้าไปโดยให้แลกบัตรไว้ ทำให้เขามีอาการฉุนเฉียวนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นหน้าที่
“ฉันต้องขอโทษคุณแทนเจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ ที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด แต่มันก็ทำให้อุ่นใจเรื่องความปลอดภัย”
จากสีหน้าที่เคร่งขรึมดูจะไม่สบอารมณ์ของเขาทำให้นับหนึ่งต้องพูดออกตัว รถหรูของ ธนญ จอดที่หน้าบ้านของนับหนึ่ง ซึ่งมืดสนิท ไม่ได้เปิดไฟเลยสักดวง มีแค่แสงสว่างของไฟหมู่บ้าน
“บ้านมืดจัง ไม่มีคนอยู่เหรอ”
“มีสิคะ ฉันไง” เธอตอบแบบติดตลก
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า” ธนญ หัวเราะหน้าตายใส่ แล้วหุบยิ้มสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันอยู่คนเดียว พ่อแม่ฉันเสียหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงสบายมาก ขอบคุณที่มาส่ง”
“เธอนี่ ไม่กลัวอะไรเลยหรือไง เธอรู้จักฉันเหรอ ถึงมาบอกว่าตัวเองอยู่คนเดียว ถ้าฉันเป็นคนร้ายล่ะ หรือว่าคิดอย่างอื่น” เขาหลี่ตามองเธอ และเริ่มสงสัยแผนชวนเข้าบ้านของเธอหรือเปล่า
“อืม ก็รู้มาคร่าวๆ เพื่อนๆ เล่าให้ฟัง ดูเหมือนเราเรียนที่เดียวกัน คณะเดียวกัน และคุณก็ดูเหมือนคนนิสัยไม่ค่อยดี จากที่เพื่อนๆ เล่านะ แต่จากที่ฉันคุยกับคุณ ก่อนหน้า และตอนนี้ ฉันว่าคุณก็ดูเป็นคนดีนะ แถมมีน้ำใจช่วยฉันถึงสองครั้งเลยวันนี้” นับหนึ่งยิ้มและพยักหน้า
“งั้นขอเข้าไปในบ้านได้ไหม” เขาจอดรถและดับเครื่องยนต์ พร้อมลงจากรถอย่างรวดเร็ว หยุดยืนรอเธออยู่ก่อนที่ช่องประตูเล็ก
นับหนึ่งลงจากรถ หิ้วของพะรุงพะรัง เดินไปหาเขาที่รออยู่หน้าประเหล็ก เธอเปิดประตูแบบงงๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาเข้าไป เธอเปิดไฟห้องรับแขก ได้มีโอกาสใช้งานเป็นครั้งแรก
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เธอชี้ไปยังด้านหลัง ธนญ ขมวดคิ้ว
“ใครบอกเธอว่าฉันจะเข้าห้องน้ำ”
“ก็จู่ ๆ คนเพิ่งรู้จักกันขอเข้าบ้าน แบบไม่เกรงใจ ก็น่าจะปวดหนักนะ ถึงกล้าขอ” นับหนึ่งยิ้มแหยๆ และตอบด้วยเหตุผลที่เธอคาดการณ์ไว้
“เธอนี่” ธนญ ถลึงตาใส่
เขาเดินไปรอบๆ เหมือนตรวจตราดูบ้านของเธออย่างละเอียด ดูเหมือนเธอจะอยู่คนเดียวจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ดูจะเก่งกล้า เกินหญิงจนน่าตกใจ นับหนึ่งเดินมาพร้อมแก้วชาร้อนผสมน้ำผึ้ง ยื่นให้เขา
“ฉันได้กลิ่นเหล้า จากคุณนิดหน่อย เหมือนคุณจะดื่มมา ดื่มนี่สิแล้วจะดีขึ้น ไหนก็ต้องขับรถต่ออีก”
“ใส่อะไรลงไปด้วยหรือเปล่า” เขาถามหยั่งเชิง พร้อมปรายตามอง
“อืม ใส่ใจ” มุขตลกแบบไทยๆ ที่นับหนึ่งเพิ่งเรียนรู้จากเพื่อนๆ วันนี้ พร้อมกับหัวเราะ
ธนญ ยกแก้วขึ้นดื่มจนเกือบสำลัก ยิ้มมุมปาก อดขำยายบ๊องคนนี้ไม่ได้ จะตลกหรืออะไรกันแน่ น่าสนใจในชั้นเชิงของเธอบ้างแล้วสิ
“คุณดื่มมา ไม่น่าจะสนใจทานข้าว ฉันหิวแล้ว ไม่ชวนนะ นั่งพักไปก่อน ตามสบาย ขอทานข้าวก่อน” เธอพูดพร้อมแกะอาหารออกจากกล่องบรรจุภัณฑ์ของสโมสร
“อาหารที่สโมสรนี่ ทำไม่ไม่ทานที่โน่น ลำบากเอากลับมาทานบ้าน” เขาสงสัย
“เพื่อนๆ ฉันเขารักษาหุ่นเขาไม่ทานข้าวเย็น ฉันไม่มีเพื่อนทาน เลยสั่งห่อกลับมาทานที่บ้านน่ะ”
“แล้วเธอไม่กลัวอ้วนเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“ไม่ ฉันหุ่นดีอยู่แล้ว ก็ทานแบบนี้ตลอด ไม่เห็นมีใครว่าอ้วน มีแต่ชมว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ พวกผู้ชายก็ชอบมอง ถ้าไม่ดี คงไม่มองใช่ไหม หรือนายว่าไง” เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้มอง” เขาตอบจริง ก็เขาไม่ได้มอง แค่ได้ยิน พัศวี พร่ำเพ้อ ถึงรูปร่างของเธอไม่หยุดตลอดเวลาที่ดื่มกัน อย่างคะนองปาก
นับหนึ่งไม่ได้พูดอะไรต่อ ลงมือทานมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย ธนญ เดินกลับไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับจิบชาน้ำผึ้งช้าๆ เวลาผ่านไปชั่วครู่ นับหนึ่งจัดการกับอาหารเย็น เก็บจานชามล้างเรียบร้อย จึงเดินออกมาดู ธนญ พบว่าเขาผล็อยหลับไปแล้ว นับหนึ่งไม่กล้าปลุกเขา จึงปล่อยให้เขาหลับไปก่อน และขึ้นไปจัดการกับตัวเองบนห้องนอน ก่อนจะกลับลงมาอีกครั้งในชุดลำลองขาสั้นสีขาว เสื้อไหมพรมตัวโคล่ง สีเหลืองอ่อน และผ้าห่มผืนเล็ก นับหนึ่งค่อยๆคลี่ผ้าห่มคลุมให้เขาอย่างแผ่วเบา แต่แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อมือของเขาคว้าหมับที่ข้อมือของเธอ
“เห็นคุณเพิ่งหลับ เลยกะว่าให้คุณนอนพักไปสักครู่ก่อนค่อยปลุกน่ะ” เธอพูดแก้เขิน
แรงกระชากทำให้เธอเสียหลัก ล้มลงบนอกของเขา เธอพยุงตัวเองออกคุกเข้าอยู่กับพื้น แต่เขาไม่ยอมปล่อยข้อมือ ยังยื้อยุดไว้แบบนั้น หน้าของเขานิ่งมาก ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มีแค่สายตาที่ดูเหมือนจะครุ่นคิดเรื่องอะไรสักอย่าง ดวงตาสีเข้มดุดันจ้องมองดวงหน้าของเธอ และจ้องลึกเข้าไปในดวงตา
นับหนึ่งไม่เคยถูกใครจ้องมองแบบนี้มาก่อน จึงรู้สึกกระอักกระอวน ทำตัวไม่ถูก ทั้งเขินทั้งอายผสมปนเปกันไปหมด เขาช้อนมือจับใต้คางของเธอ ก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากของเธอ ด้วยความตกใจ นับหนึ่งผงะหนี แต่ถูกกระชากข้อมือที่จับไว้เข้ามาจนแนบกับอกของเขา และพลันผลักเธอลงนอนกับโซฟา พลิกตัวเองขึ้นค่อมร่างของเธอไว้ จูบเธออีกครั้งอย่างดูดดื่ม
“อะไรกัน” นับหนึ่งสับสน ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งพิศวง แต่ไม่สามารถต้านทานเขาได้เลย
ชั่วครู่เดียว เขาจึงหยุดและผละมองริมฝีปากสีชมพู ระเรื่อที่สั่นระริก นับหนึ่งยังคงหลับตาพริ้ม และค่อยๆ ลืมตาขึ้นจ้องมองเขา
“ทำไม คุณทำแบบนี้” เสียงของเธอสั่น
เขาไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นและเดินจากไปเฉยๆ ทิ้งความงุนงง พรั่นพึง หวาดหวั่นในใจ เสียงรถสปอร์ตหรูเคลื่อนตัวออกไปอย่างแผ่วเบา นับหนึ่งวิ่งออกไปล็อคประตู ปิดประตูทุกบาน หน้าต่างทุกห้อง ปิดม่านอย่างมิดชิด แล้วค่อยๆทรุดตัวลงข้างโซฟา คำถามในใจผุดขึ้นมามากมาย
“ทำไมเธอถึงยอมขึ้นรถมากับเขา”
“ทำไมถึงยอมให้เขาเข้ามาในบ้าน”
“ทำไมถึงยอมปล่อยให้เขานอน”
“ทำไมถึงยอมปล่อยให้เขาจูบ”
“ทำไมกัน”
นับหนึ่งสับสนกับการกระทำของเขาและตัวเอง
ธนญ ขับรถออกมาได้ระยะหนึ่ง ค่อยๆ ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ นึกขำและกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ ก็แค่เกมส์ ในเมื่อเธอเปิดโอกาส และเข้าหาฉัน ทั้งที่เพื่อนๆ ของเธอก็เตือนเธอแล้ว เกี่ยวกับฉัน เธอกล้าลอง ฉันก็กล้ารับ เธอจะกล้ามากกว่านี้ไหม หรือแค่แสร้งทำเป็นใสซื่อ สุดท้ายก็แผนการหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชาย พลันทำให้ ธนญ คิดถึงริมฝีปากบางเฉียบอมชมพูระเรื่อที่สั่นระริกด้วยรสจูบที่เร่าร้อนของเขา ดวงตาวาวใสดุจลูกกวางน้อย และผิวเนื้อขาวสะอาดเนียนนุ่มของใบหน้าเรียวรีได้รูป เนินอกอวบอิ่มนุ่มละมุนที่แนบกับอกของเขา กระเพื่อมตามจังหวะหายใจ เสียงแผ่วเบาของลมหายใจที่ติดขัด ถี่รัวและเร็ว ในเมื่อมันเป็นแค่เกมส์ ใครหวั่นไหวก็จบ
สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ การเรียน ผ่านมา 3 วัน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในคืนนั้น จะยากที่จะลืมเลือน นับหนึ่งพยายามคิดเรื่องอื่น เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องการเข้าสังคมใหม่ๆ และสถานที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่คุ้นเคย หลังอาหารมื้อกลางวัน ยังเหลือคาบเรียนช่วงบ่ายอีก 1 วิชา ซึ่งดีหน่อยที่เป็นคาบปฏิบัติการในห้องแลบทดลอง ไม่อย่างนั้น มันคงเป็นคาบที่ยาวนานและทนต่อภาวะสมองเฉื่อยชาจากอาการอิ่มอาหารอย่างรุนแรง นับหนึ่งยังไม่ค่อยรู้จักเพื่อนๆ มากนัก เนื่องจากมีการเรียนการสอนไปก่อนหน้ากว่า 2 สัปดาห์ ก่อนที่นับหนึ่งจะติดต่อเรื่องการเทียบหน่วยกิจ เทียบรายวิชาเสร็จเรียบร้อย หรือวางแผนการเรียนในแต่ละเทอม อีกทั้งมหาวิทยาลัยค่อนข้างมีพื้นที่กว้างขวาง อาคารแต่ละหลังอยู่ห่างไกล ตึกเล็กตึกน้อยกระจัดกระจาย การเดินเท้าเป็นทางเลือกเดียวของนับหนึ่งในขณะนี้ นับหนึ่งใช้เวลารับประทานอาหารกลางวันเพียง 30 นาที เพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับการหาตึกเรียน ซึ่งห้องแลบทดลองอยู่ตึกด้านหลังของคณะวิทย
เปลือกตาที่ปกคลุมด้วยขนตาแพสีดำเติมแต่งด้วยมาสคาร่า ค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆ ในห้องที่มีเพียงเธอนอนอยู่ลำพัง ปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าด้วยผ้าห่มอุ่น เสื้อผ้าที่ถูกถอดวางพาดอย่างเป็นระเบียบที่พนักเก้าอี้มุมโต๊ะหนังสือ ร่างกายที่อ่อนล้า แทบจะผยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริงที่เกินจะบรรยาย คาบเลือดแห้งกรังที่ขา และบนเตียงนอนทำให้นับหนึ่ง ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจ เพราะมันเป็นครั้งแรกของเธอ ทำได้แค่พาตัวเองเข้าห้องน้ำและชำระร่างกาย จัดแจงเปลี่ยนเครื่องนอนใหม่ เก็บเสื้อผ้าข้าวของที่ฝ่ายชายได้รวมรวมจากคนละทิศละทางให้มาอยู่รวมกันที่พนักเก้าอี้ ให้อย่างเรียบร้อย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างที่กำลังเป่าผมให้แห้ง และมองดูรอยเขียวช้ำที่ซอกคอ พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน จึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู และเสียงคนที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง เขาแย่งแปรงหวีผมกับเครื่องเป่าผมไปและจัดการเป่าให้เธอ นับหนึ่งสะดุ้งและหันขวับไปหาเขา เพราะไม่คิดว่าเขาจะก
ธนญไม่ได้นอนอยู่กับเธอจนถึงเช้า เขาจากไปตอนไหน เธอเองไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ ยังมีอะไรหลายอย่างต้องทำ วันนี้มีเรียนปฏิบัติการชีวเคมี ก็ต้องได้เจอเขาอยู่ดี นับหนึ่งจึงไม่ได้รู้สึกว่าถูกทิ้งและจากไปดื้อๆ โดยไม่บอกลา แม้ร่างกายจะเมื่อยล้าไปทั้งตัว แต่ความรู้สึกภายในกลับมีชีวิตชีวา และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เช้านี้นับหนึ่งมีเรียนต่อเนื่อง 2 วิชา ก่อนพักเที่ยง สมองเริ่มล้า เพราะการอดนอนจากกิจกรรมในค่ำคืนที่ผ่านมา นับหนึ่งยังใช้เวลาในการรับประทานอาหารกลางวันเพียงครึ่งชั่วโมงเหมือนเดิม เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงให้เธอได้พักงีบที่ห้องสมุด พอให้ได้ฟื้นตัว และสามารถเรียนต่อในคาบปฏิบัติการในห้องทดลองอย่างกระปรี้กระเปร่า “ไฮ!” นับหนึ่งทักทายเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ก่อน “หวัดดี” สืบสายทักตอบ ตรีทศและยศพยักหน้ารับ นับหนึ่งไม่เห็น ธนญ กับพีม แต่ก็ไม่เอ่ยถามใคร เพียงหยิบอุปกรณ์การเรียนของตัวเองขึ้นมาเท่านั้น พร้อมกับยื่นสมุดจดบันทึกคืนให้สืบสาย “ขอโทษที อุตส่าห์ขอเบอร์โทรไปแล้วแต่กลั
เขาแอบยืนมองเธออยู่เงียบๆ กอดอกพิงประตูอยู่นานแล้ว ท่วงท่าของเธอน่ามอง จนน่าหลงใหล ใบหน้าเรียวสวยได้รูป ผิวกายขาวใสสะอาดหมดจดไร้การแต่งเติมสีสัน สวยงามตามธรรมชาติ ไหล่มนกลมเกลี้ยงคล้องสายเสื้อนอนเส้นเล็กๆ น่ารัก สะโพกผึ่งผายกลมกลึงนุ่มนิ่มน่าขยำ เอวบางคอดเล็ก หน้าท้องแบนราบ ปลายถันที่เป็นไตชูชัน จนน่าขบกัด กลิ่นหอมอ่อนๆ จากของขวัญที่เขามอบให้ หอมรันจวนใจ จุดไฟปรารถนาให้ลุกโชน พลันสายตาของเธอเห็นเขาในกระจก นับหนึ่ง เอามือป้องปากอุทานด้วยความตกใจ สะดุ้งสุดตัว และหันไปเผชิญหน้ากับเขา “บ้าจริง!” ด้วยความตกใจและโกรธที่เขาเข้ามาเงียบๆ เธอถลันเข้าไปทุบอกเขา 2-3 ครั้ง จนเขาต้องล็อคมือเธอไว้ “ขอโทษ ฉันแค่จะเซอร์ไพร์ทเธอเท่านั้น” เขาขำที่เธอโกรธจนลงมือ “ไหนว่าจะกลับบ้าน ทำไมมีกลิ่นเหล้า ไปดื่มมาเหรอ” เธอต่อว่าเขา “ไปผับกับพัศวีมา” แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง “ลุกขึ้นเลย ตัวเหม็น” พยายามดึงแขนเขา “ฉันเมานะ ขอนอนพักหน่อย” เขาฉีกยิ้ม และรั้งตัวเองไว้ นับหนึ่งถอนหายใจ เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนน้อย ชุบน้ำบิดหมาด
หลังจากรักษาตัวโนโรงพยาบาลร่วมเดือน ข่าวการถูกทำร้ายของพัศวีก็ค่อยๆ เงียบหายไป เนื่องจากการใช้อิทธิพลของครอบครัวกดดันให้สำนักข่าวต่างๆ ปิดข่าวและเลิกสนใจติดตามข่าว ส่วนด้านคดีความ ก็ต้องยอมความ เพราะมันเกี่ยวพันถึงชื่อเสียง และหน้าตาทางสังคม ซึ่งฝ่ายหญิงเองก็ถือว่าได้รับความเสียหายมากเช่นกัน เกศิตา ปุญญะวัชโร เป็นลูกนอกสมรสของ พลวัตร ปุญญะวัชโร ที่เพิ่งกลับมาใช้ชีวิตในไทยเพียง 5 เดือนก่อนเกิดคดีฉาวกับพัศวี และค่อนข้างเป็นที่จับตามมองของสื่อ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้เธอถูกขุดคุ้ยอย่างหนัก ทั้งความเสเพล และเสพติดกามารมณ์ และการใช้ความรุนแรง เนื่องจากอิทธิพลของครอบครัว ทำให้รอดพ้นจากคดีฉาวต่างๆ มาได้ หลายต่อหลายครั้ง แต่การที่เธอยังคงได้รับเกียร์ติ และยอมรับในฐานะทายาท และได้มีส่วนในการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถสูง คุมบริษัทเครือเบฟเวอร์เรจทั้งหมดไว้ในกำมือ และแบรนด์ดังเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากที่เธอเข้ามาบริหาร กลุ
การได้มองดู และสูดดมดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมที่กำลังเบ่งบานชูช่อสวยงาม ช่างสร้างความเพลิดเพลินให้แก่นับหนึ่งเป็นอย่างมาก กุหลาบหลากสี ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว มะลิ แก้ว พุดซ้อน ฯลฯ ดอกไม้ไทยต้นเล็กต้นน้อย ที่เธอซื้อมาเพื่อทดลองสกัดน้ำมันหอม ก็มีมากมาย แม้เธอจะขลุกอยู่ในเรือนเพาะชำทั้งวัน ก็ไม่มีวันเบื่อ ห้องทดลองที่กั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซ้อนในเรือนเพาะชำอีกที ของนับหนึ่งได้เริ่มใช้งานมาสักระยะหนึ่งแล้ววันนี้ ธนญ ไม่ได้มาหาเธอ นับหนึ่งไม่ได้โทรหา หรือถามเขาว่าจะมาไหม เพราะเธอเข้าใจดีว่า บางครั้งคนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวของตัวเอง เวลาสำหรับครอบครัว และเธอเองก็เป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่งของเขา การคบกันของพวกเธอยังไม่ได้ชัดเจน ต่างยังคงมีระยะห่างของกันและกันอยู่หลังจากกลับจาก งานสังสรรค์เลี้ยงรับขวัญ พัศวี ทุกคนต่างแยกย้าย เขาแค่มาส่งเธอ แล้วก็กลับ เธอไม่ได้ชวนเขาอยู่ต่อ ถึงแม้จะอยากให้เขาอยู่ เขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะเข้าไปในบ้าน เขาแค่ส่งเธอหน้าประตูรั้วเท่านั้น
“ทานข้าวเถอะ” นับหนึ่งแตะที่แขน ธนญ เบาๆ ปลุกเขาให้ลุกขึ้นเพื่อรับประทานอาหารเย็นเขาเลิกคิ้ว ด้วยความสงสัย เธอเตรียมอาหารได้อย่างไร เพราะเมื่อมาถึง เขาก็ขอตรงมานอนก่อนเลย โดยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“เอามาจากไหน”เมื่อเขาเดินออกมาที่ระเบียงด้านหน้าบ้านพัก นับหนึ่งจัดเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะเล็กๆ เป็นอาหารพื้น ๆ ไข่เจียว ต้มยำ ผัดเผ็ด และข้าวร้อนๆที่ควันยังกรุ่น อาหารเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ผักสดๆ“สั่งจากร้านของกลุ่มครอบครัวเจ้าหน้า ข้างที่ทำการอุทยานฯ เป็นร้านอาหารที่ทำกันเองไว้บริการนักท่องเที่ยวน่ะ ฉันเห็นนายหลับ เลยอยากให้นอนพัก จะได้ไม่ต้องขับรถออกไปหาของกินอีก”“ขอบใจ”อากาศเริ่มหนาวเย็น แต่ธนญสวมเพียงเสือยืดตัวเดียว นับหนึ่งจึงเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวมาให้ เธอใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย จนเขารู้สึกชื่นชม“ทานได้ไหม” นับหนึ่งมอง ธนญตักอาหารเข้าปาก“ได้สิ มองฉันกินตลอด ฉันไม่ได้กินอะไรยากขนาดนั้น
เขานั่งมองเธอก่อนตัดสินใจย้ายเธอขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะมันอาจทำให้เธอนอนสบายกว่า“ฉันต้องการหกแสน” พระแพงพึมพรำ“หึ” เขาขำในลำคอ ที่ค่าตัวเธอหกแสนเชียวเหรอ“ฉันเกลียดนาย” พระแพงกำลังฝัน และต่อว่าเขาที่มาขัดขวางการยืมเงินของเธอ พร้อมตีเขาที่หน้าอกอย่างแรง“ยายบ้าเอ๊ย! หลับอยู่ยังกล้าตีฉัน”เธอทุบหน้าอกเขาทั้งที่ยังหลับตา สืบสายอุ้มเธอโยนลงเตียง จนเธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างกายเธอบอบช้ำ จากแรงกระแทกที่ตกลงจากรถ ความเจ็บปวดทำให้เธอรู้สึกตัว และลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นหน้าเขา พระแพงตกใจสุดขีด จึงถลันตัวลุกขึ้นหนีเขา ลืมว่าตัวเองเจ็บอยู่สืบสายคว้าไหล่ของเธอไว้แล้วผลักลงนอนตามเดิม ความกลัวทำให้เธอดิ้นรน หนีจากพันธนาการของเขา เขาจึงใช้ร่างกายของเขากดเธอไว้กับที่นอน แขนทั้งสองข้างถูกล็อคไว้เหนือศีรษะ ร่างของเขาทับเต็มตัวกดทับลงที่หว่างขาจนไม่สามารถขยับได้“หยุด” เขาคำราม&ld
อาการบอบช้ำตามร่างกายของวิกรม ทุเลาลงมาก เขาร้อนใจ เมื่อพนมกรมารายงานความคุ้มคลั่งของอักษะที่นับวันจะทวีความรุนแรง และออกคำสั่งที่ดูเหมือนคนขาดสติและมิได้ไตร่ตรอง เรื่องหนึ่งไม่ทันจะหายเรื่องใหม่ก็เข้ามาพนมกรประคองร่างที่ยังเดินได้ไม่ดีนักของวิกรมมาที่รถของเขา ก่อนจะรีบเปิดประตูให้วิกรมได้นั่งสบายๆที่เบาะหลัง เขาปฏิบัติต่อวิกรมต่างจากอักษะ ราวกับวิกรมนั้นเป็นนายใหญ่แทนอักษะเสียอีก ดูจะมีความเคารพยำเกรงและเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเสียด้วยซ้ำไม่ทันที่พนมกรจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงโทรศัพท์ของวิกรมก็ดังขึ้น“เรื่องที่ผมเคยขอให้คุณวิกรมลองตัดสินใจ ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไม่รอคำตอบจากคุณอีกแล้วครับ ผมเลือกแล้ว”“มีอะไรหรือคุณเมืองนาย คนของผมเพิ่งมารับผมออกจากโรงพยาบาลวันนี้”“คุณวิกรมทบทวนข้อเสนอของนายธนญหรือยัง ก่อนหน้าที่ผมเคยบอกกับคุณไว้ ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี และผมฝากคุณวิกรม ไปบอกท่านอักษะด้วยว่า ผมขอยุติการเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายนั่น ถึงผมจะรักเงินมากแค่ไหน แต่น้องชายของผมก็สำคัญกว่าเงินนั่นมากกว่าเป็นหลายเท่า อย่าได้ริอาจมาแตะต้องน้องชา
พระแพงมองแผ่นหลังกว้างของสืบสาย ที่แสงจันทร์จับเป็นเงาวาววับ เสียงพูดคุยที่เบา แต่น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเข้าใจจากโทนเสียง น้ำหนักเสียงหนักเบาของเขา ที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียดสืบสายรับโทรศัพท์ของธนญที่เรียกเข้ากลางดึก หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจกันผ่านไปไม่นานนัก นับหนึ่งที่หมดแรงหลับไปแล้ว ส่วนพระแพงเองก็ไม่ขยับตัวเมื่อสืบสายประคองศีรษะของเธอออกจากไหล่ของเขา เพื่อที่จะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสืบสายนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า หันหลังให้พระแพงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ปิดคลุมไว้แค่เนินอก จนกระทั้งรู้สึกว่าไออุ่นที่เคยได้รับจากกายของสืบสายหายไป และไหล่ของเธอเริ่มเย็นเฉียบ จนรู้สึกขนลุก อีกทั้งเสียงใครบางคนที่กำลังคุยกับใคร ทำให้พระแพงค่อยๆ ลืมตา และเพ่งมองไปที่แผ่นหลังของสืบสาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขา“ฉันจะให้คงทรัพย์ ส่งคนไปเฝ้าคนร้ายที่โรงพยาบาลทันที ฉันกลัวจะเหมือนคราวที่แล้วอีก คราวนี้เราต้องมีพยานบุคคลให้ได้ แล้วเพื่อนนายเป็นอะไรมากไหม”“เมืองเหนือปลอดภัย แผลแค่ถากๆ แต่เจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกจ
ชายที่ตามไล่ล่าพลอยฟ้า ชะงักฝีเท้าทันที ที่เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ที่รถของพวกเขา แต่ไม่ทันที่จะหลบวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง“หยุดนะ ไม่งั้นฉันยิ่ง”ทำให้ตำรวจนายอื่นประทับลำกล้องขึ้นไกปืนทันที แต่คนร้ายกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่เลยสักนิด พวกเขาวิ่งกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนตำรวจนายนั้นลั่นกระสุนตามทันที จนเสียงดังกึกก้องป่า ราวกับเสียงฟ้าคำรามยามฟ้าฝนกระหน่ำเช่นนี้ พร้อมกับไว่ไล่ตามไป“เกิดอะไรขึ้นครับ”เมืองเหนือที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมภูผารีบตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อได้ยินเสียงปืน“พวกคนร้ายมันวิ่งหนีการจับกุมครับ”“แล้วผู้หญิงล่ะครับ”“เราไม่เห็นคุณผู้หญิง ผมคาดว่าคุณผู้หญิง อาจจะหลบหนี พวกมันถึงวิ่งหน้าตื่นออกมาตามหาไม่ทันระวังตัวแบบนั้น”“หนีหรือ”น้ำเสียงของเมืองเหนือนั้นตกใจ เพราะเขาชำนาญป่าแถบนี้ และรู้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย และมีหุบเหวลึกอยู่มากมาย หากคนไม่ชินทางอาจตกลงไปโดยไม่รู้ตัวฝนที่เบาลง ให้พวกเขาตัดสินใจออกตามล่า พร้อมทั้งตามหาพลอยฟ้าไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนร้ายยังไม่ได้ตัวเธออย่
ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถกระบะเก่าคร่ำคร่า จอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในซอยเล็กๆ ห่างจากบ้านฟ้าร้อยดาวราวยี่สิบเมตร ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจเกินไปนัก ที่จะเป็นที่สนใจของผู้ผ่านไปผ่านมา เพราะปกติจะมีรถที่หลบเข้ามาหาที่จอด เพื่อเข้ามาทานอาหารหรือมาที่คาเฟ่อยู่เป็นประจำ“ผมซุ่มดูอยู่ครับ ห่างออกมาจากหน้าคาเฟ่ราวยี่สิบเมตรครับ ไม่มีใครสนใจเรา ผู้หญิงนักวิจัยที่มาจากขุนวางพร้อมนายเมืองเหนือพักอยู่ที่นี่ครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆครับนาย คนไม่พลุกพล่าน แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนไอ้ภูผาคนสนิทของคุณเมืองนายและน้องชายจะเป็นเจ้าของที่นี่ และมันก็พักอยู่ที่นี่ครับ พวกบนเขามีคนของนายภูผาเฝ้าอยู่ และคอยติดตามเข้าป่าไปพร้อมป่าไม้ครับ ยากมากที่จะเข้าถึง ”ชายคนขับกำลังส่งข่าวถึงใครบางคน ซึ่งปลายสายนั้นรู้จักเมืองเหนือและเมืองนายเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดถึงนักวิจัยหญิง ซึ่งคนเดียวที่อยู่ที่นี่นั่นคือพลอยฟ้า รวมถึงภูผาที่เป็นอุปสรรคของพวกมัน“นายว่าไงพี่”“นายบอกให้รอจังหวะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูพวกมันไปก่อน”ทั้งสองเอนเบาะนอนในรถ พร้อมดับเครื่องและแง้มกระจกไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท พวกมันตั้งใจ
คนของอักษะที่ซุ่มรอดูอยู่บริเวณคอนโดหรูที่พักของตรีทศ รอเวลาที่ลลิตาจะออกมา ในที่สุดเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏตัว ลลิตาที่เดินเคียงคู่มาในชุดลำลองของตรีทศ สองหนุ่มสาวเดินออกมาบริเวณด้านหน้า เดินไปตามฟุตบาททางเท้าเพื่อไปยังร้านอาหารที่ห่างออกไปราว สองร้อยเมตรคนของอักษะรีบส่งสัญญาณไปยังคนที่อยู่ในรถ ส่วนคนที่เดินตามก็ตามมาห่างๆ แต่คอยรายงานเป็นระยะ จนกระทั่งตรีทศและลลิตาถึงที่หมายเนื่องจากเป็นร้านอาหารดัง ราคาย่อมเยา รสชาติถูกปากผู้คนในย่านนั้น ทำให้มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งโต๊ะเสริมล้นออกมายังริมฟุตบาท“วันนี้ลูกค้าเยอะ สงสัยเราคงต้องนั่งข้างนอกนี้แล้วหละ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งได้”“คุณครับด้านในที่นั่งเต็มหมดแล้วครับ”เป็นอย่างที่คิด พนักงานเสิร์ฟออกมาแจ้งตรีทศ เมื่อเขามาถึงและถามพนักงานว่าด้านในยังพอที่นั่งเหลือไหม โดยที่พนักงานนั้นจำเขาได้ดี เพราะตรีทศเป็นลูกค้าประจำ พนักงานเสิร์ฟกุลีกุจอ เข้าไปสำรวจด้านในทันที ก่อนจะกลับออกมาพร้อมความผิดหวัง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรานั่งข้างนอกนี่ก็ได้”ตรีทศตอบและหันไปทางโต๊ะเสริมที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ไกลจากปา
ตรีทศตะแคงใช้ศอกค้ำ ฝ่ามือยันศีรษะของตัวเองไว้ นอนมองลลิตาที่มีอาการงัวเงีย เมื่อแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ห้องนอนที่แสนจะเรียบง่ายสว่างขึ้น เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดออก เธอปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องตอบเขาไป ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือความจริง ลลิตาคิดว่าตัวเองฝันไป เธอกระพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง“ตื่นเถอะ”เสียงของตรีทศบอกเธอว่า ไม่ใช่ความฝัน ลลิตาตกใจรีบลุกขึ้น เธอมองไปรอบๆ นี่มันห้องของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน ตรีทศที่ยังนอนมองลลิตาเหยียดยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลลิตาที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงถูกตรีทศรวบเอาไว้ก่อน ลลิตานั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงยื้อที่เหวียงเข้าหาตัวเขา“คุณทศ ไหนบอกให้ฉันตื่น ฉันจะลุกแล้วนี่ไง”“ผมให้คุณตื่นไม่ได้บอกให้คุณลงจากเตียงเสียหน่อย”ตรีทศกอดรอบเอวลลิตาไว้ เธอนั้นจับท่อนแขนที่แน่นขึ้นของเขา พร้อมทั้งห่อตัว เมื่อตรีทศพยายามซุกไซ้ที่ซอกคอ“นี่สายแล้วนะคะ ไม่ไปทำงานหรือ”“ผมทำงานโปรเจคฯ ไม่ต้องเข้าสำนักงานก็ได้ นี่ไงที่ทำงานผม”“แต่ฉันต้องทำ”“เจ้านายคุณไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขาให้คุณดูแลณัฐกา
ตรีทศและนิอรที่เดินออกมายังโถงส่วนหน้าของโรงพยาบาล ห่างไปไม่ไกลจากตรงนั้น ลลิตานั่งรอณัฐการอยู่ที่ร้านกาแฟ ตามที่ณัฐการบอก โดยตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่กำลังสับสนและหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง“นิอร มาทำอะไรที่นี่น่ะ”ณัฐการในชุดคลุมท้องแสนน่ารัก นั่งอยู่บนรถเข็นที่นางพยาบาลช่วยเข็นมาหาลลิตาที่ร้านกาแฟ“คุณอิ๋ง ไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่คุณออกจากบริษัท พวกเราเหงามากเลยค่ะ เจ้านายไม่พาลูกน้องไปเลี้ยงเหมือนเคย อรขอฟ้อง”“นี่พี่อุ๋งกับพี่หัส ละเลยลูกน้องขนาดนี้เลยเหรอฉันต้องจัดการหน่อยแล้ว”“แล้วนี้มาตรวจครรภ์หรือคะ”ตรีทศมองณัฐการ ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน ณัฐการเองก็มองเขาแว้บหนึ่งก่อนจะจำได้“อ้อ ฉันจำนายได้แล้ว นายเป็นเพื่อนของนับหนึ่งนี่นา ฉันเป็นเพื่อนนับหนึ่ง เราเจอกันบ่อยๆ ที่มหาวิทยาลัย”“อ้อ! จำได้แล้ว เธอชื่ออะไรนะ ติดอยู่ที่ปาก”“ฉันชื่อณัฐการคณะบริหาร”“อ่อใช่ ผมตรีทศ”ตรีทศยิ้มให้ณัฐการ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เมื่อจำกันได้“นายเป็นแฟนกับนิอรเหรอ”สิ้นเสียงคำถามของณัฐการ ตรีทศไม่ทันจะได้ตอบ สายต
นายอักษะที่อยู่ในอารมณ์ครุกรุ่น โกรธโมโห และบันดาลโทสะ เขาทำร้ายวิกรมไม่ยั้ง ที่คนของวิกรม ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ชายสูงอายุสองคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนรัก คู่หู เจ้านายและลูกน้องที่รักกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ที่พลาด อักษะไม่เคยให้อภัยใคร เพราะมันหมายถึงชีวิตทั้งหมดของเขาอาจจบสิ้นลงนายวิกรมที่กองอยู่ที่พื้น ถูกลูกน้องสองคนประคองข้างให้ทรงตัวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้นายอักษะเช็ดมือ เอาเลือดของวิกรมที่เปรอะเปื้อนออก ด้วยสายตาและมือที่สั่นเทา เขาไม่เคยเห็นอักษะซ้อมหรือทำร้ายวิกรมถึงขั้นปางตายขนาดนี้มาก่อน เพราะทุกคนรู้ดีว่าวิกรมคือเพื่อนรัก ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของนายอักษะมาตั้งสมัยยังหนุ่ม จนกระทั่งเรืองอำนาจ อีกทั้งเป็นนายอีกคนของพวกเขา“พามันออกไป”สิ้นคำสั่งสองหนุ่มรีบหิ้วปีกวิกรมออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่วิกรมสิ้นลาย และสูญสิ้นศักดิ์ศรีจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกันของอักษะ สายตาดุดันเข้มขึ้น เขากัดฟัน และข่มความเจ็บแค้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอม วิกรมถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อสิ้นสติเช้าวันใหม่ที่แสงอร
พลอยฟ้าตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งสาง ดวงตาที่พยายามลืมขึ้นในแสงสลัวที่ฟ้ายังไม่แจ้งดี พลอยฟ้านอนหันหลังให้เขาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มอุ่นคลุมกายอยู่ใต้วงแขน เสียงหายใจแรงของภูผาทำให้พลอยฟ้า ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นอยู่หรือว่าหลับก่อนจะค่อยลุกขึ้น และหันไปตามเสียงนั้นช้าๆ ใบหน้าที่เอียงไปทางหนึ่ง แขนทั้งสองวางอยู่บนอก ผ้าห่มคลุมแค่ท่อนล่าง ผิวกายที่ขาวสะอาด มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงพลอยฟ้ามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะย่องลงจากเตียง และรีบร้อนสวมใส่มัน และไม่ลืมที่จะเก็บของสำคัญที่เธอตั้งใจมาเอาคืน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและเขาลงเอยกันบนเตียงเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ทำให้ภูผาลืมตา เขาตื่นนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าพลอยฟ้าจะทำตัวไม่ถูก เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับอยู่ เพราะมันก็ยากสำหรับเขาด้วยเช่นกันที่จะต้องเผชิญหากับเธอพลอยฟ้าที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงแดดอ่อนๆ ก็ฉายแสงเต็มที่ แต่เธอยังคงหมกตัวอยู่ในห้อง อยากออกไปข้างนอกใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าโผล่ไปเจอเขาตอนไหน เธอจึงเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องจนกว่าจะได้ยินเสียงของเขา จนกระทั่งช่วงสาย เสียง