กรงรักในมือซาตาน
ตอนพิเศษ
(เส้นตรงเส้นเดียวและเส้นสุดท้าย)
คนที่เป็นลมสลบไสลแน่นิ่ง ใบหน้าซีดเผือดทำให้คนที่นั่งเฝ้านั้นอดห่วงไม่ได้ ใบหน้าที่เขาไม่ได้เห็นระยะใกล้เช่นนี้มานานแรมเดือนตั้งแต่ปล่อยเธอจากมา
"คิดถึงมากเลยนะ" ฝ่ามือหนาเกลี่ยเส้นผมที่ปิดคลุมใบหน้าทัดหู เอื้อนเอ่ยออกมาดั่งที่ใจนั้นรู้สึก มองหน้าเธอยิ่งนึกถึงอดีตที่เคยทำร้าย จนทำลายและย่ำยีเธอให้เจ็บปวด
"ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา ขอโทษที่รู้ตัวช้าไปและจมปลักอยู่กับความแค้น จนมันเข้ามาแทนความรักที่เรามีให้" อานัสเอ่ยบอกจากใจ แม้ว่าเธอจะหลับใหลไม่ได้ยินในความรู้สึกที่มี ก็ยังดีที่กว่าไม่ได้พูดออกไป
"ให้อภัยเราได้ไหมฟาติน" เขายังคงพูดพร่ำออกมาจากปากอย่างต่อเนื่อง ร้องขอวิงวอนคนที่นอนหลับต่อการให้อภัย ทั้งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นอย่างที่ตั้งหวังหรือไม่
"หมอมาแล้วครับท่าน" อัมกาสเดินเข้ามาพร้อมกับหมอที่จะทำการตรวจรักษาฟาติน ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
"ตรวจนางให้ละเอียด ดูเหมือนร่างกายของนางจะไม่ค่อยแข็งแรง" อานัสออกคำสั่งกับหมอที่อัมกาสพามาด้วยวาจาที่นิ่งขรึมวางท่า
"ครับท่าน" หมอตอบรับแล้วจัดการตรวจอาการของฟาติน สายตาของชายหนุ่มเฝ้ามองไม่ห่างไปไหน จดจ้องด้วยห้วงหัวใจที่เฝ้ารอ ลุ้นหนักหนาหวังว่าเธอจะไม่เป็นอะไรที่ร้ายแรง
"เธอเป็นอย่างไรบ้างหมอ" เมื่อเห็นหมอตรวจอาการ แล้ววางเครื่องมือเบื้องต้นในการตรวจ จึงเอ่ยถามทันทีด้วยความใคร่รู้
"เหมือนจะพักผ่อนน้อยครับท่าน ร่างกายเลยอ่อนล้าเป็นลมไป ให้พักสักหน่อยคงจะหายดี เดี๋ยวจะให้น้ำเกลือนะครับ" หมอบอกเล่าอาการของฟาตินให้รับรู้
"ดำเนินการตามที่เห็นควร" อานัสเอ่ยบอกและถอยห่างให้หมอได้จัดการดูแลคนที่ร่างกายไม่แข็งแรงตามสมควร
...ขั้นตอนการดูแลรักษาตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้า ทุกอย่างดำเนินการเสร็จสิ้น สีหน้าของคนที่นอนไม่รู้สึกตัวเริ่มดูดี เมื่อได้น้ำเกลือเข้าสู่ร่างกาย จนทำให้ชายหนุ่มที่เคร่งขรึมนั้นยิ้มได้
"เรียบร้อยครับท่าน กระผมจัดยาบำรุงให้เธอทานประจำจนกว่ายาจะหมดนะครับ"
"อืม ขอบใจ"
หมอรายงานและสั่งการออกไป คนที่ฟังอย่างตั้งใจตอบรับทันทีอย่างรู้งาน ด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมในแบบฉบับที่เคยเป็น
"อัมกาสไปส่งหมอด้วยนะ เดี๋ยวเราจะรออยู่ที่นี่ดูฟาตินจนกว่าจะตื่น" อานัสสั่งการกับคนสนิทและเอ่ยบอกถึงสิ่งที่ต้องการในลำดับถัดไป
"ครับท่าน...เชิญครับหมอ" อัมกาสรับคำสั่งและเชื้อเชิญหมอให้เดินนำหน้าอย่างให้เกียรติ
ทั้งสองคนเดินออกจากบ้านไป ปล่อยไว้เพียงผู้เป็นนายทั้งสองไว้ลำพัง อานัสนั่งลงเคียงข้างฟาตินแผ่วเบา จ้องมองใบหน้าเสลาสวยงามนั้น และจูบซับลงกลางหน้าผากนูนอย่างแสนรัก
การถูกรบกวนทำให้คนที่นอนหลับเริ่มรู้สึกตัว ชายหนุ่มที่ปลอมตัวมาเริ่มปรับทีท่าให้นิ่งเฉย จัดการสำรวจใบหน้าที่ติดอุปกรณ์ปลอมกายให้เข้าที่พร้อมกับเธอที่เปิดเปลือกตาลืมมองพอดิบพอดี
"คุณเป็นใคร" ฟาตินเอ่ยถามหน้าตาตื่นตระหนกตกใจ รีบลุกกรูขยับถอยหลังให้ออกห่างคิดระแวงชายตรงหน้า
"ใจเย็น ๆ ผมช่วยคุณไว้เห็นเป็นลมอยู่ข้างบ้าน" อานัสดัดน้ำเสียงให้แปลกไปจากที่เคยเป็น เพราะเกรงว่าฟาตินจะจับได้หากเป็นเขา
"แล้วเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ" ฟาตินตะเบ็งเสียงโวยวาย และเอ่ยปากไล่คนที่แปลกหน้าสำหรับเธอ
"ผมอุ้มคุณเดินเข้ามาสิ ถามแปลก ๆ ก็แค่หวังดีเห็นว่าเป็นลมไม่มีคนเห็น...ใจเย็น ๆ ผมไม่ได้คิดร้ายต่อคุณจริง ๆ" อานัสรีบบอกออกไปเพราะสีหน้าของฟาตินนั้นหวาดระแวงสั่นกลัวอย่างมาก
"............."
"ผมช่วยเหลือไม่ได้หวังอะไรตอบแทนสักนิด เชื่อผมเถอะครับ" คำพูดที่ฟังแล้วละมุนเสนาะหู คนที่หยาบกระด้างต้องปั้นแต่งคำพูดเพื่อบิดเบือนหญิงตรงหน้า
ฟาตินจ้องมองหน้าของชายหนุ่มไม่วางตา หลังชิดกับหัวเตียงอีกฝั่งที่ห่างไกลออกไปเพราะหวาดหวั่นเหลือแสน ชายแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้น เธอจะไว้ใจได้อย่างไร
"ทำไมดวงตาของคุณ..." ฟาตินที่สังเกตเห็นนัยน์ตาที่คุ้นชิน ใบหน้าที่ถูกกลบเกลื่อนอำพรางไว้จนแทบจำไม่ได้ แต่แววตาที่ฉายวับออกมาทำให้เธอนึกฉงนในใจ แววตาที่คุ้นเคยที่เคยเห็นที่ไหนแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะใช่คนที่คิดหรือไม่
"ทำไมครับ" อานัสเอ่ยถาม
"เปล่าค่ะ เหมือนคนที่ฉันเคยรู้จักคนหนึ่ง แต่เขาทำร้ายฉันให้เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้" ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายเข้ามาในห้วงความคิด เรื่องเลวร้ายที่บีบรัดหัวใจของเธอให้เจ็บปวด ตอกย้ำหนักกับสิ่งที่พบเจอ จนเธอต้องนั่งนิ่งก้มหน้าด้วยความเศร้า
"..............." คนที่ฟังถึงกับใจหล่นวูบลงปลายเท้า ยิ่งคำพูดเร้าในอารมณ์เศร้ายิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกผิดมหันต์ จนแทบไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง "ฟาติน" อานัสเอ่ยเรียกชื่ออย่างคุ้นเคยด้วยความเผลอเลอ เสียงเศร้าแผ่วเบาที่เอื้อนเอ่ย ทำให้ฟาตินนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง และขมวดคิ้วชนกันอย่างเป็นคำถาม
"อะไรนะคะ?" ฟาตินย้อนถามอย่างสงสัย ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ผิดเพี้ยน แม้จะเป็นน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่เธอก็ได้ยินเต็มสองหู
"ฟาติน" อานัสเรียกย้ำพร้อมกับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
"รู้ชื่อฉันได้ยังไง?" สิ่งที่ได้ยินทำให้ฟาตินนั้นเบิกตากว้างทันใด รู้ซึ้งซึ่งคนตรงหน้าแล้วว่าเป็นใครที่เธอนั้นพยายามหลีกหนี แต่บัดนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้าเสียได้
"............" อานัสไม่พูดตอบใด ๆ ทำเพียงจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตนั้นอย่างลึกซึ้ง สื่อถึงความหมายของความรู้สึกที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาอยู่แทบไม่ติดที่ อุปนิสัยที่เคยมีเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ฟาตินนั้นจากลาและสั่งห้าม
"ท่านมาทำไม...ออกไป!!" ฟาตินเอ่ยถามก่อนจะชี้นิ้วขับไล่ ตะเบ็งเสียงกร้าวอย่างเกลียดชัง ซึ่งคนฟังอย่างอานัสรู้ดีในสิ่งที่เธอนั้นรู้สึก
"เราจะไม่ไปไหน จำได้ไหมที่เราเคยบอกก่อนที่เธอจะจากมา ว่าหากเราได้พบกันอีกเราจะไม่มีวันปล่อยเธอไปไหน" อานัสท้าวความในอดีตที่เคยพูดไว้ สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าเขานั้นตั้งใจ และพูดมันออกมาด้วยความรู้สึกลึก ๆ ที่มี
"....จำที่ฉันพูดไว้ไม่ได้หรือคะ" ฟาตินยืนยันคำพูดหนักแน่น น้ำเสียงที่ฟังแล้วบีบรัดขั้วหัวใจของอานัสให้เจ็บปวด แต่ด้วยบุคลิกภายนอกที่คาดเดาได้ยาก ความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้ก็ไม่ได้เผยออกมา หากว่าเรื่องที่พบเจอไม่กระทบกระเทือนจนทนไม่ไหว
"เราจำได้ดี แต่เราปล่อยมือไปแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ" อานัสพูดบอกด้วยน้ำเสียงละมุนกว่าที่เคยเป็น
"........." ฟาตินได้แต่เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา เพราะเกรงว่าธารน้ำตาของเธอที่มีจะพานไหลต่อหน้าเขา เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และพยายามจะถอดสายน้ำเกลือออกจากมือหวังเดินหนีชายตรงหน้า
"ฟาตินอย่าทำแบบนั้น เธอต้องพักผ่อนนะ" อานัสรีบปรามทันใด และปรี่ประชิดตัวโอบกอดฟาตินไว้แนบแน่น
"อย่ามาจับและแตะต้องตัวฉัน ฉันรังเกียจท่านได้ยินไหม...ไอ้คนใจร้าย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฮึก ฮึก อึก ปล่อยฉัน ฮือ ... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ขอร้องฉันกำลังจะดีอยู่แล้ว อึก ฮึก ทำไมต้องมาให้เห็นหน้าด้วย ฮือ" ฟาตินที่อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มแข็งแรงปล่อยตัวโยนร้องไห้โฮ ความเจ็บปวดที่มี ความรู้สึกภายในที่กอบกินหัวใจ จนแทบยืนทรงตัวไม่ไหวจนเข่าค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้นแข็ง แต่ได้แรงของชายหนุ่มประคองไว้ในอ้อมอก ความเสียใจทำให้เธอไม่สามารถสั่งหยาดน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าเขาได้
"ขอโทษ" อานัสเอ่ยเพียงสั้น ๆ โอบรัดร่างบอบบางด้วยความคะนึงหา กระชับอ้อมกอดแน่น ลูบหัวของเธอแผ่วเบานุ่มนวล กดแนบใบหน้าสวยที่มีคราบน้ำตามากมายให้อิงซบกับอกแกร่ง
"ฮือ...มาทำไม! มาให้ฉันเจ็บปวดทำไมกัน อึก ฮือ" ฟาตินยังคงพูดพร่ำด้วยน้ำเสียงสะอื้นร่ำไห้อย่างไม่คิดอายชายตรงหน้าแม้แต่น้อย เมื่อสิ่งที่เป็นแม้จะจากมาแต่ว่าก็ไม่เคยที่จะสบายใจได้เลยสักคืนเดียว ภาพเกี่ยวกับเขามักฉายวับเข้ามาในห้วงความทรงจำไม่ลืมเลือน แม้จะย้ำเตือนกับตัวเองว่าเขานั้นร้าย แต่ทำไมหัวใจกลับร่ำร้องเรียกหาตลอดเวลาที่ห่างไกล
"มารับหัวใจกับคืนสู่อก" อานัสเอ่ยบอกชิดหูแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นสัมผัสกับเนื้อผิวคอของหญิงสาว คำพูดที่ได้ยินชัดเจนทำเอาเธอนั้นหยุดร้องไห้เสียใจทันที
".............." ฟาตินละจากอ้อมกอดแกร่ง แล้วเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ
"ให้อภัยเราได้ไหมฟาติน" อานัสไล้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้หญิงที่อยู่ใต้ความสูง พูดออกมาด้วยความจริงใจและตั้งมั่น เขาต้องการให้เธอนั้นอภัยในสิ่งที่ผ่านมา แม้จะรู้ดีว่ามันหนักหนาเกินที่เธอจะให้อภัยได้ แต่เขาก็ยังหวังแอบอยู่ในใจ เพราะการที่ห่างไกลกันทำให้รู้หัวใจตัวเองมากยิ่งขึ้น
"เพราะอะไรฉันต้องให้อภัยท่าน" ฟาตินขยับตัวออกห่างเพียงก้าวเดียว ก่อนจะเบือนหน้าหนีใช้เพียงเสี้ยวสายตามองหน้าเขาเท่านั้น
"ถ้าจะบอกว่ารัก...รักจากใจ รักจนไม่อยากให้หนีจากไปไหน จะพอให้อภัยเราได้ไหม?" อานัสขยับตัวเข้าใกล้ เชยคางมนให้เงยมอง แล้วเปล่งวาจาออกมาให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกที่มีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
"อย่ามาเล่นตลก...ท่านเกลียดชังคับแค้นใจฉันอย่างอะไรดี แล้วตอนนี้จะมาบอกว่ารัก มันจะเชื่อถือ...อื้อ 0.0"
ฟาตินที่ไม่คิดเกรงกลัวใด ๆ เธอร่ายยาวเสียงกร้าวอย่างไม่คิดเชื่อ ดวงตาแข็งกร้าวที่จ้องมอง คำพูดที่เหมือนตัดพ้อต่อเยื่อใย ทำให้ชายหนุ่มนั้นไม่ชอบใจ ประกบปิดชิดริมฝีปากอวบสนิท จูบตรึงเรียวปากสวยที่แสนคิดถึงอย่างโหยหา ดันปลายลิ้นอุ่นควานหาความหวานในปากสาว แม้เธอจะต่อต้านด้วยการเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง แต่คนอย่างอานัสที่ช่ำชองย่อมจัดการได้จนสำเร็จ จนเธอนั้นเคลิบเคลิ้มตามไม่ขัดขืนดั่งตอนแรก
"เพราะรักมากดั่งดวงใจ จึงไม่อยากจะให้จากไปไหนอีก รักจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้ง เรารักเธอนะฟาติน แม้ตอนนี้เธออาจจะยังไม่เชื่อ แต่ขอให้เราได้พิสูจน์ได้ไหม เราจะทำให้เธอเห็นว่ามันเป็นดั่งที่วาจาของเราเปรยออกไป...กลับไปกับเราเถอะนะ" อานัสละกลีบปากออกในระยะประชิด เอื้อนเอ่ยร่ายยาวด้วยสำเนียงเสนาะหูหวานซึ้ง ซึ่งคนอย่างอานัสไม่เคยมีวาจาเช่นนี้กับใครมาก่อน
"ทะ ทะ ท่านอานัส" ฟาตินที่ได้ยินแทบไม่เชื่อหู เธอเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างติดขัด สบสายตามองลึกเข้าไปในดวงตาดุดันนั้น พร้อมกับม่านน้ำตาที่เอ่อคลอ ไม่คิดฝันว่าชายตรงหน้าจะมีหัวใจรักให้แก่เธอ ทั้งที่อดีตผ่านมาไม่มีทีท่าจะเป็นเลยสักนิด
"รักมากจึงตามหา และเราจะไม่ให้เธอไปไหนอีก เราจะเป็นเส้นขนานที่มาบรรจบกันเป็นเส้นตรงเพียงเส้นเดียวนับจากนี้ จะไม่มีวันแยกจากอีกตลอดลมหายใจของเราที่ยังคงอยู่"
" ฮึก อึก ท่านอานัส" ฟาตินที่ได้ยินประโยคสุดซึ้ง ยืนนิ่งน้ำตาไหล ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขาเท่านั้น เธอเอื้อมมือจัดการกับอุปกรณ์ปลอมตัวของเขาออกจนหมด เผยให้เห็นใบหน้าคมดุดันที่ชัดเจน นั่นยิ่งเรียกธารน้ำตาของเธอให้รินไหล
"กลับด้วยกันนะ" อานัสเช็ดน้ำตาให้เธอ ก่อนจะจูบละมุนลงกลีบปากสวยที่สั่นระริกซาบซึ้ง
"อืม" ฟาตินพยักหน้ารับทั้งน้ำตา คำพูดที่ไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อย แต่มันก็เริ่มกัดเซาะพื้นที่ในหัวใจของเธอไปบ้างแล้ว
"เรารักเธอนะฟาติน แล้วเธอมีใจรักให้เราบ้างไหม?" อานัสเอ่ยถามออกไปหวังจะได้ในคำตอบที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
"อืม" ฟาตินตอบรับสั้น ๆ อย่างเขินอาย ก่อนจะก้มหน้ามองต่ำลงสู่พื้นแข็ง
"นั่นไม่ใช่คำตอบ เราถามว่ามีใจให้เราบ้างไหม รักบ้างหรือยัง" อานัสย้อนถามอีกครั้ง
"....ก็อืมแล้วไง" ฟาตินยืนยันคำตอบเดิม เพราะหากพูดมากกว่านี้เธอต้องหน้าร้อนแทบปรอททะลุเป็นแน่
"แล้วรักไหมล่ะ?" อานัสยังคงเซ้าซี้ต่อ เชยคางมนให้แน่นิ่งพร้อมกับจ้องมองหน้าเธอด้วยแววตาข่มขู่
"รักก็ได้" ฟาตินรีบตอบด้วยท่าทีเขินอาย แต่ก็ไม่วายชายตรงหน้านั้นบังคับให้เธอจ้องสบตา
"ทำไมต้องก็ได้...รักหรือไม่รัก ตอบเราเดี๋ยวนี้!!" อานัสยังคงยียวนและส่งเสียงแข็งกร้าวอีกครั้ง เพราะเขานั้นอยากได้ยินคำรักจากปากของเธอสักครั้ง แม้จะไม่รักมากแต่ขอแค่ให้มีรักก็ดีมากแล้ว
"รักค่ะ...แต่แค่ไม่มาก" ฟาตินพูดออกไปตามความรู้สึกที่เป็น
"ก็แค่เนี้ยลีลาอยู่ได้" อานัสที่พอใจในคำตอบเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มฉีกกว้างที่ไม่เคยเผยต่อสายตาใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ที่ฟาตินได้เห็น รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นแรงดั่งกลองมโหรี
"ท่านยิ้มเป็นด้วยหรือคะ...แต่ก็ยังปากร้ายไม่เคยเปลี่ยน" ฟาตินเอ่ยถามและพร้อมกับคำว่าตำหนิไม่จริงจัง
"ก็ไม่ชอบอะไรเลี่ยน ๆ นี่นา" อานัสดึงร่างบอบบางโอบกอดแน่น วางคางลงกลางหัวของหญิงสาว ดอมดมเรือนผมของเธออย่างแสนรัก
"แล้ววาจาก่อนหน้านั้นไม่เลี่ยนเลยหรือไง" ฟาตินไม่ได้กอดตอบแต่อย่างใด ปล่อยให้เขากอดเธอตามอำเภอใจ และไม่วายยอกย้อนในคำพูดที่เขาเอ่ยก่อนหน้า
"พูดมากเดี๋ยวจับปล้ำตรงนี้เสียหรอก" อานัสที่เสียฟอร์มต่อคำย้อนของฟาติน จึงพูดข่มขู่ออกมาและกดปลายจมูกหอมพวงแก้มที่อาบชื้นด้วยควาบน้ำตาสีใส
"ชิ!!!" ฟาตินสะบัดเสียงใส่ทันใดและยิ้มหวานออกมาเหมือนทุกอย่างที่เธอนั้นบอบช้ำได้มลายหายไป
"ขอบคุณนะที่ยอมกลับมา...เรารักเธอ" อานัสพูดย้ำคำรักอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยใบหน้าเข้าชิดใกล้ และจูบตรึงแนบชิดเรียวปากอวบนั้นอย่างแสนรัก เหมือนเป็นสิ่งยึดมั่นว่าจะมอบหัวใจให้เธอตราบนานเท่านาน
พิเศษ : กบฏปัง!! ปัง!! ปัง!!...เสียงปืนรัวดังกังวาน เหมือนสะท้านมาจากด้านในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ สิ่งที่ได้ยินทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัว รีบหดตัวหมอบลงที่ต่ำ พร้อมกับกอดแน่นหญิงที่รักอย่างห่วงใย“กะ เกิดอะไรขึ้น” ฟาตินที่ตัวสั่นในอ้อมกอดของอานัส ใช้มือปิดหูไว้ป้องกันเสียงดังจากกระสุนปืน เธอเอ่ยถามตะกุกตะกักอย่างหวาดกลัว“เงียบก่อนนะ เดี๋ยวเราจะโทรเรียกอัมกาส” อานัสที่เริ่มกังวลใจ การที่ได้ยินเสียงปืนดังติดกันหลายนัด ทำให้เขานั้นนึกห่วง ถ้าตัวคนเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่กลับมีหญิงสาวที่รักข้างกาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล แถมอาวุธติดตัวก็ไม่มี ปืนสักกระบอกก็ไม่ได้คิดพกมา ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ปัง!! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! (กรี๊ด)(ว้าย)(เฮือก!!)เสียงปืนดังติดกันหลายนัด พร้อมกับเสียงหวีดร้องของชาวบ้าน เหมือนมันกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ฟาตินที่กลัวจนตัวสั่น สองมือปิดหูบังไว้ ไม่ให้ได้ยินเสียงปืนชัดเจน เธอถูกอานัสโอบกอดไว้แน่น ในขณะที่เขาพยายามต่อสายหาคนสนิท“อัมกาส!! ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น!” เมื่อต่อสายได้สำเร็จ เขาจึงเอ่ยถามทันทีด้วยความใคร่รู้“พวกมันกำลังจะเขายึดห
พิเศษ : รักฟาติน เสียงปืนก็ยังคงดังต่อเนื่อง ด้วยไหวพริบและความเร็วที่อานัสมี เขาพาฟาตินวิ่งลัดเลาะไปตามชายป่ารกทึบ ที่มีทั้งต้นไม้ใหญ่และขวากหนามมากมาย แต่สุดท้ายก็พาเธอมาถึงที่หมายได้สำเร็จ“ไม่ต้องร้องนะฟาติน เธอจะปลอดภัย เราไม่มีทางให้เธอเป็นอะไรไปแน่”เขาพูดปลอบคนที่ร้องไห้หนักเพราะหวาดกลัว ไล้มือเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แตะจูบชิดริมฝีปากอวบอิ่มนั้นด้วยความรัก สายตาที่จ้องมองแม้จะอาทรห่วงใย แต่หน้าที่ของลูกผู้ชายที่เป็นบุตรก็ย่อมสำคัญเช่นกัน ความรักและหน้าที่ที่สำคัญไม่ต่างกัน เขาจะต้องฝ่าฟันมันไปให้จงได้“แล้วอัมกาสจะมาตอนไหนคะ...ท่านอานัสอย่าทิ้งฉันนะคะ ฉันกลัวจริง ๆ”“จะทิ้งได้ยังไงล่ะ กว่าจะตามหาและได้ยินคำว่ารัก มันยากเย็นแค่ไหนไม่รู้หรือไง หื้ม เรายังใช้มันไม่คุ้มเลยนะ...นั่นอัมกาสมาพอดี”อานัสพยายามยิ้มให้ แม้จะไม่มั่นใจว่าเขาจะได้กลับไปหาเธออีกไหม เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ค่อนข้างรุนแรง กระสุนปืนที่ไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้จะฝังลงจุดใดบ้าง"ท่านครับ""อืม ทำตามที่เราบอกไว้ ให้คนคุ้มกันฟาตินให้ดี ไปในที่ที่เราบอกไว้ ที่นั่นจะปลอดภัยแน่นอน"เมื่อคนสนิทและเหล่าบอร์ดี้การ์ดฝีมือ
พิเศษ : จบลงฟาตินถูกพามายังที่พักอย่างปลอดภัย แต่อีกคนไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ก็ยังไม่มีใครทราบแน่ แม้เหล่าบอร์ดี้การ์ดก็ไม่ทราบข่าวคราวหลายชั่วโมงกับการที่หญิงสาวนอนไม่ได้สติ จนเวลาผ่านพ้นคืนนั้นไป ยามเช้าที่แสงแดดอ่อนสาดทอเข้ามากระทบกับม่านตาให้รู้สึกตัว อาการมึนศีรษะก็เริ่มมี เธอค่อย ๆ ขยับตัวลุกนั่งหลังพิงกับหัวเตียงช้า ๆ“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างคะ ซาดียะห์ดีใจมากเลยค่ะ อึก ฮึก...”หญิงรับใช้ที่ถูกสั่งมา เมื่อรู้ว่าเป็นใครที่เธอต้องดูแล ก็มีอาการดีใจ เพราะความผูกพันที่มีต่อกัน แม้จะระยะเวลาสั้น ๆ มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีต่อฟาตินได้“ซาดียะห์เหรอ”คนที่เพ่งพิศจ้องมอง ภาพตรงหน้าที่เลือนราง เพราะการหลับทำให้วิสัยทัศน์ในการมองพร่าเบลอ“ค่ะ...ซาดียะห์เอง นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างคะ เจ็บตรงไหนไหม หรือว่าปวดหัวบ้างไหมคะ?”ซาดียะห์ไล่สายตามอง แล้วรีบถามด้วยความห่วงใย น้ำตาของเธอที่รินไหล ก็เพราะว่าห่วงใยนายหญิงของคฤหาสน์เหลือแสน“เราเจ็บท้ายทอยแล้วก็ปวดหัว” ฟาตินบอกด้วยรอยยิ้มที่ฝืน ๆ“เดี๋ยวซาดียะห์จะไปเอาประคบมาให้นะคะ นายหญิงรอสักครู่”“ขอบใจนะ”เมื่อได้ยินถึงอาการ หญิงรับใช้ที่จงรักภักดีก
พิเศษ : ปลอดภัยแต่..."ท่านอานัสปลอดภัยแล้วครับ"อัมกาสรายงาน แต่ว่าสีหน้าของเขานั้นไม่สู้ดี นั่นทำให้ฟาตินนั้นไม่อาจวางใจได้"ปลอดภัยแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น" ฟาตินย้อนถาม"หมอบอกว่า...ท่านอานัสอาจจะเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากว่าหัวได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง""....."สิ่งที่ได้ยินทำเอาฟาตินถึงกับนิ่งงันไป ทำไมชีวิตของเธอเมื่อจะถึงเวลามีความสุข จะต้องมีอะไรมาบั่นทอนให้เสียใจ คนที่คิดว่าจะรักก็ไม่เหมือนเดิม ทั้งที่เธอนั้นกำลังจะเปิดใจ แต่ไหนถึงได้เป็นเช่นนี้"ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรืออัมกาส" ฟาตินถามย้ำให้ชัดต่อสิ่งที่ได้รับฟัง บ่อน้ำตาก็รื้นขึ้นมาทันที แต่ไม่มีเสียงสะอื้นร่ำไห้ เหมือนเธอนั้นช้ำอยู่ในอก จนร้องไห้ออกมาไม่ได้ นอกจากหยาดน้ำตาสีใสที่ไหลรินโดยไม่อาจสั่งให้หยุดได้"ครับนายหญิง...ซึ่งหมอบอกว่าคงต้องใช้เวลา ตอนนายท่านพลัดตกน้ำ น่าจะกระแทกกับหินอย่างแรง บาดแผลที่ถูกยิงหมอจัดการผ่ากระสุนออกเรียบร้อยแล้วครับ""......"อัมกาสเล่าอาการต่อไป ส่วนคนที่เศร้าใจก็นิ่งงัน มีเพียงหยาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินเป็นสาย "เราเข้าไปหาเขาได้ไหมอัมกาส""ได้ครับ...ซาดียะห์เอาชุดมาให้นายหญิงสวม"
พิเศษ : ลืมสองเท้าก้าวเดินออกจากห้องไป มุ่งตรงสู่ห้องส่วนตัวที่ถูกเตรียมไว้ให้ ซึ่งมีเครื่องใช้และเสื้อผ้าเพียบพร้อม เธอจัดการชำระร่างกายตามสมควร ใช้เวลาไม่นานมากก็เดินกลับหาคนป่วยดังเดิม“นายหญิงคะ นายหญิง”ขณะเดินท้าวไปตามทางเดิน เพื่อไปยังห้องของคนป่วย ระหว่างก็เห็นหญิงรับใช้วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา“มีอะไรเหรอซาดียะห์”“นายท่านค่ะ นายท่าน”“ท่านอานัสเป็นอะไร”“นายหญิงรีบไปดูด้วยตาตัวเองเถอะค่ะ”สีหน้าที่เห็นและการบอกเล่าที่ยังจับใจความไม่ได้ ทำให้ฟาตินนั้นเริ่มใจไม่ดี เธอย้อนถามด้วยความพะวงใจ กลัวว่าคนที่นอนป่วยจะอาการทรุด แม้จะบอกว่าเขาเริ่มดีขึ้นแล้วก็ตาม“ท่านอานัส”เมื่อเปิดประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นทำให้เธอนั้นขอบตาร้อนผ่าว เขาที่เคยนอนหลับตานิ่ง ตอนนี้ไหวติงกะพริบตาแล้วมองมาที่เธอ“ซาดียะห์ บอกอัมกาสด้วยนะว่าท่านอานัสฟื้นแล้ว และให้ตามหมอมาดูอาการด่วนเลย”“ค่ะนายหญิง”ฟาตินออกคำสั่งด้วยความดีใจ เธอรีบปรี่เข้าไปหา แล้วยืนเคียงข้างกายเขา พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความดีใจ ที่รินไหลอาบสองข้างแก้มเนียนใส“เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”เธอเอ่ยถามเขาด้วยความดีใจ สายตากวาดมองตามร่างกา
พิเศษ : น่าเบื่อ“ลืมฟาตินจริง ๆ ใช่ไหม?”“นายหญิงคะ?”“ซาดียะห์ออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”“แต่ว่า....”“ขอร้อง”เมื่อต่อความกันไม่จบสิ้น คำพูดที่เป็นการอ้อนวอน แม้ซาดียะห์จะห่วงใย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก จำต้องเดินจากมาด้วยความห่วงใย ปล่อยให้ผู้เป็นนายได้อยู่ลำพัง ตามที่เธอนั้นต้องการ“อึก ฮึก”เมื่อรู้ว่าหญิงรับใช้ได้ออกจากห้องไป ฟาตินก็เริ่มปล่อยธารน้ำตาให้รินไหล มองไปยังคนตัวโตที่ตอนนี้เดินห่างออกไป เขาคงกำลังจะกลับเข้ามาในตัวบ้าน เพราะดวงตะวันนั้นลับขอบฟ้าไปเสียแล้วทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เขาไม่มีทีท่าจะจดจำเธอได้สักนิด จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนสามเดือนแล้ว เธอต้องคอยเข้าหาเขาด้วยความเจ็บปวดที่ขั้วหัวใจ ยิ่งตอนเขาขับไล่ผลักไสปฏิเสธ ยิ่งบีบหัวใจเธอไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเข้าใจว่าเขานั้นยังไม่หายดี หวังว่าต้องมีสักวัน เขาจะต้องจดจำเธอได้เป็นแน่การดูแลที่เหมือนเดิม จนเขานั้นคงชังขี้หน้าเธอเข้าไส้ แต่จะทำอย่างไรได้ เธอต้องอาศัยความหน้าทน เพื่อนปรนนิบัติใกล้ชิดเขา เพื่อเฝ้ารอวันหนึ่งวันใด เขาจะต้องจดจำเธอได้แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเธอนั้นความทรงจำ แต่เธอจะทำให้เขามีเธอในห้วงความคิดเสียใ
พิเศษ : ไม่เคยลืม“เมื่อไหร่จะจำฟาตินได้นะ รอนานแล้วนะคะรู้ไหม?”เธอพูดพร่ำพร้อมกับถูไถแก้มกับมือของเขา จ้องมองใบหน้าคมคายภายใต้แสงจันทร์ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องสายตาของเธอไม่ละห่างจากใบหน้าของเขา ยามหลับใหลที่เขาดูไม่มีพิษภัย เธอจ้องมองอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะฟุบหน้าลงกับเตียงข้างเขา และเผลอหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเขาไม่ห่างกายอาการหนักตรงแขน ทำให้คนที่นอนหลับ ที่กำลังพยายามพลิกตัวตะแคงหนีฝัน เริ่มรู้สึกตัวตื่น สายตาของเขาจ้องมองไปยังใบหน้าสวย ที่นอนทับมือเขาไว้ จ้องมองด้วยความพยายามว่าเธอนั้นใช่คนที่รักจริงหรือเปล่าและนี่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน และเริ่มมีภาพใบหน้าของเธอผู้นี้อยู่ในฝันแทบทุกคืน แม้กระทั่งคืนนี้ก็เช่นกัน นับชั่วโมงที่เขามองเธออยู่แบบนั้น และแล้วภาพเธอก็ลอยเข้ามาให้ห้วงความทรงจำ รอยยิ้มและการกระทำไม่นานเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ภาพเดิม ๆ วนเวียนซ้ำ ๆ จนเขานั้นเริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องใช่เธอแน่นอน“ฟาติน”เขาเอ่ยเรียกชื่อของเธอแผ่วเบา รอยยิ้มของเขาเฉิดฉายบนใบหน้า มือหนาอีกข้างที่ว่างเว้น ลูบหัวของเธอเบา ๆ ความรู้สึกเก่า ๆ เริ่มคืบคลานเข้ามา“คิดถึงจัง”เขาพลิกตัวตะแคงมาทางเธอ นอ
พิเศษ : รักไปแล้ว "ท่านอานัส!! อย่ามาแสร้งนะคะ มาอธิบายเดี๋ยวนี้เลย!""โอ๊ะ ๆ ๆ เจ็บ ๆ นี่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายผัวเลยเหรอ....กล้าเกินไปแล้วที่รัก"เธอทุบตีลงอกของเขาเร็วถี่อย่างเจ็บใจ พูดพร่ำออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับม่านน้ำตาที่เอ่อคลอ และเริ่มรินไหลเป็นสายไม่หยุดหย่อนเขาไม่ต้องพูดมาก เธอก็พอจะเดาเรื่องราวออกแล้วว่ามันคืออะไร แค่อยากจะฟังมันให้ชัดเจนก็เท่านั้น ว่าสิ่งที่เธอคิดมันคือความจริงที่เขาเสแสร้งแกล้งเธอ"ท่านมันคนเจ้าเล่ห์ คนหลอกลวง มาเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้ได้ยังไง ทำไมถึงได้ใจร้ายไม่จบไม่สิ้น อึก อึก ทำไมใจร้ายแบบนี้ ฮือ~~~รู้ไหมว่าเป็นห่วงแค่ไหน เจ็บหัวใจจะตายอยู่แล้วรู้บ้างไหม ฮึก อึก ฮือ~~"เธอยังคงทุบตีเขาเรื่อยไป พูดพร่ำพรรณนาทั้งน้ำตา จนเขาต้องรีบกอดเธอไว้แน่นอย่างห้ามปราม ไม่อย่างนั้นเธอคงทุบเขาไม่หยุด"รักเราไหม""ไม่รักจะมาทนดูแล มาอยู่แบบนี้ทำไม...ท่านมันใจร้าย คนผีทะเล ฮือ~~ไม่ต้องมากอด! ปล่อยฟาตินเดี๋ยวนี้! ปล่อยเลย!"เธอพยายามดีดดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา แต่ว่ายิ่งดิ้นเท่าไหร่เขานั้นกลับยิ่งกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม"จะปล่อยเมียตัวเองไปได้ยังไงกันล่ะ กว่าจะม
กาลเวลาผ่านพ้นไป ความรักมั่นไม่เคยเสื่อมคลาย บัดนี้รานีแห่ง เชคฮ อานัส ตั้งครรภ์บุตรชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เพียงแค่รอให้กำเนิดทายาท มันทำให้คนที่ขึ้นชื่อเรื่องเสือผู้หญิงถึงกับศิโรราบ"เป็นอย่างไรบ้าง" ถามไถ่ภริยาที่มีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทั้งที่ท้องแก่เจียนใกล้คลอด อาเจียนจนใบหน้าเหลืองซีด เชคฮ อานัส ค่อย ๆ ประคองภริยาให้เอนหลังพิงกับหัวเตียง จับยาหอมจ่อจมูกให้นางได้สูดดม"เหนื่อยค่ะ" จากน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนึกสงสารคนรักเป็นอย่างมาก หากเป็นไปได้ก็อยากจะเป็นแทนเสียเอง"ลูกคนนี้คงจะดื้อรั้นน่าดู ขนาดอยู่ในท้องยังทำแม่หอบเหนื่อยขนาดนี้""เหมือนท่านไงคะ" ฟาตินนางแย้งทันที แม้จะมีสีหน้าอ่อนแรง ทว่าปากของนางนั้นยังสามารถตอบโต้ได้อย่างลืมเหนื่อย"โธ่ ฟาตินที่รักตอนนี้ผัวน่ารักแล้วนะ" กลายเป็นคนขี้อ้อนเอาดื้อ ๆ ตั้งแต่รู้ว่ากำลังจะมีทายาท ราชกิจที่เคยจัดการ ก็รีบสะสางเพื่อมาคอยดูแลรานีอันเป็นที่รัก"น่ารักอะไรกัน ก่อนหน้านี้ท่านยังชวน เชคฮ บราฮิม ไปฮาเร็มแบบนี้น่ารักตรงไหนคะ นึกแล้วโมโห!" ฟาตินที่จำไม่ลืม เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง นึกแล้วก็อยากจะทึ้งหัวสวามีให้ผมหลุด ทั้งที่นางตั้งครร
พิเศษ : รักที่สุดแม้ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถยับยั้งไฟสวาทของคนทั้งสองได้ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามเนื้อผิวหน้าและผิวกายของคนทั้งสอง เมื่อความเร่าร้อนของรสสวาทนั้นมีมากล้นเกินบรรยาย ความโหยหายิ่งสร้างแรงกระสันให้แก่พวกเขา เธอพร้อมรองรับทุกแรงขับเคลื่อนตามที่เขานั้นปรารถนาตับ ตับ ตับ เอวหนาสวนเด้งกระแทกเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ความเร็วและถี่ในการควบเอวยิ่งทำให้ร่างกายของหญิงสาวนั้นแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และทุกครั้งที่เขาถาโถมเอวสอบยิ่งทำให้ความกระสันในกายนั้นแทบมอดไหม้เป็นจุนดุจไฟเผา“อี๊ อึก อร๊าย”"เสียวที่สุด...อ่า...แม่งแตกเร็วจังวะ""ไม่ไหวแล้ว อะ ๆ...จะแตก"อ่า / ซี๊ด และแล้วทุกอย่างก็จบลง บทรักที่ร้อนแรงของคนทั้งสองความรู้สึกอุ่นวาบในช่องท้อง เมื่อชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยตัวตนพร้อมกับบรรดาน้ำรักที่พุ่งฉีดอัดในมดลูกของเธอเต็ม ๆ“แฮ่ก ๆ ๆ”แรงหายใจหอบเหนื่อยของหญิงสาวที่นอนราบนิ่ง ดวงตาสวยจ้องมองชายหนุ่มด้วยรัก การสัมผัสที่ลึกซึ้งของคนทั้งสองยิ่งก่อความรักให้ทวีเพิ่มพูนกว่าเดิม“ฟาตินจ๋า”“อะไรคะ”เขาที่จ้องมองหน้าเธอที่อิดโรย เอ่ยเสียงหวานขึ้น พร้อมกับสายตาที่เดาได้ไม่ยาก
พิเศษ : รักไปแล้ว "ท่านอานัส!! อย่ามาแสร้งนะคะ มาอธิบายเดี๋ยวนี้เลย!""โอ๊ะ ๆ ๆ เจ็บ ๆ นี่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายผัวเลยเหรอ....กล้าเกินไปแล้วที่รัก"เธอทุบตีลงอกของเขาเร็วถี่อย่างเจ็บใจ พูดพร่ำออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับม่านน้ำตาที่เอ่อคลอ และเริ่มรินไหลเป็นสายไม่หยุดหย่อนเขาไม่ต้องพูดมาก เธอก็พอจะเดาเรื่องราวออกแล้วว่ามันคืออะไร แค่อยากจะฟังมันให้ชัดเจนก็เท่านั้น ว่าสิ่งที่เธอคิดมันคือความจริงที่เขาเสแสร้งแกล้งเธอ"ท่านมันคนเจ้าเล่ห์ คนหลอกลวง มาเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้ได้ยังไง ทำไมถึงได้ใจร้ายไม่จบไม่สิ้น อึก อึก ทำไมใจร้ายแบบนี้ ฮือ~~~รู้ไหมว่าเป็นห่วงแค่ไหน เจ็บหัวใจจะตายอยู่แล้วรู้บ้างไหม ฮึก อึก ฮือ~~"เธอยังคงทุบตีเขาเรื่อยไป พูดพร่ำพรรณนาทั้งน้ำตา จนเขาต้องรีบกอดเธอไว้แน่นอย่างห้ามปราม ไม่อย่างนั้นเธอคงทุบเขาไม่หยุด"รักเราไหม""ไม่รักจะมาทนดูแล มาอยู่แบบนี้ทำไม...ท่านมันใจร้าย คนผีทะเล ฮือ~~ไม่ต้องมากอด! ปล่อยฟาตินเดี๋ยวนี้! ปล่อยเลย!"เธอพยายามดีดดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา แต่ว่ายิ่งดิ้นเท่าไหร่เขานั้นกลับยิ่งกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม"จะปล่อยเมียตัวเองไปได้ยังไงกันล่ะ กว่าจะม
พิเศษ : ไม่เคยลืม“เมื่อไหร่จะจำฟาตินได้นะ รอนานแล้วนะคะรู้ไหม?”เธอพูดพร่ำพร้อมกับถูไถแก้มกับมือของเขา จ้องมองใบหน้าคมคายภายใต้แสงจันทร์ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องสายตาของเธอไม่ละห่างจากใบหน้าของเขา ยามหลับใหลที่เขาดูไม่มีพิษภัย เธอจ้องมองอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะฟุบหน้าลงกับเตียงข้างเขา และเผลอหลับไปทั้งที่ยังกุมมือเขาไม่ห่างกายอาการหนักตรงแขน ทำให้คนที่นอนหลับ ที่กำลังพยายามพลิกตัวตะแคงหนีฝัน เริ่มรู้สึกตัวตื่น สายตาของเขาจ้องมองไปยังใบหน้าสวย ที่นอนทับมือเขาไว้ จ้องมองด้วยความพยายามว่าเธอนั้นใช่คนที่รักจริงหรือเปล่าและนี่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน และเริ่มมีภาพใบหน้าของเธอผู้นี้อยู่ในฝันแทบทุกคืน แม้กระทั่งคืนนี้ก็เช่นกัน นับชั่วโมงที่เขามองเธออยู่แบบนั้น และแล้วภาพเธอก็ลอยเข้ามาให้ห้วงความทรงจำ รอยยิ้มและการกระทำไม่นานเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ภาพเดิม ๆ วนเวียนซ้ำ ๆ จนเขานั้นเริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องใช่เธอแน่นอน“ฟาติน”เขาเอ่ยเรียกชื่อของเธอแผ่วเบา รอยยิ้มของเขาเฉิดฉายบนใบหน้า มือหนาอีกข้างที่ว่างเว้น ลูบหัวของเธอเบา ๆ ความรู้สึกเก่า ๆ เริ่มคืบคลานเข้ามา“คิดถึงจัง”เขาพลิกตัวตะแคงมาทางเธอ นอ
พิเศษ : น่าเบื่อ“ลืมฟาตินจริง ๆ ใช่ไหม?”“นายหญิงคะ?”“ซาดียะห์ออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”“แต่ว่า....”“ขอร้อง”เมื่อต่อความกันไม่จบสิ้น คำพูดที่เป็นการอ้อนวอน แม้ซาดียะห์จะห่วงใย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก จำต้องเดินจากมาด้วยความห่วงใย ปล่อยให้ผู้เป็นนายได้อยู่ลำพัง ตามที่เธอนั้นต้องการ“อึก ฮึก”เมื่อรู้ว่าหญิงรับใช้ได้ออกจากห้องไป ฟาตินก็เริ่มปล่อยธารน้ำตาให้รินไหล มองไปยังคนตัวโตที่ตอนนี้เดินห่างออกไป เขาคงกำลังจะกลับเข้ามาในตัวบ้าน เพราะดวงตะวันนั้นลับขอบฟ้าไปเสียแล้วทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เขาไม่มีทีท่าจะจดจำเธอได้สักนิด จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนสามเดือนแล้ว เธอต้องคอยเข้าหาเขาด้วยความเจ็บปวดที่ขั้วหัวใจ ยิ่งตอนเขาขับไล่ผลักไสปฏิเสธ ยิ่งบีบหัวใจเธอไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเข้าใจว่าเขานั้นยังไม่หายดี หวังว่าต้องมีสักวัน เขาจะต้องจดจำเธอได้เป็นแน่การดูแลที่เหมือนเดิม จนเขานั้นคงชังขี้หน้าเธอเข้าไส้ แต่จะทำอย่างไรได้ เธอต้องอาศัยความหน้าทน เพื่อนปรนนิบัติใกล้ชิดเขา เพื่อเฝ้ารอวันหนึ่งวันใด เขาจะต้องจดจำเธอได้แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเธอนั้นความทรงจำ แต่เธอจะทำให้เขามีเธอในห้วงความคิดเสียใ
พิเศษ : ลืมสองเท้าก้าวเดินออกจากห้องไป มุ่งตรงสู่ห้องส่วนตัวที่ถูกเตรียมไว้ให้ ซึ่งมีเครื่องใช้และเสื้อผ้าเพียบพร้อม เธอจัดการชำระร่างกายตามสมควร ใช้เวลาไม่นานมากก็เดินกลับหาคนป่วยดังเดิม“นายหญิงคะ นายหญิง”ขณะเดินท้าวไปตามทางเดิน เพื่อไปยังห้องของคนป่วย ระหว่างก็เห็นหญิงรับใช้วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา“มีอะไรเหรอซาดียะห์”“นายท่านค่ะ นายท่าน”“ท่านอานัสเป็นอะไร”“นายหญิงรีบไปดูด้วยตาตัวเองเถอะค่ะ”สีหน้าที่เห็นและการบอกเล่าที่ยังจับใจความไม่ได้ ทำให้ฟาตินนั้นเริ่มใจไม่ดี เธอย้อนถามด้วยความพะวงใจ กลัวว่าคนที่นอนป่วยจะอาการทรุด แม้จะบอกว่าเขาเริ่มดีขึ้นแล้วก็ตาม“ท่านอานัส”เมื่อเปิดประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นทำให้เธอนั้นขอบตาร้อนผ่าว เขาที่เคยนอนหลับตานิ่ง ตอนนี้ไหวติงกะพริบตาแล้วมองมาที่เธอ“ซาดียะห์ บอกอัมกาสด้วยนะว่าท่านอานัสฟื้นแล้ว และให้ตามหมอมาดูอาการด่วนเลย”“ค่ะนายหญิง”ฟาตินออกคำสั่งด้วยความดีใจ เธอรีบปรี่เข้าไปหา แล้วยืนเคียงข้างกายเขา พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความดีใจ ที่รินไหลอาบสองข้างแก้มเนียนใส“เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”เธอเอ่ยถามเขาด้วยความดีใจ สายตากวาดมองตามร่างกา
พิเศษ : ปลอดภัยแต่..."ท่านอานัสปลอดภัยแล้วครับ"อัมกาสรายงาน แต่ว่าสีหน้าของเขานั้นไม่สู้ดี นั่นทำให้ฟาตินนั้นไม่อาจวางใจได้"ปลอดภัยแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น" ฟาตินย้อนถาม"หมอบอกว่า...ท่านอานัสอาจจะเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากว่าหัวได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง""....."สิ่งที่ได้ยินทำเอาฟาตินถึงกับนิ่งงันไป ทำไมชีวิตของเธอเมื่อจะถึงเวลามีความสุข จะต้องมีอะไรมาบั่นทอนให้เสียใจ คนที่คิดว่าจะรักก็ไม่เหมือนเดิม ทั้งที่เธอนั้นกำลังจะเปิดใจ แต่ไหนถึงได้เป็นเช่นนี้"ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรืออัมกาส" ฟาตินถามย้ำให้ชัดต่อสิ่งที่ได้รับฟัง บ่อน้ำตาก็รื้นขึ้นมาทันที แต่ไม่มีเสียงสะอื้นร่ำไห้ เหมือนเธอนั้นช้ำอยู่ในอก จนร้องไห้ออกมาไม่ได้ นอกจากหยาดน้ำตาสีใสที่ไหลรินโดยไม่อาจสั่งให้หยุดได้"ครับนายหญิง...ซึ่งหมอบอกว่าคงต้องใช้เวลา ตอนนายท่านพลัดตกน้ำ น่าจะกระแทกกับหินอย่างแรง บาดแผลที่ถูกยิงหมอจัดการผ่ากระสุนออกเรียบร้อยแล้วครับ""......"อัมกาสเล่าอาการต่อไป ส่วนคนที่เศร้าใจก็นิ่งงัน มีเพียงหยาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินเป็นสาย "เราเข้าไปหาเขาได้ไหมอัมกาส""ได้ครับ...ซาดียะห์เอาชุดมาให้นายหญิงสวม"
พิเศษ : จบลงฟาตินถูกพามายังที่พักอย่างปลอดภัย แต่อีกคนไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ก็ยังไม่มีใครทราบแน่ แม้เหล่าบอร์ดี้การ์ดก็ไม่ทราบข่าวคราวหลายชั่วโมงกับการที่หญิงสาวนอนไม่ได้สติ จนเวลาผ่านพ้นคืนนั้นไป ยามเช้าที่แสงแดดอ่อนสาดทอเข้ามากระทบกับม่านตาให้รู้สึกตัว อาการมึนศีรษะก็เริ่มมี เธอค่อย ๆ ขยับตัวลุกนั่งหลังพิงกับหัวเตียงช้า ๆ“นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างคะ ซาดียะห์ดีใจมากเลยค่ะ อึก ฮึก...”หญิงรับใช้ที่ถูกสั่งมา เมื่อรู้ว่าเป็นใครที่เธอต้องดูแล ก็มีอาการดีใจ เพราะความผูกพันที่มีต่อกัน แม้จะระยะเวลาสั้น ๆ มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีต่อฟาตินได้“ซาดียะห์เหรอ”คนที่เพ่งพิศจ้องมอง ภาพตรงหน้าที่เลือนราง เพราะการหลับทำให้วิสัยทัศน์ในการมองพร่าเบลอ“ค่ะ...ซาดียะห์เอง นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างคะ เจ็บตรงไหนไหม หรือว่าปวดหัวบ้างไหมคะ?”ซาดียะห์ไล่สายตามอง แล้วรีบถามด้วยความห่วงใย น้ำตาของเธอที่รินไหล ก็เพราะว่าห่วงใยนายหญิงของคฤหาสน์เหลือแสน“เราเจ็บท้ายทอยแล้วก็ปวดหัว” ฟาตินบอกด้วยรอยยิ้มที่ฝืน ๆ“เดี๋ยวซาดียะห์จะไปเอาประคบมาให้นะคะ นายหญิงรอสักครู่”“ขอบใจนะ”เมื่อได้ยินถึงอาการ หญิงรับใช้ที่จงรักภักดีก
พิเศษ : รักฟาติน เสียงปืนก็ยังคงดังต่อเนื่อง ด้วยไหวพริบและความเร็วที่อานัสมี เขาพาฟาตินวิ่งลัดเลาะไปตามชายป่ารกทึบ ที่มีทั้งต้นไม้ใหญ่และขวากหนามมากมาย แต่สุดท้ายก็พาเธอมาถึงที่หมายได้สำเร็จ“ไม่ต้องร้องนะฟาติน เธอจะปลอดภัย เราไม่มีทางให้เธอเป็นอะไรไปแน่”เขาพูดปลอบคนที่ร้องไห้หนักเพราะหวาดกลัว ไล้มือเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แตะจูบชิดริมฝีปากอวบอิ่มนั้นด้วยความรัก สายตาที่จ้องมองแม้จะอาทรห่วงใย แต่หน้าที่ของลูกผู้ชายที่เป็นบุตรก็ย่อมสำคัญเช่นกัน ความรักและหน้าที่ที่สำคัญไม่ต่างกัน เขาจะต้องฝ่าฟันมันไปให้จงได้“แล้วอัมกาสจะมาตอนไหนคะ...ท่านอานัสอย่าทิ้งฉันนะคะ ฉันกลัวจริง ๆ”“จะทิ้งได้ยังไงล่ะ กว่าจะตามหาและได้ยินคำว่ารัก มันยากเย็นแค่ไหนไม่รู้หรือไง หื้ม เรายังใช้มันไม่คุ้มเลยนะ...นั่นอัมกาสมาพอดี”อานัสพยายามยิ้มให้ แม้จะไม่มั่นใจว่าเขาจะได้กลับไปหาเธออีกไหม เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ค่อนข้างรุนแรง กระสุนปืนที่ไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้จะฝังลงจุดใดบ้าง"ท่านครับ""อืม ทำตามที่เราบอกไว้ ให้คนคุ้มกันฟาตินให้ดี ไปในที่ที่เราบอกไว้ ที่นั่นจะปลอดภัยแน่นอน"เมื่อคนสนิทและเหล่าบอร์ดี้การ์ดฝีมือ