ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าบ่าวที่เพิ่งจะแต่งงานด้วยจะกลายเป็นประธานบริษัท แถมยังเอาแต่ใจมากเสียด้วย
view moreร้านเสริมสวยริมถนนย่านกลางเมืองที่เต็มไปด้วยรถสัญจรไปมา อาจจะเพราะย่านนี้เป็นย่านที่มีร้านอาหารและร้านชื่อดังติดกันอยู่หลายร้านทำให้รถค่อนข้างจะหนาแน่นเป็นพิเศษ ฉันได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า พลางทอดสายตามองออกไปนอกกระจก ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเย็นนี้
ใช่...เย็นนี้แล้วสินะ ที่ฉันจะได้พบกับชายคนหนึ่งที่ทางบ้านจัดหามาให้เป็นคู่นัดบอด
ในขณะที่ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกรีบร้อนอะไรเลย ได้แต่ปล่อยเวลาให้ช่างทำเล็บทำผมอะไรกับของฉันได้เต็มที่อาจจะเพราะส่วนหนึ่งฉันไม่ได้คาดหวังให้ผู้ชายคนนั้นประทับใจในการนัดบอดครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ
ฉันคิดไปไกลถึงกับว่า หากเย็นนี้ได้เจอเขาแล้ว เราอาจจะไม่ประทับใจกันและกัน จนบางทีเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายที่ปฏิเสธฉันแทนก็ได้มั้ง แต่ก็นั่นละต่อให้ฉันไม่ตกลงใจกับผู้ชายที่จะมานัดบอดในวันนี้ สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องถูกทางบ้านจับให้ไปดูตัวกับคนอื่นอยู่ดี ซึ่งฉันเองก็ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงอยากจะให้ฉันแต่งงานไวนัก ทั้งที่ฉันเพิ่งจะเรียบจบมาไม่นานนี่เอง
เฮ้อ...ชีวิตลูกผู้หญิงมีแค่นี้เองเหรอ
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
-------
“อะไรนะคะ คุณพ่อจะให้เฟิร์นดูตัว”
ฉันอดไม่ได้ที่จะโวยวายเสียงดัง ในขณะที่คุณพ่อแทบจะคล้ายขอร้องให้ฉันรับนัดการดูตัวครั้งนี้
“ไม่เอาค่ะ เฟิร์นเพิ่งจะเรียนจบ ขอเฟิร์นทำงานก่อนไม่ได้หรือคะ นะคะคุณแม่ช่วยคุยกับคุณพ่อให้เฟิร์นหน่อยได้ไหมคะ”
ฉันรีบถลาเข้าไปโอบกอดคุณแม่ที่เอว และคาดหวังเล็ก ๆ ว่าคุณแม่อาจจะเป็นคนเดียวที่ช่วยฉันได้ในเรื่องนี้
“โธ่ใบเฟิร์นลูกแม่ คือคุณพ่อเขาสัญญากับเพื่อนเขาตั้งนานแล้ว ว่าถ้าหนูเรียนจบเมื่อไหร่จะให้ลูกชายเขากับหนูแต่งงานกันทันที”
“แต่...แต่งงานกันทั้งที่ไม่ได้รักเนี่ยนะคะ มันจะรักกันได้ยังไงคะ เฟิร์นไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ไม่เอาค่ะ เฟิร์นไม่ยอม เฟิร์นยังอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิมนี่คะ นะคะคุณแม่ นะคะคุณพ่อ” ฉันอ้อนสุดฤทธิ์เพราะคาดหวังที่จะโน้มน้าวใจท่านทั้งสองให้สำเร็จ
แต่...ก็นั่นแหละ สุดท้ายฉันที่เป็นลูกสาวคนเดี๋ยวจะขัดคุณพ่อคุณแม่ที่รักได้อย่างไร เมื่อท่านทั้งสองยืนกรานว่าไม่สามารถผิดคำพูดกับเพื่อนของท่านได้ และอย่างไรเสียเย็นพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปพบกับผู้ชายคนนั้น
“ถ้าเฟิร์นเจอเขาแล้วเฟิร์นไม่ถูกชะตา เฟิร์นปฏิเสธเขาก็ได้ใช่ไหมคะ”
ถึงกระนั้นฉันก็ยังยื่นข้อเสนอที่ฟังดูดื้อ ๆ ต่อท่านทั้งสองอยู่ดี
“พ่อไม่อยากให้เราปฏิเสธเขา”
ดูคุณพ่อพูดเขาสิ ฉันทำหน้างอเล็กน้อยก่อนหันไปทำสายตาวิงวอนอ้อนคุณแม่ต่อ
“คุณแม่ขา...”
“แม่ก็ไม่อยากให้ใบเฟิร์นปฏิเสธเขาเหมือนกันลูกเห็นใจพ่อเขาเถอะ พ่อเกรงใจเพื่อนคนนี้มากแล้วสัญญานี้ก็คุยกันมาตั้งแต่ก่อนหนูเกิดอีก”
ฉันรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก เพราะคุณพ่อกับคุณแม่พูดเหมือนกับว่า...เลือกที่จะแคร์ความรู้สึกของเพื่อนเขามากกว่าลูกสาวคนเดียวอย่างฉัน
งื้อ....แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้างเนี่ย ความรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ออกมาให้ได้ ก็นะ...คิดแล้วก็น่าน้อยใจชะมัดที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เดิมที่ครอบครัวของเราอยู่ที่เชียงใหม่ แต่อยู่ ๆ คุณพ่อก็บอกฉันกับคุณแม่ว่า พวกเราต้องย้ายมาทำธุรกิจที่กรุงเทพกะทันหัน ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ทันทีที่ฉันเรียบจบครอบครัวของเราจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กัน และแค่เพียงไม่ถึงสามเดือนท่านก็มาบอกจะให้ฉันดูตัวทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งไปสมัครงานมาไม่นานนี้เองไม่ถึงสัปดาห์
“ค่ะ หนูคงทำอะไรไม่ได้งั้นก็ตามใจคุณพ่อคุณแม่เห็นสมควรแล้วกันค่ะ” ฉันทำได้เพียงแค่นี้ เพียงแค่นี้จริง ๆ ฉันเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างโล่งอกปนดีใจ แต่ฉันสิกลับรู้สึกเหมือนตอนนี้ก้อนหินทั้งภูเขากำลังทับอยู่ในอก
“พี่เขาชื่อคุณภีมม์ อายุยี่สิบเจ็ดเป็น....” พ่อพยายามจะบอกประวัติของเขานี้อย่างคร่าว ๆ ให้กับฉันตอนที่ฉันยอมรับปากแบบไม่เต็มใจแต่ก็ยอมทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ขอร้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูค่อยทำความรู้จักเขาเอง”
ฉันยอมรับว่าเสียมารยาทมากที่พูดแทรกท่านขึ้นมา แต่ก็นะ...ก็คนไม่ได้อยากไปนัดบงนัดบอดอะไรนั่นเลยสักนิด นี่มันพ.ศ.ไหนแล้วเหอะ ฉันเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะถูกคลุมถุงชนในตอนอายุยี่สิบพอดิบพอดีแถมเพิ่งจะเรียนจบ นี่พวกท่านทั้งสองกะจะไม่ให้ฉันมีชีวิตอิสระกันเลยใช่ไหมเนี่ย
ฉันกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ก่อนทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วถอนหายใจออกมาเพื่อระบายอารมณ์ วันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันต้องเตรียมตัวไปนัดดูตัวกับเขาในตอนอาหารมื้อเย็น และถึงแม้ต่อให้ฉันอยากปฏิเสธแทบขาดใจแน่นอนว่าก็คงทำไม่ได้อยู่ดี
ฉันเชื่อว่า เขาคนนั้นก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน พอเขารู้ว่าจะโดนบังคับให้ดูตัวเพื่อแต่งงานกับฉัน เขาเองก็คงไม่ยอมและคงจะโวยวายเหมือนอย่างที่ฉันเป็นในตอนนี้
ประวัติส่วนตัวของเขาถูกส่งมาทางอีเมล์ แต่เชื่อไหมว่าฉันไม่แม้แต่คิดจะเปิดเข้าไปอ่าน เพราะถึงต่อให้อ่านแล้วไม่ประทับใจในโปรไฟล์ของเขา แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหมล่ะ ก็คงไม่ได้
ทันทีเมื่อเห็นมีเมล์เด้งเข้ามา ความนอยด์ทำให้ฉันกดลบอีเมล์ประวัติของเขาลงไฟล์ถังขยะในทันที
------
และ....เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เป็นที่มาของเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ตอนนี้ฉันมานั่งทำผมทำเล็บอยู่ตรงนี้ เหลือเวลาอีกตั้งเป็นชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลานัด ความรู้สึกเบื่อ ๆ ทำให้ฉันหาข้ออ้างออกจากบ้านก่อนเวลานัด อย่างน้อยก็เอิ่ม...ควรไปทำผมทำเล็บฆ่าเวลาเล่น ๆ ถึงจะเป็นการนัดบอดที่ไม่ได้เต็มใจแต่อย่างไรแล้วคนเราก็ต้องทำตัวให้ดูดีนิดหนึ่งไหม
ฉันเลือกร้านทำผมที่ไม่ไกลจากร้านที่ได้นัดบอดกับผู้ชายคนนั้น เพราะรู้ดีว่าการทำผมทำเล็บแต่ละครั้งกินเวลาเป็นชั่วโมง การได้ทำอะไรแบบนี้เป็นการระบายความเครียดได้เป็นอย่างดีเลยละ
ในขณะที่สายตาฉันมองทอดออกไปนอกกระจกแบบเรื่อยเปื่อย พลันสายตาของฉันบังเอิญไปที่เด็กน้อยคนหนึ่งในวัยไม่ถึงเจ็ดขวบที่กำลังวิ่งอยู่ที่ริมถนนและตอนนี้เด็กน้อยคนนั้น กำลังวิ่งตามลูกบอลกลิ้งออกไปทางม้าลาย
“ตายแล้ว! เด็กนั่น” ฉันเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ พร้อม ๆ กับเสียงหวีดร้องของคนที่เห็นเหตุการณ์อีกหลายต่อหลายคนที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน
“ไม่น่ะ!!”
เอี๊ยดดดดด
เสี้ยววินาทีที่ฉันกลั้นหายใจ ฉันได้ยินเหมือนเสียงเบรกรถดังสนั่นท้องถนนพร้อมกับเสียงหวีดร้องของผู้คน และ....ในชั่วพริบตาท่ามกลางความตกใจของทุกคนรวมทั้งฉัน ฉันเห็นผู้ชายสูงโปร่งใส่สูทสีเทาเข้มคนหนึ่งวิ่งลงมาจากรถหรูอย่างรวดเร็ว
ในช่วงวินาทีอันตรายนั้น! เขาคนนั้นวิ่งเข้ามาดึงตัวเด็กผู้ชายคนนั้นไว้ในอ้อมกอดจนตัวเขาเองไถลไปกับท้องถนน
“โห...โคตรเท่ห์” ฉันเผลออุทานออกมา
นี่ถ้าคนที่ฉันนัดดูตัวเป็นผู้ชายคนนี้ฉันจะรีบเซย์เยสทันทีเลยให้ตายเถอะ
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ
Mga Comments