โชคดีที่ฉันเตรียมชุดนอนแบบกางเกงลายการ์ตูนรูปเป็ดสีเหลืองมาด้วย ชนิดที่ว่าไม่ได้มีความเซ็กซี่ที่พอจะยั่วยวนให้ใครเกิดอารมณ์ได้ แต่กระนั้นพอพี่ภีมม์ไปอาบน้ำ ฉันก็รีบกระโดดขึ้นเตียงนอนก่อนเอาผ้าห่มพันตัวเองจนแทบไม่เหลืออากาศให้หายใจ
พี่ภีมม์อาบน้ำร่วมครึ่งชั่วโมง เขาอาบน้ำนานจริง ๆ อย่างที่เขาบอกไว้ นี่สินะที่มีคนบอกกันว่าคนที่มีอาชีพเซลล์มักจะพิถีพิถันเสมอ
“ทำไมเฟิร์นนอนแบบนั้นล่ะครับ ไม่อึดอัดแย่เหรอ” เสียงพี่ภีมม์ที่เดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอวแค่ผืนเดียว ในขณะที่ฉันมีสภาพเหมือนดักแด้
“ดะ เดี๋ยวทำไมพี่ภีมม์แต่งตัวแบบนี้ค่ะ”
“ปกติพี่ใส่แต่บ็อกเซอร์นอนครับ มันสบายดี”
“แต่...”
“ไม่ต้องคิดมากครับ แค่นอนเตียงเดียวกัน ถึงวันนี้เราจะเพิ่งแต่งงานกันแต่พี่ไม่ชอบทำอะไรใครถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ”
หืม...คำพูดของพี่ภีมม์ฟังแล้วดูดี เป็นสุภาพบุรุษเอามาก ๆ แต่ใจฉันสิมันเต้นแรงจนแทบจะเป็นบ้า คิดเอาเถอะฉันผู้เวอร์จิ้นไม่เคยคบกับผู้ชายเลยแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้ฉันต้องนอนกับผู้ชายที่มีซิกแพคขาว ๆ ลอนเป็นลูก ๆ ราวกับปั้นมาตรงกล้ามท้องแน่นนั่น ทำเอาหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ขนาดเวลาไปว่ายน้ำฉันก็เห็นผู้ชายเปลือยท่อนบนมาตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเคยใจสั่นขนาดนี้
พี่ภีมม์ขยับตัวนอนลงข้าง ๆ ฉัน กลิ่นหอมจากตัวเขามันทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่เกิดมาเรียกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชาย แถมยังตัวหอมเอามาก ๆ
แล้วแบบนี้ใครมันจะไปนอนหลับลง…..
ใช่...ใครมันจะไปหลับลง
…….
…….
"น้องเฟิร์นครับ"
"อื้อ..."
"น้องเฟิร์นครับเช้าแล้วนะครับ...”
เสียงใครสักคนเรียกฉันอยู่แสนไกลแต่อยู่ ๆ กลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงข้างหู ...
"น้องเฟิร์นครับ"
เสียงทุ้มหล่อชัดเจนขึ้น ในตอนที่ฉันกำลังเดินท่ามกลางดงดอกไม้ ส่วนตัวฉันกำลังใส่ชุดเจ้าสาวที่สวยมาก ๆ ตรงหน้าฉันมีผู้ชายที่หล่อมาก หล่อแบบตะโกนกำลังส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉัน เขายื่นมือมาให้ฉันจับและแค่เพียงเสี้ยวนาทีเขากลับดึงรอบเอวฉันเข้าไปหาพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
ขะ...เขากำลังจะจูบฉัน ลมหายใจอุ่น ๆ ที่ใกล้เข้ามาพร้อมกับสัมผัสที่นิ่มหยุ่นระหว่างริมฝีปากที่กำลังจรดกัน
อื้อออ....รสจูบมันคืออะไรทำไมมันถึงรู้สึกดีแบบนี้นะ
แต่...นี่มันจูบแรกของฉันเลยนะ
อ๊ะ....
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นทันที!
ฉันลืมตาขึ้นปริบ ๆ แผงอกขาว ๆ ที่อยู่ตรงหน้าในระยะกระชั้นชิดไม่ถึงห้าเซนติเมตร แถมฉันกำลังทั้งก่ายทั้งกอดเขาราวกับเป็นหมอนข้าง ฉะ...ฉันไม่ได้ฝันไป
ตอนนี้ฉันถึงตระหนักได้ว่า ฉันเพิ่งแต่งงานไปแล้วเมื่อวาน....
ฉันเด้งตัวลุกขึ้นจนรู้สึกเหมือนศีรษะไปกระแทกคางของใครสักคน...
อุฟ!
โอ๊ย!
“ขอโทษค่ะพี่ภีมม์ เฟิร์นไม่ได้ตั้งใจเจ็บไหมคะ”
“ไม่ครับไม่เป็นไร” ปากพี่ภีมม์บอกไม่เป็นไร แต่มือคลำคางป้อย ๆ จนฉันเริ่มรู้สึกผิด แถมพอนึกถึงสภาพเมื่อคืนที่ตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปกอดก่ายเข้าก็ยิ่งรู้สึกอายเข้าไปกันใหญ่
“เออ...พี่ภีมม์หิวหรือยังค่ะ เดี๋ยวเฟิร์นลงไปทำอะไรให้กัน มะ..หมายถึงอาหารเช้าแบบง่าย ๆ อ่าค่ะ”
“ครับ อะไรก็ได้ครับ”
“แล้วก็เฟิร์นขอโทษที่นอนดิ้นไปหน่อย แล้วก็ตื่นสายไปหน่อย คือเมื่อคืนเฟิร์นนอนไม่ค่อยหลับ”
“นอนไม่หลับ?” พี่ภีมม์ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อว่าฉันนอนไม่หลับ
ชิ...เอาเป็นว่าฉันนอนไม่หลับแค่ตอนแรกจริง หลังจากนั้นพอมันเคลิ้ม ๆ ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าฉันหลับไปตอนไหน ไอเราก็นึกว่านอนกอดหมอนข้างมาทั้งคืน ก็เลยมีบ้างที่ทั้งเผลอทั้งกอดและก่าย
ที่สำคัญตอนที่ฉันฝันว่าเราจูบกัน...รู้สึกมันเหมือนจริงมาก เหมือนจนฉันยังรู้สึกว่าริมฝีปากของฉันยังได้ไออุ่นจากปากของพี่ภีมม์อยู่
มันไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เราสองคนตอนแต่งงานกัน นาทีที่ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูบสาบานกัน มันเป็นจูบที่แค่เพียงปากแตะกันแล้วออกไปเลยทันที ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น
แต่...ที่ฉันฝันมันนุ่มนวลสุด ๆ เลย
คืนเข้าหอที่ไม่ได้มีความโรแมนติกอย่างที่คู่รักทั่วไปควรจะเป็นเพราะเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ฉันเผลอเปลือยอกให้เขาดู และไหนจะเรื่องที่ฉันเผลอนอนก่ายเข้าแบบแนบชิดตอนตื่นนอนตอนเช้าอีก มันทำให้วันนี้ฉันไม่กล้าเริ่มที่จะชวนเขาคุยอะไร เพราะพอจะคุยก็อดคิดไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เช้าแรกของวันแต่งงานเราสองคนเลยอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน และเพราะตอนนี้เราสองคนได้อยู่ร่วมกันเรียกว่าน่าจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว เลยทำให้ฉันได้รู้ว่าพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันดูเป็นคนพูดน้อยกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก มากจนฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเป็นแค่เซลล์ขายรถธรรมดาคือปกติคนเราถ้าเป็นเซลล์ก็ต้องพูดจาขายของเก่ง หรือโน้มน้าวใจเก่งมาก ๆ แต่นี่พี่ภีมม์ดูเป็นคนพูดน้อย น้อยแบบน้อยเว่อร์ แล้วพูดน้อยแบบพี่ภีมม์อะนะจะเป็นเซลล์ หรือว่าเวลาที่เขาขายรถ เขาจะใช้แต่ใบหน้าหล่อ ๆ มองลูกค้าให้ลูกค้าหลง แล้วก็สั่งซื้อรถแบบงง ๆ โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรออกมางี้เหรอ...ไม่มั๊งอ่อ อีกเรื่องหนึ่งหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกัน คือเรามีแพลนที่จะต้องเดินทางไปฮันนีมูนที่มิลานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้ในตอนนี้
ก๊อก ก๊อก“ขอโทษค่ะพี่ภีมม์ พอดีพี่ภีมม์ลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง” ฉันเคาะประตูห้องทำงานของพี่ภีมม์ก่อนเดินเข้าไปเอาโทรศัพท์มือถือไปส่งให้เขาที่โต๊ะทำงาน ดูเขามีสีหน้าเอาจริงเอาจังมากเวลาอยู่ต่อหน้าคอมพิวเตอร์ของเขา“อ่อครับ ขอบคุณ” เขายอมละสายตาจากงานของเขาก่อนเงยหน้าขึ้นมามองฉัน แต่กลับไม่ยอมกดรับสายในทันที ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกสงสัยมากขึ้น“เพื่อนเหรอคะ สวยจัง” ดูเป็นการเสียมารยาทมากสินะที่ฉันพูดประโยคนี้ออกไปเพราะนอกจากพี่ภีมม์จะไม่ตอบคำถามฉัน แถมยังเลิกคิ้วหนา ๆ มองฉัน คล้ายจะถามว่าทำไมฉันยังไม่ออกไปมากกว่าเออ...ออกไปก็ได้วะ ฉันก็ไม่อยากรู้สักเท่าไหร่หรอก แค่เห็นสายตาก็พาลให้หงุดหงิด ฉันเลยเดินงอน ๆ ออกไปแบบไม่พูดอะไรต่อเหมือนกันสุดท้ายตอนนี้ฉันต้องกลับออกมาดูทีวีที่หน้าโซฟาตามเดิม ได้แต่เอาคางเกยหมอนอิงแล้วกดเปลี่ยนรีโมตทีวีไปมา บอกตรง ๆ เลยว่าฉันดูไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เพราะฉันไม่ได้สนใจภาพจากจอในทีวีเลยสักนิดนี่ฉันไม่ได้หึงเขาเลยนะ สาบานได้แต่...แค่รู้สึกไม่พอใจเฉยๆถึงเราจะไม่ได้รักกันแต่อย่างน้อยเราสองคนก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายถึงจะไม่ได้รักกันก็เถอะผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง บังเ
รุ่งเช้า“พี่ภีมม์คะ เฟิร์นไปทำงานก่อนนะคะ”ฉันผู้อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รีบหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาไว้ในมือ ส่วนพี่ภีมม์ที่อาบน้ำที่หลังเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำ“เค รอแป๊บเดี๋ยวพี่ไปส่ง”“โอ๊ยไม่เป็นไรค่ะ เฟิร์นว่าไปเองดีกว่าจะได้ดูทางแล้วกะเวลาด้วย ว่าถ้าต้องไปทำงานเองต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง”“แล้วทำไมไม่ให้พี่ไปส่ง”“แล้วพี่ภีมม์ไม่ไปทำงานเหรอคะ ก็ในเมื่อเราสองคนยกเลิกงานฮันนีมูนแล้ว พี่ภีมม์ก็กลับไปทำงานตามเดิมก็ได้นี่ค่ะ เมื่อคืนเฟิร์นเห็นพี่ภีมม์นั่งทำงานจนดึกดื่นดูท่างานของพี่ภีมม์น่าจะเยอะ”ฉันพูดคนเดียวเป็นฉาก ๆ ในขณะที่พี่ภีมม์ยังทำหน้าเดียวไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ“เอาเถอะค่ะ นี่ขนาดพี่ภีมม์หยุดสองวันงานยังเยอะขนาดนี้ ถ้าพี่ภีมม์หยุดเป็นอาทิตย์พี่จะทำงานทันเหรอ เดี๋ยวเดือนนี้ยอดขายรถก็ตกเป้าหรอก เฟิร์นไปทำงานก่อนนะคะ พี่ไม่ต้องซีเรียส สบาย ๆ ค่ะ เฟิร์นไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมากขนาดที่ต้องให้ใครมารับมาส่งขนาดนั้น บ้าย บายนะคะ เจอกันตอนเย็นนะคะ”ยิ่งพอเขาไม่พูดหรือแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ทำให้ฉันต้องยิ่งรีบรวดเดียวให้จบ ก่อนจะรีบชิ่งออกมาเพราะอึดอัด อีกอย่างก็ไม่ใช่อะไรนะเพราะสายตาของพ
เขาเปิดให้ฉันดูพวก Presentation งานเก่า ๆ อาทิเช่นงานเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง รวมไปถึงเปิด รีสอร์ต โรงแรม งานแต่งงาน และโชว์รูมรถยนต์พอดูมาถึงการเปิดตัวรถยนต์ ฉันก็อดคิดไปถึงพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันที่เขาเป็นเซลล์ขายรถ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงการขายรถก็คงต้องมีการจ้างพริตตี้ เพราะงั้นชีวิตของเขาคงจะมีสาวสวย ๆ ระดับพริตตี้เข้ามาในชีวิตมากมาย รวมถึงผู้หญิงสวย ๆ คนนั้นที่ตั้งรูปเป็นสายโทรเข้ามาเฮ้อ...ทำไมฉันถึงยังอดคิดมากในเรื่องนี้ไม่ได้นะหลังจากวันแรกที่ฉันทำงาน ผ่านมาสองอาทิตย์หลังจากที่ฉันเริ่มทำงาน ฉันสามารถปรับตัวและเรียนรู้งานใหม่ได้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ฉันได้หัวหน้างานใจดีอย่างพี่แจน และได้คนสอนงานเก่ง ๆ อย่างลีโอ รวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ดูเป็นมิตรหมดทุกคนแต่…เห็นทีจะมีเพียงแต่คนที่บ้านของฉันเท่านั้นแหละ ที่ฉันยังคงปรับตัวไม่ได้เลย เราสองคนคุยกันแทบจะนับคำ ทั้ง ๆ ที่เราสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันแต่กลับเหมือนอยู่กันคนละโลกฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ภีมม์จะไม่ค่อยพอใจอะไรฉันหรือเปล่า เพราะถ้านับจากวันที่เขาโทร
สภาพโคตรล่อแหลม เพราะหน้าของฉันอยู่ที่แผงอกเปล่า ๆ ของเขาแค่คืบ แถมพอฉันทำท่าจะผลักออกแต่ก็กลัวแผ่นหลังจะชนกับเตาเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ซ้ำพี่ภีมม์ก็ไม่ยอมขยับตัวออก“ซุ่มซ่ามเหมือนกันนะเนี่ยเรา”“พี่ภีมม์นะแหละเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง”“แต่พี่ก็ทักเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือครับ”คราวนี้ฉันเถียงไม่ออกเลยเพราะเป็นแบบที่พี่ภีมม์พูดจริง ๆ แต่ก็นั่นละ ฉันทั้งได้ยินทั้งเห็นว่าพี่ภีมม์เดินมา แต่ฉันแค่ไม่คุ้นชินกับกลายเห็นผู้ชายหล่อแบบนี้แล้วทำตัวแบบสบายเกินไปด้วยการใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาภายในบ้าน มันก็มีบ้างไหมที่วางตัวไม่ถูกนิดนึงเข้าใจแหละว่าเราต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะเราแต่งงานกันแล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตัวแบบเป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อยแต่ยังไงแล้ว พี่ภีมม์ผิดก็อยู่ดีเพราะอยู่ ๆ ก็เข้ามาใกล้ชิดฉันขนาดนี้“ก็เฟิร์นไม่ชินนี่คะ เวลาเห็นผู้ชายใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้” ฉันพูดออกไปตรง ๆ“เมื่อก่อนตอนพี่อยู่คนเดียวพี่ไม่ใส่อะไรเดินด้วยซ้ำ” เขาพูดพลางโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเล่นเอาฉันยิ่งรู้สึกเขินไปกันใหญ่ คือแหม....คนเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้
“สวัสดีครับคุณจณิสิตา พวกเราสองคนมาจากบริษัทเดอะวันออแกไนเซอร์ ผมธีรดลส่วนนี่ศนิชาเป็นตัวแทนจากบริษัทครับ” ลีโอเป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนฉันที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ ส่วนเขาก็แค่กำลังแก้สถานการณ์ให้ฉัน“ยินดีค่ะ เชิญนั่งสิคะ”เธอเอ่ยเชิญพวกเรานั่ง ส่วนฉันก็ได้แต่พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติยิ้มตอบรับแล้วพากันนั่งลง ขนาดเสียงของเธอยังหวานมาก ๆ หวานสมกับหน้าตาหวาน ๆ ของเธอเลยพวกเราคุยแนะนำตัวให้เธอฟังพอประมาณ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องงานโปรเจคที่นำเสนอ ฉันพยายามตัดเรื่องที่คุณเจนนี่กับพี่ภีมม์ว่าเป็นอะไรกันออกแล้วมีสมาธิให้กับงานมากที่สุด ที่สำคัญดูเหมือนพี่ภีมม์คงจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฉันเลยว่าเราสองคนแต่งงานให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง เพราะเธอเหมือนจะเพิ่งรู้จักฉันครั้งนี้เป็นครั้งแรก ส่วนฉันก็ได้แต่ตามน้ำแล้วมุ่งประเด็นให้อยู่แต่เรื่องงานอย่างเดียวพอเรานำเสมอโปรเจคงานเปิดตัวสาขาใหม่ให้เธอเสร็จ ดูเธอจะพอใจกับงานที่ฉันนำเสนอมาก ก่อนที่เธอแจ้งว่าจะติดต่อนัดหมายเพื่อคุยเรื่องการจัดสถานที่อีกครั้ง เท่านั้นหัวใจฉันก็พองโตเหมือนว่าตัวเองเริ่มประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จนลืมใส่ใจเรื่องที่เธอเป็นอะไรกับพี่ภีมม์จนเกือ
ฉันงี่เง่ามากที่ลุกขึ้น ในขณะที่พี่ภีมม์ยังคงทำหน้างง ๆ อยู่ นี่เขาคงยังไม่รู้สินะว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร หรือว่าเขารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างนอยด์ ๆ แต่ไม่คิดว่าพี่ภีมม์จะเดินตามกลับเข้ามาด้วย ปกติเขาหลังมื้อเย็นเขามักจะคลุกอยู่แต่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา แต่วันนี้พี่ภีมม์กลับเดินตามฉันมาในห้องนอน ไม่พอยังทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ทำเอาฉันต้องรีบหันหลังแล้วนอนตะแคงไปอีกฝั่งทันที“พี่ไปทำอะไรให้เราไม่พอใจหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้เราถึงพูดกับพี่แปลก ๆ”“...” ฉันเลือกที่จะไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ ถึงจะดูไม่ค่อยเนียนก็เถอะ เพราะว่าเราเพิ่งเดินเข้าห้องมาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไป“เราเพิ่งแต่งงานกันไม่ถึงเดือนนะครับเฟิร์น อย่าเพิ่งพูดเรื่องหย่าเลยมันฟังดูไม่ค่อยดี แล้วอีกอย่างเรื่องที่เฟิร์นพูดถึงผู้หญิงคนอื่นอะไรพี่ก็ไม่มีอย่างทีเฟิร์นพูดเมื่อกี้เลยสักนิด”โห...ผู้ชายอะไรโกหกได้หน้าตายมาก ขนาดฉันรู้หมดแล้วนะ ได้ยินกับหูได้เห็นกับตาด้วย แล้วนี่คือฉันรู้แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สินะ“...”“เฟิร์นครับ หลับแล้วเหรอครับ” เขาถามย้ำฉันอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าฉันก็เลือกที่จ
ใบเฟิร์นไม่เคยคุยเรื่องรายละเอียดของงานเธอให้ผมฟังมากนัก นอกจากที่บอกว่าเธอเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี และตอนนี้เธอเพิ่งได้รับโอกาสทำโปรเจคงานใหญ่ซึ่งเธอดูมีความสุขมาก ทำให้ผมก็รู้สึกแฮปปี้ไปกับเธอด้วยผมเองก็มีความสุขเวลาที่ได้ฟังเธอเล่าเรื่องต่าง ๆ และชอบที่จะได้กลับมาทำอาหารเย็นอร่อย ๆ ไว้ให้เธอแทบทุกวันยกเว้นก็แต่วันนี้“ภีมม์คะ วันนี้เลิกงานแล้วออกมาหาเจนนี่หน่อยได้ไหมคะ เจนนี่ว่าจะปรึกษาเรื่องงานหน่อย”“ตอนเย็นเหรอ คือพอดีผมต้องรีบกลับน่ะ” ผมรีบปฏิเสธเพราะตั้งใจจะกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ภรรยาของผมทาน“โห อย่าใจร้ายกับเจนนี่สิคะ ถ้าภีมม์ไม่ช่วยเจนนี่แย่แน่ๆ นะคะ น้า น้า พี่ภีมม์นะ”เจนนี่ทำเสียงอ้อนเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือจากผม ซึ่งเธอเองก็เป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยยอมตกลงเธอแม้จะรู้สึกผิดกับใบเฟิร์นนิดหน่อยแต่...ก็แค่วันเดียวคงไม่น่าจะเป็นอะไรความจริงผมก็ว่าจะเซอร์ไพรส์ด้วยการพาใบเฟิร์นไปเปิดตัวกับเจนนี่เย็นนี้เลย ติดก็ตรงที่น่าจะไม่ค่อยเหมาะเพราะเจนนี่น่าจะอยากปรึกษาผมเรื่องงานมากกว่า ผมเลยคิดว่าไว้วันหลังผมค่อยพาใบเฟิร์นมาแนะนำตัวเป็นทางการกับเจนนี่อีกครั้ง“ใบ
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ