สภาพโคตรล่อแหลม เพราะหน้าของฉันอยู่ที่แผงอกเปล่า ๆ ของเขาแค่คืบ แถมพอฉันทำท่าจะผลักออกแต่ก็กลัวแผ่นหลังจะชนกับเตาเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ซ้ำพี่ภีมม์ก็ไม่ยอมขยับตัวออก
“ซุ่มซ่ามเหมือนกันนะเนี่ยเรา”
“พี่ภีมม์นะแหละเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“แต่พี่ก็ทักเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือครับ”
คราวนี้ฉันเถียงไม่ออกเลยเพราะเป็นแบบที่พี่ภีมม์พูดจริง ๆ แต่ก็นั่นละ ฉันทั้งได้ยินทั้งเห็นว่าพี่ภีมม์เดินมา แต่ฉันแค่ไม่คุ้นชินกับกลายเห็นผู้ชายหล่อแบบนี้แล้วทำตัวแบบสบายเกินไปด้วยการใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาภายในบ้าน มันก็มีบ้างไหมที่วางตัวไม่ถูกนิดนึง
เข้าใจแหละว่าเราต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะเราแต่งงานกันแล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตัวแบบเป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อย
แต่ยังไงแล้ว พี่ภีมม์ผิดก็อยู่ดีเพราะอยู่ ๆ ก็เข้ามาใกล้ชิดฉันขนาดนี้
“ก็เฟิร์นไม่ชินนี่คะ เวลาเห็นผู้ชายใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้” ฉันพูดออกไปตรง ๆ
“เมื่อก่อนตอนพี่อยู่คนเดียวพี่ไม่ใส่อะไรเดินด้วยซ้ำ” เขาพูดพลางโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเล่นเอาฉันยิ่งรู้สึกเขินไปกันใหญ่ คือแหม....คนเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตนชัดเจนขนาดนี้เลยก็ได้ม้างงงง
“ฟะ เฟิร์นว่าพี่ภีมม์ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไปทำงานสายเจ้านายจะว่าเอา”
“เจ้านายพี่ใจดี”
“เห็นเขาใจดีก็ต้องยิ่งเกรงใจอย่าเอาเปรียบเขาสิคะ ไปอาบน้ำเถอะค่ะ เพราะนี่ใกล้เวลาลีโอจะมารับเฟิร์นไปทำงานแล้ว”
อยู่ ๆ ดีพี่ภีมม์ก็ปล่อยฉันจากอ้อมแขน แถมยังทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อพูดเสร็จ หรืออาจจะตั้งแต่ฉันพูดชื่อลีโอ
“ที่ไม่อยากให้พี่ไปรับไปส่งเพราะอยากไปกับเพื่อนคนนั้นมากกว่า?”
“เปล่าเลยค่ะ เฟิร์นแค่เกรงใจพี่ภีมม์ กลัวพี่ภีมม์จะไปทำงานสาย ที่สำคัญเพื่อนมารับมาส่งก็ประหยัดดี”
“ทำไมต้องเกรง...”
ครืดดดด
“อุ้ย ลีโอน่าจะโทรมา สงสัยใกล้จะมาถึงแล้วเฟิร์นบอกเขาให้โทรบอกก่อนมาถึงยี่สิบนาที งั้นเดี๋ยวเฟิร์นไปเตรียมตัวก่อนนะคะ” ฉันเลี่ยงไปหยิบมือถือแล้วหันไปรับสายลีโอเพื่อนัดเวลา ก่อนจะวางสายแล้วหันมาตักอาหารใส่จานให้พี่ภีมม์ก่อนเอาไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร
ส่วนพี่ภีมม์ก็ยังยืนมองด้วยสีหน้าที่ฉันเองก็คาดเดาไม่ถูก แต่ในเวลากระชั้นชิดที่ลีโอใกล้จะมาถึงแบบนี้ ทำให้ฉันไม่ทันได้ใส่ใจความรู้สึกของพี่ภีมม์มากนัก ฉันรีบถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะจัดเสื้อผ้าชุดทำงานให้เข้าที่ ดีว่าตั้งแต่ตอนตื่นนอนตอนเช้าฉันอาบน้ำมาแล้ว เลยไม่ค่อยแต่งตัวอะไรมากนักจึงทำเวลาได้ค่อนข้างไว
รู้ตัวอีกทีก็ออกจากห้อง โดยที่ไม่ทันสังเกตสีหน้าและความรู้สึกของพี่ภีมม์อีกเลย
และนับตั้งแต่วันนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ภีมม์ถึงไม่ได้พัฒนามากขึ้น นอกจากเลิกงานพี่ภีมม์เตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้ ส่วนตอนเช้าฉันเป็นฝ่ายเตรียมให้เขา และนอกจากนั้นเราก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะพี่ภีมม์มักจะใช้เวลาส่วนตัวอยู่ในห้องทำงานของเขามากกว่า
แต่ก็นะ….ช่างมันเถอะ ความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ได้รักกันมาแต่งงานกัน ก็คงจะเป็นเหมือน ๆ กันหมด
อย่างนี้สินะที่มีคนบอกไว้ ถ้าเราโชคดีในเรื่องงาน ก็อาจจะโชคไม่ดีเรื่องความรักก็เป็นได้
ในขณะที่ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์งานของฉันเริ่มลงตัวขึ้นเรื่อย ๆ
อยู่ ๆ พี่แจนหัวหน้าแผนกของฉันก็บอกว่า แผนกเรากำลังจะมีพนักงานใหม่เพิ่มเข้ามาอีกคน และคล้ายเธอจะเป็นเด็กฝากของผู้จัดการฝ่ายการเงินฝากมา
เธอชื่อเอมี่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน ดูเป็นลูกคุณหนูใส ๆ หน้าตาน่ารักไม่มีพิษมีภัย วันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน เอมี่ก็ดูหน้าตาเป็นมิตรนอบน้อมน่ารักแถมยังยิ้มหวานให้กับฉัน แต่พอรู้ว่าฉันเองก็เป็นพนักงานใหม่และเพิ่งมาทำงานก่อนเธอสองอาทิตย์ อยู่ ๆ เธอก็ดูเชิดใส่ฉันขึ้นมาซะงั้น ซึ่งข้อนี้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เอาเป็นว่าฉันมองเธอเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ไม่ได้มองเป็นคู่แข่งเพื่อสร้างงานผลงานอะไรทั้งนั้น และก็ไม่ได้ใส่ใจด้วยว่านางจะเชิดใส่ฉันเพราะอะไร เพราะฉันสนใจแค่งานที่ได้รับมอบหมายมากกว่า
ด้วยความที่ฉันผ่านการเทรนงานมาถึงสองอาทิตย์ ทำให้ในตอนนี้ฉันเริ่มสามารถออกหาลูกค้าเองได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับงานแรก ฉันยังต้องมีลีโอออกไปเป็นเพื่อนด้วยเพราะฉันยังใหม่มาก
“ตื่นเต้นไหมครับใบเฟิร์นที่จะต้องพบลูกค้ารายแรก”
“ถามได้ ตื่นเต้นสิเฟิร์นกลัวจะพรีเซนต์ติด ๆ ขัด ๆ มากเลย”
ทั้งที่เตรียมตัวมาดีมากแล้วนะ แต่เมื่อมันเป็นงานแรกที่ฉันต้องพบลูกค้า และเป็นงานที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรง เลยอดที่จะประหม่าไม่ได้
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถ้าติดตรงไหนเราช่วยเสริม”
ลีโอยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาใจดีกับฉันเสมอตั้งแต่วันแรกที่เข้างานเลยก็ว่าได้
เราสองคนมาที่บริษัท JK จิเวอรี่ เพราะเร็ว ๆ นี้ทางบริษัทกำลังจะเปิดสาขาใหม่ให้กับลูกสาวคนเดียวที่เพิ่งกลับมาจากอิตาลี ว่ากันว่าเธอเป็นลูกคุณหนูที่สวยมาก ชื่อ จณิสิตา เห็นม่ะ แค่ฟังชื่อก็สวยแล้ว แถมออฟฟิศของเธอก็ดูอลังการมาก เรียกว่าค่าตกแต่งภายในแบบนี้น่าจะหลายสิบล้าน รวมไปถึงถ้าฉันได้งานโปรเจคงานเปิดตัวสาขาจิเวอรี่ของเธอคงจะต้องเน้นความหรูหราและอลังการไม่เบา
ไม่ช้าเราสองคนก็พากันมาถึงที่หน้าห้องทำงานของเธอ โดยมีพนักงานจากด้านล่างตึกมาพาอีกที
“สวัสดีครับ เราสองคนมาพบคุณจณิสิตาที่นัดไว้”
ลีโอบอกกับเลขาสาวหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่หน้าห้อง ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มหวาน ๆ กลับมาให้
“อ่อ ได้ค่ะคุณเจนนี่แจ้งเอาไว้แล้วค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
เลขาสาวลุกขึ้นผายมือชวนพวกเราสองคน แต่ที่ฉันเอะใจนิดหน่อยคือชื่อที่เรียกว่า “เจนนี่” มันช่างเหมือนชื่อผู้หญิงคนนั้นที่เคยโทรหาพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันเลย
เฮ้อ…ทำไมถึงหนีชื่อนี้ไปไม่พ้นเลยนะ
และทันทีที่ประตูห้องเปิดขึ้น ภาพผู้หญิงในชุดสูทอามานี่สีขาวราวกับเจ้าหญิงผู้สง่างามหันมาส่งยิ้มให้กับฉันและลีโอ ฉันถึงกับตกตะลึง คือนอกจากความสวยมาก ๆ ของผู้หญิงตรงหน้าแล้ว คือผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ฉันเห็นปรากฏรูปในหน้าจอมือถือของพี่ภีมม์
“สวัสดีครับคุณจณิสิตา พวกเราสองคนมาจากบริษัทเดอะวันออแกไนเซอร์ ผมธีรดลส่วนนี่ศนิชาเป็นตัวแทนจากบริษัทครับ” ลีโอเป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนฉันที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ ส่วนเขาก็แค่กำลังแก้สถานการณ์ให้ฉัน“ยินดีค่ะ เชิญนั่งสิคะ”เธอเอ่ยเชิญพวกเรานั่ง ส่วนฉันก็ได้แต่พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติยิ้มตอบรับแล้วพากันนั่งลง ขนาดเสียงของเธอยังหวานมาก ๆ หวานสมกับหน้าตาหวาน ๆ ของเธอเลยพวกเราคุยแนะนำตัวให้เธอฟังพอประมาณ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องงานโปรเจคที่นำเสนอ ฉันพยายามตัดเรื่องที่คุณเจนนี่กับพี่ภีมม์ว่าเป็นอะไรกันออกแล้วมีสมาธิให้กับงานมากที่สุด ที่สำคัญดูเหมือนพี่ภีมม์คงจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฉันเลยว่าเราสองคนแต่งงานให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง เพราะเธอเหมือนจะเพิ่งรู้จักฉันครั้งนี้เป็นครั้งแรก ส่วนฉันก็ได้แต่ตามน้ำแล้วมุ่งประเด็นให้อยู่แต่เรื่องงานอย่างเดียวพอเรานำเสมอโปรเจคงานเปิดตัวสาขาใหม่ให้เธอเสร็จ ดูเธอจะพอใจกับงานที่ฉันนำเสนอมาก ก่อนที่เธอแจ้งว่าจะติดต่อนัดหมายเพื่อคุยเรื่องการจัดสถานที่อีกครั้ง เท่านั้นหัวใจฉันก็พองโตเหมือนว่าตัวเองเริ่มประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จนลืมใส่ใจเรื่องที่เธอเป็นอะไรกับพี่ภีมม์จนเกือ
ฉันงี่เง่ามากที่ลุกขึ้น ในขณะที่พี่ภีมม์ยังคงทำหน้างง ๆ อยู่ นี่เขาคงยังไม่รู้สินะว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร หรือว่าเขารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างนอยด์ ๆ แต่ไม่คิดว่าพี่ภีมม์จะเดินตามกลับเข้ามาด้วย ปกติเขาหลังมื้อเย็นเขามักจะคลุกอยู่แต่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา แต่วันนี้พี่ภีมม์กลับเดินตามฉันมาในห้องนอน ไม่พอยังทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ทำเอาฉันต้องรีบหันหลังแล้วนอนตะแคงไปอีกฝั่งทันที“พี่ไปทำอะไรให้เราไม่พอใจหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้เราถึงพูดกับพี่แปลก ๆ”“...” ฉันเลือกที่จะไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ ถึงจะดูไม่ค่อยเนียนก็เถอะ เพราะว่าเราเพิ่งเดินเข้าห้องมาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไป“เราเพิ่งแต่งงานกันไม่ถึงเดือนนะครับเฟิร์น อย่าเพิ่งพูดเรื่องหย่าเลยมันฟังดูไม่ค่อยดี แล้วอีกอย่างเรื่องที่เฟิร์นพูดถึงผู้หญิงคนอื่นอะไรพี่ก็ไม่มีอย่างทีเฟิร์นพูดเมื่อกี้เลยสักนิด”โห...ผู้ชายอะไรโกหกได้หน้าตายมาก ขนาดฉันรู้หมดแล้วนะ ได้ยินกับหูได้เห็นกับตาด้วย แล้วนี่คือฉันรู้แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สินะ“...”“เฟิร์นครับ หลับแล้วเหรอครับ” เขาถามย้ำฉันอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าฉันก็เลือกที่จ
ใบเฟิร์นไม่เคยคุยเรื่องรายละเอียดของงานเธอให้ผมฟังมากนัก นอกจากที่บอกว่าเธอเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี และตอนนี้เธอเพิ่งได้รับโอกาสทำโปรเจคงานใหญ่ซึ่งเธอดูมีความสุขมาก ทำให้ผมก็รู้สึกแฮปปี้ไปกับเธอด้วยผมเองก็มีความสุขเวลาที่ได้ฟังเธอเล่าเรื่องต่าง ๆ และชอบที่จะได้กลับมาทำอาหารเย็นอร่อย ๆ ไว้ให้เธอแทบทุกวันยกเว้นก็แต่วันนี้“ภีมม์คะ วันนี้เลิกงานแล้วออกมาหาเจนนี่หน่อยได้ไหมคะ เจนนี่ว่าจะปรึกษาเรื่องงานหน่อย”“ตอนเย็นเหรอ คือพอดีผมต้องรีบกลับน่ะ” ผมรีบปฏิเสธเพราะตั้งใจจะกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ภรรยาของผมทาน“โห อย่าใจร้ายกับเจนนี่สิคะ ถ้าภีมม์ไม่ช่วยเจนนี่แย่แน่ๆ นะคะ น้า น้า พี่ภีมม์นะ”เจนนี่ทำเสียงอ้อนเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือจากผม ซึ่งเธอเองก็เป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยยอมตกลงเธอแม้จะรู้สึกผิดกับใบเฟิร์นนิดหน่อยแต่...ก็แค่วันเดียวคงไม่น่าจะเป็นอะไรความจริงผมก็ว่าจะเซอร์ไพรส์ด้วยการพาใบเฟิร์นไปเปิดตัวกับเจนนี่เย็นนี้เลย ติดก็ตรงที่น่าจะไม่ค่อยเหมาะเพราะเจนนี่น่าจะอยากปรึกษาผมเรื่องงานมากกว่า ผมเลยคิดว่าไว้วันหลังผมค่อยพาใบเฟิร์นมาแนะนำตัวเป็นทางการกับเจนนี่อีกครั้ง“ใบ
รุ่งเช้าฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด โดยการทำอาหารเช้าไว้ให้พี่ภีมม์ก่อนจะไปทำงาน แม้จะรู้สึกเขินตัวเองนิดหน่อย ที่สุดท้ายแล้ว ฉันที่บอกว่าหลับไม่ลง แต่ตัวเองดันเผลอหอมกลิ่นตัวพี่ภีมม์จนเผลอนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญพอตื่นนอนขึ้นมาฉันกลับเป็นฝ่ายที่นอนกอดพี่ภีมม์ตอบอีกต่างหากงื้อ...น่าอายชะมัดเมื่อถึงที่ทำงาน เป็นเพราะงานโปรเจคใหญ่ของคุณเจนนี่ ทำให้ฉันค่อนข้างแฮปปี้กับการทำงานที่นี่ และมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นแต่ทว่าอยู่ ๆ วันนี้ พี่แจนก็เรียกฉันกับเอมี่ไปคุยที่ห้องทำงานของเขา ตอนแรกฉันก็นึกว่าแค่เรียกประเมินผลงานประจำเดือนของพนักงานใหม่ธรรมดาแต่ที่ไหนได้“เราสองคนมาก็ดีแล้ว นั่งสิ” พี่แจนพูดหน้านิ่ง ๆ ซึ่งปกติพี่แจนจะดูเป็นคนใจดีและยิ้มอ่อนโยนให้ฉันเสมอแต่หนนี้ดูสีหน้าพี่แจนดูเครียดผิดปกติ“ที่พี่เรียกเราสองคนมาวันนี้ คือจะคุยเรื่องงานคุณเจนนี่” พอได้ยินแบบนี้ฉันเลยถึงกับยิ้มออกมาเพราะคิดว่าบางทีอาจจะต้องได้รับคำชมเชยแน่ ก็ฉันตั้งใจทำงานนี้มากเลยนะ“ตกลงว่างานของใบเฟิร์นที่ทำอยู่ พี่จะเปลี่ยนไปให้เอมี่ทำแทนเรานะ”สิ้นประโยคของพี่แจน ฉันถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน“ห
และเมื่อได้เวลาเลิกงาน กลุ่มของพวกเราราวแปดคนรวมทั้งฉันด้วย ก็พากันมาร้านอาหารสไตล์กึ่งผับแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่ ฉันลังเลอยู่พักใหญ่ว่าควรจะส่งข้อความไปบอกโลเคชั่นพี่ภีมม์ดีไหม แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมส่งไปให้เพราะไม่อยากมีปัญหา อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและไม่ได้ไปทำอะไรเหลวไหลที่อื่นหัวข้อของพวกเราที่มากินเลี้ยงกัน ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องงาน พอคุยกันถึงเรื่องนี้ก็มีทั้งหัวข้อที่สนุกสนานกับหัวข้อที่ดูเคร่งเครียด แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ถูกสั่งมากินกันไปหลายต่อหลายขวดส่วนฉันนอกจากเซ็งเรื่องงาน และยังต้องเซ็งเรื่องพี่ภีมม์กับคุณเจนนี่อีก ทำให้วันนี้รู้สึกเซ็งจัด เลยดื่มเหล้าไปไม่ยั้ง รู้ตัวอีกทีก็เริ่มจะเห็นเหมือนภาพซ้อนมองอะไรเบลอไปหมด“พวกพี่ก็รู้ว่าเฟิร์นโคตรตั้งใจกับงานนี้ ทำไมอ่ะพี่ ทำไมพี่แจนไม่เช็คให้ดีกว่านี้ล่ะว่าเฟิร์นโดยแกล้ง แม่งเอ๊ย น่าโมโห มาดื่ม ดื่มกัน” ฉันโชว์แก้วเหล้าพร้อมยกไปชนกับพวกพี่ทำงานตรงหน้า“เฟิร์นเมามากแล้วนะ” เสียงลีโอเตือนฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ข้าง ๆ เขาดูไม่ค่อยดื่มอาจจะเพราะเป็นห่วงว่าตัวเองต้องเป็นคนขับรถกับ จ
เสียงหัวใจของฉันมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉันยังไม่กล้าลืมตา บอกตรง ๆ ว่า เจอแบบนี้ใครมันจะไปหลับลง ฉันรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของฉันแทบจะแนบชิดกับพี่ภีมม์จนแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างร่างกายกันและกันลมหายใจของภีมม์เริ่มสม่ำเสมอ แต่ในขณะที่ฉันยังทำใจให้นอนหลับไม่ได้ ลำพังแค่อยากจะพลิกตัวตอนนี้ยังไม่กล้าผ่านไปราวยี่สิบนาทีในขณะที่ฉันไม่กล้าขยับตัวเพราะท่อนแขนของพี่ภีมม์โอบฉันเอาไว้ อยู่ ๆ พี่ภีมม์ก็ดึงร่างให้ฉันหันกลับไปไว้ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง จนใบหน้าของฉันปะทะกับหน้าอกแกร่งของเขา ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวของพี่ภีมม์หอมมาก...หอมจนทำให้ฉันรู้สึกดีจนแทบเคลิ้มไปเลยอื้อ...ตะแต่ ...นี่สรุปว่าทุกเช้าเขาเป็นคนดึงฉันเข้าไปกอด ไม่ใช่ฉันเป็นฝ่ายนอนดิ้นไปกอดเขาหรอกเหรอนี่>\รุ่งเช้าฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด โดยการทำอาหารเช้าไว้ให้พี่ภีมม์ก่อนจะไปทำงาน แม้จะรู้สึกเขินตัวเองนิดหน่อย ที่สุดท้ายแล้ว ฉันที่บอกว่าหลับไม่ลง แต่ตัวเองดันเผลอหอมกลิ่นตัวพี่ภีมม์จนเผลอนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญพอตื่นนอนขึ้นมาฉันกลับเป็นฝ่ายที่นอนกอดพี่ภีมม์ตอบอีกต่างหากงื้อ...น่าอายชะมัดเมื่อถึงที่ทำงาน เป็
ฉันตัวชาจนพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าจะเสียใจเรื่องไหนก่อนดี ทั้งเรื่องงานและเรื่องพี่ภีมม์ ทำไมทุกอย่างต้องมารุมพร้อม ๆ กันในคราวเดียวแบบนี้“ยังไงคุณเจนนี่เขาก็เลือกให้ฉันทำงานแทนเธอที่ไม่รับผิดชอบงานแล้ว เธอเอาไว้แก้มืองานหน้าก็แล้วกันนะ” เอมี่ยิ้มให้ฉัน แต่ไม่ได้เป็นยิ้มที่ดูจริงใจเลยแม้แต่น้อยฉันได้แต่อึ้งจนไม่พูดออก สองมือกำจนจิกลงไปที่เนื้อ กลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล เอมี่เล่นสกปรกจริง ๆ ที่ปาดงานฉันไปแถมยังโยนความผิดมาให้ฉัน ซ้ำพี่แจนก็ดูเหมือนจะเชื่อคำพูดของเอมี่มากกว่าฉันด้วย มันเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาจริง ๆฉันเดินกลับมาออกมาจากโต๊ะของพี่แจน โดยมีเอมี่ที่เดินตามหลังมาติด ๆ ไม่ใช่อะไรนะ นางเดินมาเอางานที่โต๊ะฉัน งานที่ฉันทำไปแล้วตั้ง 70%"ไม่ต้องเป็นห่วงนะใบเฟิร์น เอมี่จะทำงานให้ออกมาดีที่สุด เท่าที่ลูกค้าพอใจเลย"เอมี่ส่งยิ้มให้ฉัน ก่อนจะรับไฟล์งานของฉันกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเจ็บใจมาก ที่สุดท้ายแล้วฉันต้องเอางานทั้งหมดที่ทำมาเกือบทั้งหมดส่งให้เอมี่ที่ได้งานฉันไปอย่างหน้าตาเฉยฉันนั่งทำงานอื่นด้วยความผิดหวัง เสียใจที่ตัวเองโดนฉกงาน รู้สึกทนไม่ไหวจนต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
และเมื่อได้เวลาเลิกงาน กลุ่มของพวกเราราวแปดคนรวมทั้งฉันด้วย ก็พากันมาร้านอาหารสไตล์กึ่งผับแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่ ฉันลังเลอยู่พักใหญ่ว่าควรจะส่งข้อความไปบอกโลเคชั่นพี่ภีมม์ดีไหม แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมส่งไปให้เพราะไม่อยากมีปัญหา อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและไม่ได้ไปทำอะไรเหลวไหลที่อื่นหัวข้อของพวกเราที่มากินเลี้ยงกัน ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องงาน พอคุยกันถึงเรื่องนี้ก็มีทั้งหัวข้อที่สนุกสนานกับหัวข้อที่ดูเคร่งเครียด แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ถูกสั่งมากินกันไปหลายต่อหลายขวดส่วนฉันนอกจากเซ็งเรื่องงาน และยังต้องเซ็งเรื่องพี่ภีมม์กับคุณเจนนี่อีก ทำให้วันนี้รู้สึกเซ็งจัด เลยดื่มเหล้าไปไม่ยั้ง รู้ตัวอีกทีก็เริ่มจะเห็นเหมือนภาพซ้อนมองอะไรเบลอไปหมด“พวกพี่ก็รู้ว่าเฟิร์นโคตรตั้งใจกับงานนี้ ทำไมอ่ะพี่ ทำไมพี่แจนไม่เช็คให้ดีกว่านี้ล่ะว่าเฟิร์นโดยแกล้ง แม่งเอ๊ย น่าโมโห มาดื่ม ดื่มกัน” ฉันโชว์แก้วเหล้าพร้อมยกไปชนกับพวกพี่ทำงานตรงหน้า“เฟิร์นเมามากแล้วนะ” เสียงลีโอเตือนฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ข้าง ๆ เขาดูไม่ค่อยดื่มอาจจะเพราะเป็นห่วงว่าตัวเองต้องเป็นคนขับรถกับ จ
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ