ฉันตัวชาจนพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าจะเสียใจเรื่องไหนก่อนดี ทั้งเรื่องงานและเรื่องพี่ภีมม์ ทำไมทุกอย่างต้องมารุมพร้อม ๆ กันในคราวเดียวแบบนี้“ยังไงคุณเจนนี่เขาก็เลือกให้ฉันทำงานแทนเธอที่ไม่รับผิดชอบงานแล้ว เธอเอาไว้แก้มืองานหน้าก็แล้วกันนะ” เอมี่ยิ้มให้ฉัน แต่ไม่ได้เป็นยิ้มที่ดูจริงใจเลยแม้แต่น้อยฉันได้แต่อึ้งจนไม่พูดออก สองมือกำจนจิกลงไปที่เนื้อ กลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล เอมี่เล่นสกปรกจริง ๆ ที่ปาดงานฉันไปแถมยังโยนความผิดมาให้ฉัน ซ้ำพี่แจนก็ดูเหมือนจะเชื่อคำพูดของเอมี่มากกว่าฉันด้วย มันเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาจริง ๆฉันเดินกลับมาออกมาจากโต๊ะของพี่แจน โดยมีเอมี่ที่เดินตามหลังมาติด ๆ ไม่ใช่อะไรนะ นางเดินมาเอางานที่โต๊ะฉัน งานที่ฉันทำไปแล้วตั้ง 70%"ไม่ต้องเป็นห่วงนะใบเฟิร์น เอมี่จะทำงานให้ออกมาดีที่สุด เท่าที่ลูกค้าพอใจเลย"เอมี่ส่งยิ้มให้ฉัน ก่อนจะรับไฟล์งานของฉันกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเจ็บใจมาก ที่สุดท้ายแล้วฉันต้องเอางานทั้งหมดที่ทำมาเกือบทั้งหมดส่งให้เอมี่ที่ได้งานฉันไปอย่างหน้าตาเฉยฉันนั่งทำงานอื่นด้วยความผิดหวัง เสียใจที่ตัวเองโดนฉกงาน รู้สึกทนไม่ไหวจนต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
และเมื่อได้เวลาเลิกงาน กลุ่มของพวกเราราวแปดคนรวมทั้งฉันด้วย ก็พากันมาร้านอาหารสไตล์กึ่งผับแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่ ฉันลังเลอยู่พักใหญ่ว่าควรจะส่งข้อความไปบอกโลเคชั่นพี่ภีมม์ดีไหม แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมส่งไปให้เพราะไม่อยากมีปัญหา อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและไม่ได้ไปทำอะไรเหลวไหลที่อื่นหัวข้อของพวกเราที่มากินเลี้ยงกัน ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องงาน พอคุยกันถึงเรื่องนี้ก็มีทั้งหัวข้อที่สนุกสนานกับหัวข้อที่ดูเคร่งเครียด แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ถูกสั่งมากินกันไปหลายต่อหลายขวดส่วนฉันนอกจากเซ็งเรื่องงาน และยังต้องเซ็งเรื่องพี่ภีมม์กับคุณเจนนี่อีก ทำให้วันนี้รู้สึกเซ็งจัด เลยดื่มเหล้าไปไม่ยั้ง รู้ตัวอีกทีก็เริ่มจะเห็นเหมือนภาพซ้อนมองอะไรเบลอไปหมด“พวกพี่ก็รู้ว่าเฟิร์นโคตรตั้งใจกับงานนี้ ทำไมอ่ะพี่ ทำไมพี่แจนไม่เช็คให้ดีกว่านี้ล่ะว่าเฟิร์นโดยแกล้ง แม่งเอ๊ย น่าโมโห มาดื่ม ดื่มกัน” ฉันโชว์แก้วเหล้าพร้อมยกไปชนกับพวกพี่ทำงานตรงหน้า“เฟิร์นเมามากแล้วนะ” เสียงลีโอเตือนฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ข้าง ๆ เขาดูไม่ค่อยดื่มอาจจะเพราะเป็นห่วงว่าตัวเองต้องเป็นคนขับรถกับ จ
ความโมโหทำให้ผมตรงเข้าไปกระชากใบเฟิร์นออกมาจากอ้อมแขนของหมอนั่นแบบไม่ทันตั้งตัว จนตัวเธอเซมาซบอยู่ในอ้อมแขนของผมแทน“พะ พี่ภีมม์มาได้ไงคะเนี่ย” เสียงใบเฟิร์นอ้อแอ้เงยหน้ามามองผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่กระนั้นแค่ลำพังจะยืนทรงตัวดี ๆ เธอก็แทบจะยืนไม่ไหวจนผมต้องกระชับเธอไว้ให้อ้อมแขนให้แน่นขึ้น“ทำไมถึงปล่อยให้เมาขนาดนี้!” ผมดุเธอแต่เธอคงไม่รู้เรื่องมากหรอก ผมเลยตวัดสายตามองหมอนั่นที่ยืนอยู่ตรงข้ามแบบเอาเรื่อง“สวัสดีครับพี่ภีมม์”“ใครพี่คุณ” ผมตอบเสียงห้วน ๆ นี่ไม่ต่อยมันด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว หมอนั่นดูชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นผมมองเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร เขาคงยังคิดว่าผมเป็นพี่ชายใบเฟิร์นจริง ๆ สินะ เลยยังทำตัวสุภาพกับผมอยู่“ขอโทษนะครับพี่...เออคุณภีมม์ ขอโทษที่ปล่อยให้น้องสาวของคุณกินเหล้าจนเมาขนาดนี้ คือวันนี้ใบเฟิร์นมีเรื่องเครียดมาก พอดีเธอโดนปลดจากงานที่เธอเพิ่งได้รับมอบหมายเป็นงานแรก เธอก็เลยเสียใจมาก พวกเราในแผนกก็เลยชวนเธอมาเลี้ยงปลอบใจเท่านั้นเอง”นับเป็นข้อมูลใหม่ที่ผมรู้เกี่ยวกับเธอ ดูท่าเธอจะเสียใจมากจริง ๆ เพราะผมรู้สึกเหมือนจะเห็นน้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่หางตาของเธออยู่“อืม...งั้นก็ขอบ
เพราะผมชอบนะเวลาที่ภรรยาของผมเมาแล้วพูดความในใจกับผมมากขึ้น ถึงจะดูงี่เง่าหน่อย ๆ แต่ผมก็รู้ว่าเธอเป็นแบบนี้เพราะอะไร แถมผมยังได้กอดเธอแบบไม่ต้องกังวลว่าเธอจะไม่พอใจหรือเปล่า“พี่ภีมม์แต่งงานกับเฟิร์นแล้วทำไมถึงไปกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่น ฮึก ฮือ พี่รู้ไหมว่าผู้หญิงของพี่ ทำให้เฟิร์นไม่ได้ทำงานที่เฟิร์นอย่างทำ ฮึก เฟิร์นอยากทำงานนั่น แต่เฟิร์นโดนใส่ร้าย”ผมไม่รู้ว่าใบเฟิร์นพูดอะไร แต่เดาว่าคงน่าจะเกี่ยวกับงานของเธอที่อาจจะเกี่ยวข้องกับงานเปิดตัวร้านจิเวลรี่ใหม่ของเจนนี่คงเพราะที่ผ่านมาเราสองคนคงคุยกันน้อยไปจริง ๆ ทำให้ผมไม่เคยละลาบละล้วงเกี่ยวกับงานของเธอ ผมก็แค่...อยากให้เธอมีชีวิตที่อิสระอย่างเต็มที่อย่างที่เธอต้องการเพราะผมไม่อยากไปกดดันให้เธอเครียด เธอยังเด็กมากสำหรับการแต่งงานของเราสองคน“โอเคครับ อย่าคิดมากนะพี่จัดการให้” ผมทำได้แค่ปลอบเธอ ก่อนจูบลงที่หน้าผากเบา ๆใบหน้าที่เห่อแดงไปด้วยแอลกอฮอล์ช้อนสายตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแพขนตางามงอนบนใบหน้าหวาน ๆ มองขึ้นมาคล้ายกับตั้งคำถามถึงการกระทำของผม ดวงตาที่ปรือฉ่ำรับริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูแบบนี้ ทำเอาหัวใจของผมเต้นแรงมากแ
ตึก ตึก ตึก เสียงหัวใจของฉันมันเต้นแรงมากกับสิ่งที่พี่ภีมม์พูดออกมา มันหมายความว่าไงนะ หมายความว่าพี่ภีมม์กำลังหึงที่ฉันพูดถึงลีโออย่างนั้นหรือ“ต่อไปห้ามบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะพี่จะไม่ปล่อยให้เราได้พูดแบบนั้นอีกแล้ว”มะ...หมายความว่าไงฉันรู้สึกได้ถึงดวงตากลมโตของฉันเบิกกว้างขึ้น ลมหายใจติดขัดเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อพี่ภีมม์หลับตาแล้วก้มลงมาจูบฉันอีกครั้ง ในขณะที่มือแกร่งของเขาก็เริ่มลูบไล้อย่างแผ่วเบาไปตามเรือนร่าง จนฉันเองเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ทั้งที่ใจอยากผลักไสแต่ทำไมเหมือนร่างกายไม่มีแรง“ยะ อย่า อย่าค่ะ พี่ภีมม์” นี่ฉันพยายามดันเขาออก แต่พี่ภีมม์ตัวใหญ่กว่าฉันเป็นเท่า ทำให้เขาแทบไม่ขยับไปไหนเลยพี่ภีมม์เลื่อนริมฝีปากมางับที่ติ่งหู แถมยังขบอย่างแผ่วเบาลงมาตามซอกคอ จนฉันรู้สึกแปลก ๆเสียงครางงึมงำและสีหน้าของพี่ภีมม์ที่ดูเหมือนกำลังมีความสุข ในขณะที่ฉันกลับรู้สึกวูบไหวจนทำอะไรไม่ถูก สัมผัสจากฝ่ามือหนาของภีมม์มาหยุดอยู่ที่หน้าอกของฉัน ก่อนที่จะเขาจะค่อย ๆ สอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ไปจนถึงใต้บรา แล้วเคล้นคลึงมันอย่างมันมือ“อา...” ฉันเผลอครางเสียงที่น่าอายออกไป จนพี่ภีม
“พี่ภีมม์อย่า เฟิร์นกลัวเจ็บ” ฉันเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแทรกเข้ามาในร่างกายของฉันและ... พี่ภีมม์ในตอนนี้ช่างดูไม่หมือนพี่ภีมม์ที่ฉันเคยรู้จักในตลอดระยะหนึ่งเดือนที่เราแต่งงานกันเลยสักนิด“อย่าเกร็ง”พี่ภีมม์พูดเสียงพร่า ในขณะที่ฉันเห็นกรามของเขาขบกันจนเป็นสัน เมื่อกำลังพยายามดันบางสิ่งเข้ามา ทั้งที่มันยังพอมีความลื่นไหลจากการเล้าโลมเมื่อครู่ แต่ด้วยขนาดของเขาที่ใหญ่โต กับฉันที่ตัวเล็กแบบนี้เลยเขาเลยดูเหมือนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ส่วนฉันเองก็ไม่ต่างกัน มัน...ทั้งเจ็บ ทั้งกลัว แล้วก็...ทั้งรู้สึกแปลก ๆ“อึก...ปล่อยเฟิร์นนะไม่เอา เฟิร์นจะไม่พูดถึงลีโออีกแล้ว อึก เฟิร์นแค่ตั้งใจพูดประชด” ฉันพยายามอธิบายเพื่อขอร้องให้เขาหยุดแน่นอนว่าอารมณ์ของพี่ภีมม์ในตอนนี้ฉันคงไม่สามารถหยุดมันได้ เพราะเขาไม่ได้ฟังสิ่งที่ฉันพูดเลย“อืม...” เขาคำรามในลำคอ ในขณะที่ฉันกลัวจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว“ปล่อยเฟิร์น”ฉันส่ายหน้าด้วยความกลัว แถมยังพยายามกระเถิบเอวหนี ส่วนพี่ภีมม์ก็จับเอวฉันเอาไว้ไม่ให้ดิ้น และพยายามดันความเป็นชายของเขาเข้ามาจนสุด!ครึด...“อ๊า...พี่ภีมม์เฟิร์นเจ
ฉันโอบมือไปจิกลงที่แผ่นหลังของพี่ภีมม์แน่นเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะไปถึงฝั่งฝัน ก่อนที่จะแอ่นร่างรับแรงกระแทกลึกสุดจากพี่ภีมม์ ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของเราทั้งคู่ ในไม่ช้าพี่ภีมม์ก็เกร็งสะโพกสองสามครั้งแล้วปล่อยให้น้ำอุ่นร้อนเข้ามาในร่างกายของฉัน ส่วนบอบบางของฉันมันกำลังตอดรัดความเป็นชายของเขาอยู่ จนฉันเห็นเหมือนรอยยิ้มของพี่ภีมม์ที่กำลังมองมาที่ใบหน้าของฉัน แต่ตอนนี้สิฉันรู้สึกเหมือนแทบจะหมดแรง“เก่งมากเลยครับ คนดีของพี่ภีมม์” เสียงหอบของพี่ภีมม์กระซิบลงที่ข้างหู ก่อนที่เขายอมถอนตัวออกแล้วทิ้งลงตัวข้าง ๆ ฉัน ส่วนฉันก็รีบหันข้างตะแคงหนีเพราะความอายผ่านไปได้ไม่กี่นาที เมื่อลมหายใจจากกิจกรรมเมื่อครู่เริ่มสงบ พี่ภีมม์เข้ามาสวมกอดฉันทางด้านหลังอีกครั้ง แน่นอนว่าแนบแน่นพอที่จะทำให้ฉันรู้ว่าอะไรที่เพิ่งสงบไปของเขามันกำลังจะเริ่มขึ้นอีก เขาไม่เพียงแค่กอดแต่ยังเอามือมาขย้ำที่หน้าอกเพื่อปลุกปั่นอารมณ์ฉันอีกครั้ง“อีกครั้งนะ”“พักก่อนได้ไหมคะ เฟิร์นยัง...เอ่อเจ็บตรงนั้นอยู่เลย”“ต้องทำบ่อย ๆ ครับแล้วมันจะหายเจ็บไปเอง” เขาตอบ แล้วฉันจะเชื่อได้ไหมเนี่ยถ้าคนเรามีอะไรกันบ่อย ๆ
“เฟิร์นออกไปทำอาหารเช้าดีกว่า หิวไหมคะ”“หิวสิ ตื่นมาก็หิวเลย” พี่ภีมม์ตอบน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ฟังดูแล้วทะแม่ง ๆ ยังไงไม่รู้ ฉันเลยดันตัวขึ้นพร้อม ๆ กับดึงผ้าห่มที่พี่ภีมม์ทับอยู่ ก็ถ้าพี่ภีมม์ทับเอาไว้แบบนี้แล้วฉันจะลุกขึ้นได้ยังไงก่อน“พี่ภีมม์ก็อย่าทับผ้าห่มสิคะ แบบนี้เฟิร์นลุกไม่ได้แล้วจะออกไปทำอาหารได้ไงคะ ไหนว่าหิวไม่ใช่ไง”“ที่หิว หมายถึงหิวเฟิร์น ถ้าไม่ให้พี่ทับผ้าห่มพี่ก็จะทับเฟิร์น”เจ้าเล่ห์ที่สุด ความสุภาพของพี่ภีมม์ก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ดูท่าตอนนี้จะเหลือแต่ความหื่นไว้อย่างเดียว“อ๊ะจริงสินี่มันกี่โมงแล้ว” ฉันลืมนึกเรื่องเวลาไปเลย พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตื่นสายก็น่าจะเลยเวลาทำงานไปแล้ว ดูสิเพราะพี่ภีมม์คนเดียวทำให้ฉันกลายเป็นคนเหลวไหล นี่ฉันยังทำงานไม่ผ่านโปรสามเดือนเลยนะจะหยุดงานแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้“พี่โทรไปลางานให้แล้ว”“ลางาน! หา! แล้วพี่แจนหัวหน้าของเฟิร์นไม่ได้ว่าอะไรเหรอคะ” ฉันนึกว่าพี่ภีมม์โทรไปลางานกับพี่แจนที่เป็นหัวหน้างานของฉัน ว่าแต่เขาเอาเบอร์ที่ทำงานของฉันมาจากไหน“ไม่ว่าหรอก ถ้าใครกล้าว่ามาบอกพี่”ฉันทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ พี่ภีมม์เป็นแค่เซลล์ข
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ