เพราะผมชอบนะเวลาที่ภรรยาของผมเมาแล้วพูดความในใจกับผมมากขึ้น ถึงจะดูงี่เง่าหน่อย ๆ แต่ผมก็รู้ว่าเธอเป็นแบบนี้เพราะอะไร แถมผมยังได้กอดเธอแบบไม่ต้องกังวลว่าเธอจะไม่พอใจหรือเปล่า“พี่ภีมม์แต่งงานกับเฟิร์นแล้วทำไมถึงไปกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่น ฮึก ฮือ พี่รู้ไหมว่าผู้หญิงของพี่ ทำให้เฟิร์นไม่ได้ทำงานที่เฟิร์นอย่างทำ ฮึก เฟิร์นอยากทำงานนั่น แต่เฟิร์นโดนใส่ร้าย”ผมไม่รู้ว่าใบเฟิร์นพูดอะไร แต่เดาว่าคงน่าจะเกี่ยวกับงานของเธอที่อาจจะเกี่ยวข้องกับงานเปิดตัวร้านจิเวลรี่ใหม่ของเจนนี่คงเพราะที่ผ่านมาเราสองคนคงคุยกันน้อยไปจริง ๆ ทำให้ผมไม่เคยละลาบละล้วงเกี่ยวกับงานของเธอ ผมก็แค่...อยากให้เธอมีชีวิตที่อิสระอย่างเต็มที่อย่างที่เธอต้องการเพราะผมไม่อยากไปกดดันให้เธอเครียด เธอยังเด็กมากสำหรับการแต่งงานของเราสองคน“โอเคครับ อย่าคิดมากนะพี่จัดการให้” ผมทำได้แค่ปลอบเธอ ก่อนจูบลงที่หน้าผากเบา ๆใบหน้าที่เห่อแดงไปด้วยแอลกอฮอล์ช้อนสายตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแพขนตางามงอนบนใบหน้าหวาน ๆ มองขึ้นมาคล้ายกับตั้งคำถามถึงการกระทำของผม ดวงตาที่ปรือฉ่ำรับริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูแบบนี้ ทำเอาหัวใจของผมเต้นแรงมากแ
ตึก ตึก ตึก เสียงหัวใจของฉันมันเต้นแรงมากกับสิ่งที่พี่ภีมม์พูดออกมา มันหมายความว่าไงนะ หมายความว่าพี่ภีมม์กำลังหึงที่ฉันพูดถึงลีโออย่างนั้นหรือ“ต่อไปห้ามบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะพี่จะไม่ปล่อยให้เราได้พูดแบบนั้นอีกแล้ว”มะ...หมายความว่าไงฉันรู้สึกได้ถึงดวงตากลมโตของฉันเบิกกว้างขึ้น ลมหายใจติดขัดเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อพี่ภีมม์หลับตาแล้วก้มลงมาจูบฉันอีกครั้ง ในขณะที่มือแกร่งของเขาก็เริ่มลูบไล้อย่างแผ่วเบาไปตามเรือนร่าง จนฉันเองเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ทั้งที่ใจอยากผลักไสแต่ทำไมเหมือนร่างกายไม่มีแรง“ยะ อย่า อย่าค่ะ พี่ภีมม์” นี่ฉันพยายามดันเขาออก แต่พี่ภีมม์ตัวใหญ่กว่าฉันเป็นเท่า ทำให้เขาแทบไม่ขยับไปไหนเลยพี่ภีมม์เลื่อนริมฝีปากมางับที่ติ่งหู แถมยังขบอย่างแผ่วเบาลงมาตามซอกคอ จนฉันรู้สึกแปลก ๆเสียงครางงึมงำและสีหน้าของพี่ภีมม์ที่ดูเหมือนกำลังมีความสุข ในขณะที่ฉันกลับรู้สึกวูบไหวจนทำอะไรไม่ถูก สัมผัสจากฝ่ามือหนาของภีมม์มาหยุดอยู่ที่หน้าอกของฉัน ก่อนที่จะเขาจะค่อย ๆ สอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ไปจนถึงใต้บรา แล้วเคล้นคลึงมันอย่างมันมือ“อา...” ฉันเผลอครางเสียงที่น่าอายออกไป จนพี่ภีม
“พี่ภีมม์อย่า เฟิร์นกลัวเจ็บ” ฉันเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแทรกเข้ามาในร่างกายของฉันและ... พี่ภีมม์ในตอนนี้ช่างดูไม่หมือนพี่ภีมม์ที่ฉันเคยรู้จักในตลอดระยะหนึ่งเดือนที่เราแต่งงานกันเลยสักนิด“อย่าเกร็ง”พี่ภีมม์พูดเสียงพร่า ในขณะที่ฉันเห็นกรามของเขาขบกันจนเป็นสัน เมื่อกำลังพยายามดันบางสิ่งเข้ามา ทั้งที่มันยังพอมีความลื่นไหลจากการเล้าโลมเมื่อครู่ แต่ด้วยขนาดของเขาที่ใหญ่โต กับฉันที่ตัวเล็กแบบนี้เลยเขาเลยดูเหมือนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ส่วนฉันเองก็ไม่ต่างกัน มัน...ทั้งเจ็บ ทั้งกลัว แล้วก็...ทั้งรู้สึกแปลก ๆ“อึก...ปล่อยเฟิร์นนะไม่เอา เฟิร์นจะไม่พูดถึงลีโออีกแล้ว อึก เฟิร์นแค่ตั้งใจพูดประชด” ฉันพยายามอธิบายเพื่อขอร้องให้เขาหยุดแน่นอนว่าอารมณ์ของพี่ภีมม์ในตอนนี้ฉันคงไม่สามารถหยุดมันได้ เพราะเขาไม่ได้ฟังสิ่งที่ฉันพูดเลย“อืม...” เขาคำรามในลำคอ ในขณะที่ฉันกลัวจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว“ปล่อยเฟิร์น”ฉันส่ายหน้าด้วยความกลัว แถมยังพยายามกระเถิบเอวหนี ส่วนพี่ภีมม์ก็จับเอวฉันเอาไว้ไม่ให้ดิ้น และพยายามดันความเป็นชายของเขาเข้ามาจนสุด!ครึด...“อ๊า...พี่ภีมม์เฟิร์นเจ
ฉันโอบมือไปจิกลงที่แผ่นหลังของพี่ภีมม์แน่นเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะไปถึงฝั่งฝัน ก่อนที่จะแอ่นร่างรับแรงกระแทกลึกสุดจากพี่ภีมม์ ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของเราทั้งคู่ ในไม่ช้าพี่ภีมม์ก็เกร็งสะโพกสองสามครั้งแล้วปล่อยให้น้ำอุ่นร้อนเข้ามาในร่างกายของฉัน ส่วนบอบบางของฉันมันกำลังตอดรัดความเป็นชายของเขาอยู่ จนฉันเห็นเหมือนรอยยิ้มของพี่ภีมม์ที่กำลังมองมาที่ใบหน้าของฉัน แต่ตอนนี้สิฉันรู้สึกเหมือนแทบจะหมดแรง“เก่งมากเลยครับ คนดีของพี่ภีมม์” เสียงหอบของพี่ภีมม์กระซิบลงที่ข้างหู ก่อนที่เขายอมถอนตัวออกแล้วทิ้งลงตัวข้าง ๆ ฉัน ส่วนฉันก็รีบหันข้างตะแคงหนีเพราะความอายผ่านไปได้ไม่กี่นาที เมื่อลมหายใจจากกิจกรรมเมื่อครู่เริ่มสงบ พี่ภีมม์เข้ามาสวมกอดฉันทางด้านหลังอีกครั้ง แน่นอนว่าแนบแน่นพอที่จะทำให้ฉันรู้ว่าอะไรที่เพิ่งสงบไปของเขามันกำลังจะเริ่มขึ้นอีก เขาไม่เพียงแค่กอดแต่ยังเอามือมาขย้ำที่หน้าอกเพื่อปลุกปั่นอารมณ์ฉันอีกครั้ง“อีกครั้งนะ”“พักก่อนได้ไหมคะ เฟิร์นยัง...เอ่อเจ็บตรงนั้นอยู่เลย”“ต้องทำบ่อย ๆ ครับแล้วมันจะหายเจ็บไปเอง” เขาตอบ แล้วฉันจะเชื่อได้ไหมเนี่ยถ้าคนเรามีอะไรกันบ่อย ๆ
“เฟิร์นออกไปทำอาหารเช้าดีกว่า หิวไหมคะ”“หิวสิ ตื่นมาก็หิวเลย” พี่ภีมม์ตอบน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ฟังดูแล้วทะแม่ง ๆ ยังไงไม่รู้ ฉันเลยดันตัวขึ้นพร้อม ๆ กับดึงผ้าห่มที่พี่ภีมม์ทับอยู่ ก็ถ้าพี่ภีมม์ทับเอาไว้แบบนี้แล้วฉันจะลุกขึ้นได้ยังไงก่อน“พี่ภีมม์ก็อย่าทับผ้าห่มสิคะ แบบนี้เฟิร์นลุกไม่ได้แล้วจะออกไปทำอาหารได้ไงคะ ไหนว่าหิวไม่ใช่ไง”“ที่หิว หมายถึงหิวเฟิร์น ถ้าไม่ให้พี่ทับผ้าห่มพี่ก็จะทับเฟิร์น”เจ้าเล่ห์ที่สุด ความสุภาพของพี่ภีมม์ก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ดูท่าตอนนี้จะเหลือแต่ความหื่นไว้อย่างเดียว“อ๊ะจริงสินี่มันกี่โมงแล้ว” ฉันลืมนึกเรื่องเวลาไปเลย พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตื่นสายก็น่าจะเลยเวลาทำงานไปแล้ว ดูสิเพราะพี่ภีมม์คนเดียวทำให้ฉันกลายเป็นคนเหลวไหล นี่ฉันยังทำงานไม่ผ่านโปรสามเดือนเลยนะจะหยุดงานแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้“พี่โทรไปลางานให้แล้ว”“ลางาน! หา! แล้วพี่แจนหัวหน้าของเฟิร์นไม่ได้ว่าอะไรเหรอคะ” ฉันนึกว่าพี่ภีมม์โทรไปลางานกับพี่แจนที่เป็นหัวหน้างานของฉัน ว่าแต่เขาเอาเบอร์ที่ทำงานของฉันมาจากไหน“ไม่ว่าหรอก ถ้าใครกล้าว่ามาบอกพี่”ฉันทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ พี่ภีมม์เป็นแค่เซลล์ข
วันนี้พี่ภีมม์เองก็หยุดงานไปพร้อมกับฉัน ฉันเห็นพี่ภีมม์เอา Notebook ขึ้นมาทำงานบนเตียงด้วย ดูเหมือนว่างานของเขาจะยุ่งมาก ความจริงถ้างานเขาจะเยอะขนาดนี้ พี่ภีมม์จะไปทำงานก็ได้นะ ฉันบอกเขาไปแบบนี้แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ไป แถมในขณะที่เขานั่งทำงาน พี่ภีมม์ยังหันมาคอยลูบผมฉันเป็นระยะบางทีก็รู้สึกเหมือนหันมาหอมแก้มบ้าง หอมหน้าผากฉันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะตอนนี้ทั้งรู้สึกทั้งง่วงทั้งเพลียจนอยากจะเอาแต่นอนพักมากว่าเกือบค่อนเย็นที่ฉันตื่นมาอีกครั้ง ส่วนพี่ภีมม์เอา Notebook เก็บไปแล้วตอนไหนก็ไม่รู้ก่อนที่พี่ภีมม์ขยับตัวมาใกล้ฉัน“ไหวไหมครับ”หะ หา หมายความว่า นี่เขาจะทำต่ออีกเหรอ ฉันหน้าเหวอไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบส่ายหน้า“เย็นนี้พี่จะพาออกไปหาอะไรกินข้างนอก”“อ้าวเหรอคะ”“นี่เรา คิดว่าพี่จะทำอะไรเราต่องั้นสิ”“เฟิร์นยังไม่ทันคิดแบบนั้นสักหน่อย” ฉันทำหน้ายู่ใส่เขา ก่อนจะรีบปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงก็คิดนั้นแหละ“หรือถ้าเราไม่อยากไปจะนอนต่อแบบนี้ก็ได้นะ”“ไปค่ะ” ฉันรีบตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะอย่างน้อยถ้าเราออกไปหากินกันข้างนอก มันคงจะปลอดภัยกว่าที่จะให้เขามากินฉัน เพราะงั้นฉันถึงได้รีบตอบ
“เฟิร์นไม่ได้อายเรื่องนี้ค่ะ แต่อายที่ไม่ได้ไปทำงานเพราะ...เพราะ...เพราะ” ฉันจะกล้าพูดออกไปได้ไงว่าเหนื่อยและเพลียจากกิจกรรมรักตลอดทั้งคืนเรื่องเมาก็ส่วนหนึ่ง...แต่ก็ไม่เมามากจนถึงขั้นไปทำงานไม่ไหวนี่นา ฮึ พี่ภีมม์นะพี่ภีมม์“เพราะอะไรครับ ไม่เห็นพูดให้จบ”“เพราะพี่ภีมม์หื่นมากไงล่ะคะ”ฉันสะบัดหน้าใส่พี่ภีมม์อย่างงอน ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา ทำไมพี่ภีมม์ต้องบีบให้ฉันพูดเรื่องที่น่าอายขนาดนี้ออกมาด้วยนะแล้วคิดดู นี่ขนาดเมื่อคืนเป็นครั้งแรกของฉัน แต่พี่ภีมม์กลับไม่มีการถนอมร่างของฉันเลยสักนิด คนบ้า!#สองชั่วโมงต่อมาภัตตาคารหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาคือสถานที่ที่พี่ภีมม์เลือกพาฉันมาดินเนอร์ บรรยากาศสวย ๆ กับสถานที่ที่สุดแสนโรแมนติก ทำให้ฉันรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาอีกนิดนึง เพราะเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราจะดีขึ้นตามลำดับอย่างคนที่เป็นสามีภรรยากันจริง ๆแต่ทว่า...พอมาถึงสายตาฉันดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ถึงแม้เธอจะหันข้างนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมกระจกแล้วมองไปลงไปคือวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับในตอนกลางคืนมันดูสวยงามมาก แต่ที่สวยกว่านั้นคือผู้หญิงชุดสีขาวคนนั้น แ
“น่าอิจฉาคุณใบเฟิร์นจังนะคะ ที่โชคดีได้ผู้ชายแบบภีมม์เป็นสามี คุณโชคดีมากจริง ๆ” คุณเจนนี่ยื่นมือนุ่ม ๆ ของเธอมาจับหลังมือของฉัน “นี่ถ้าเจนนี่รู้ว่าคุณใบเฟิร์นเป็นภรรยาของภีมม์ละก็ ไม่มีทางยกเลิกดิวงานกับคุณใบเฟิร์นแล้วให้คุณเอมี่ทำแทนหรอก”“นั่นสิแล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมเจนถึงยกเลิกงานของใบเฟิร์นได้” พี่ภีมม์ถาม“ถามคุณใบเฟิร์นดูสิคะ เจนนี่ไม่กล้าเราเดี๋ยวภีมม์จะโกรธเจนนี่ ว่าไงคะคุณใบเฟิร์นจะเล่าหรือให้เจนนี่เล่าดี” เธอทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะหันมาที่ฉัน ส่วนฉันก็หันไปมองหน้าที่พี่ภีมม์ก่อนที่เขาจะพยักหน้าบอกให้ฉันพูดออกมา“คือเรื่องวันนั้น เฟิร์นต้องขอขอโทษคุณเจนนี่ด้วยนะคะ เฟิร์นอยากจะบอกความจริงว่าวันนั้นเฟิร์นไม่ได้เป็นคนคุยไลน์กับคุณเจนนี่เลย ตอนนั้นที่คุณเจนนี่ไลน์มา น่าจะเป็นเวลาที่เฟิร์นไม่อยู่โต๊ะ แล้วเฟิร์นก็ไม่รู้ว่าใครตอบไลน์แทน” ฉันไม่กล้าบอกว่าสงสัยเอมี่ถึงจะค่อนข้างมั่นใจก็ตามที แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่แน่นชัดฉันก็เอาผิดเอมี่ไม่ได้“อย่าบอกนะว่าเป็นน้องผู้หญิงคนที่อาสามารับงานแทนใบเฟิร์น”“หมายความว่าไง” พี่ภีมม์ดูขมวดคิ้วเล็กน้อย วันนั้นเขาไม่รู้ว่าเอมี่มาเป็นตัวแทนของใ
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ