ก๊อก ก๊อก
“ขอโทษค่ะพี่ภีมม์ พอดีพี่ภีมม์ลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง” ฉันเคาะประตูห้องทำงานของพี่ภีมม์ก่อนเดินเข้าไปเอาโทรศัพท์มือถือไปส่งให้เขาที่โต๊ะทำงาน ดูเขามีสีหน้าเอาจริงเอาจังมากเวลาอยู่ต่อหน้าคอมพิวเตอร์ของเขา
“อ่อครับ ขอบคุณ” เขายอมละสายตาจากงานของเขาก่อนเงยหน้าขึ้นมามองฉัน แต่กลับไม่ยอมกดรับสายในทันที ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกสงสัยมากขึ้น
“เพื่อนเหรอคะ สวยจัง” ดูเป็นการเสียมารยาทมากสินะที่ฉันพูดประโยคนี้ออกไปเพราะนอกจากพี่ภีมม์จะไม่ตอบคำถามฉัน แถมยังเลิกคิ้วหนา ๆ มองฉัน คล้ายจะถามว่าทำไมฉันยังไม่ออกไปมากกว่า
เออ...ออกไปก็ได้วะ ฉันก็ไม่อยากรู้สักเท่าไหร่หรอก แค่เห็นสายตาก็พาลให้หงุดหงิด ฉันเลยเดินงอน ๆ ออกไปแบบไม่พูดอะไรต่อเหมือนกัน
สุดท้ายตอนนี้ฉันต้องกลับออกมาดูทีวีที่หน้าโซฟาตามเดิม ได้แต่เอาคางเกยหมอนอิงแล้วกดเปลี่ยนรีโมตทีวีไปมา บอกตรง ๆ เลยว่าฉันดูไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เพราะฉันไม่ได้สนใจภาพจากจอในทีวีเลยสักนิด
นี่ฉันไม่ได้หึงเขาเลยนะ สาบานได้
แต่...แค่รู้สึกไม่พอใจเฉยๆ
ถึงเราจะไม่ได้รักกันแต่อย่างน้อยเราสองคนก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายถึงจะไม่ได้รักกันก็เถอะ
ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง บังเอิญฉันเห็นว่านาฬิกาตอนนี้เกินเวลาเที่ยงมาแล้ว ฉันเลยเดินเข้าไปเคาะประตูห้องทำงานของพี่ภีมม์อีกครั้ง และเชื่อไหมว่านับจากตอนที่ฉันเอาโทรศัพท์ไปให้จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้วางสายผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย คงจะตั้งแต่ฉันออกไป
ทั้งสีหน้าแววตาและรอยยิ้มของพี่ภีมม์ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้น ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกจนทำให้ยืนค้างอยู่ที่หน้าประตูตามเดิม ที่สำคัญเขาคุยกับผู้หญิงคนเพลินจนเหมือนไม่รับรู้การมีตัวตนของฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้
“มาสิเดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านเดิมเลย”
“อืมไม่ได้ไปไหนแล้ว อยากเจอเหมือนกัน”
“อยู่เมืองไทยให้มันนาน ๆ หน่อยสิรอบนี้”
“คิดถึงสิถามแปลกๆ ”
“มีเซอร์ไพรส์ด้วยรอบนี้ เดี๋ยวเจอหน้าแล้วบอก”
บทสนทนาของพี่ภีมม์กับผู้หญิงคนนั้นทำให้ฉันคิดดีไม่ได้เลย ให้ตายเถอะประโยคสนทนาแบบนี้มันคืออะไรก่อน นี่คงไม่ใช่แค่ลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานธรรมดา ๆ อย่างที่ฉันคิดในตอนแรกได้หรอกใช่ไหม
หรือ... อย่าบอกนะว่าผู้หญิงสวย ๆ คนในรูปคือแฟนเขาจริง ๆ
และที่สำคัญ ที่น่าโมโหสุด ๆ คือฉันยืนอยู่หน้าห้องเขาเป็นนาที โดยที่เขาไม่สนใจฉันที่เคาะประตูแล้วขออนุญาตเข้ามาในห้องนี้เลย
งั้น...ถ้าแคคุยโทรศัพท์แล้วมันอิ่ม ก็คงไม่ต้องทานอาหารเที่ยงก็ได้มั๊ง
ฉันปิดประตูกลับตามเดิม ก่อนที่ประตูจะปิดลงฉันเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันแป๊บนึงเหมือนตกใจ แต่สุดท้ายแล้วประตูก็ถูกปิดลง และฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประตูมันถึงปิดดังกว่าตอนที่ฉันเปิดเข้าไปเสียอีก
เวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งนาที พี่ภีมม์ก็เปิดประตูเดินตามออกมาที่ห้องรับแขก แต่ก็น่าหลังจากที่วางสายจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว
“เฟิร์นครับ เมื่อกี้ที่เข้ามาหาพี่มีอะไรหรือเปล่า”
ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินออกมาถาม แต่ฉันรู้สึกไม่ดีไปแล้วไง
“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีเฟิร์นว่าจะออกไปหาซื้อกระเป๋ากับเสื้อผ้าใส่ไปทำงานพรุ่งนี้”
ฉันตอบเหมือนประชด ไม่สิก็ประชดจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งที่ความจริงเสื้อผ้าใหม่ ๆ ของฉันที่ขนมาแทบเต็มตู้เลยเหอะแต่มันเป็นข้ออ้างเวลาที่ฉันหงุดหงิดฉันเลยเลือกที่จะช้อปปิ้งเพื่อบำบัดจิตใจของตัวเอง
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
พี่ภีมม์ทำท่าเหมือนจะออกมาจากห้องทำงาน แต่พอฉันเห็นโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขามันก็ดันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉย ๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะไม่เป็นไร เฟิร์นไปคนเดียวดีกว่า พี่ภีมม์อยู่ทำงานหรือคุยธุระกับพี่ภีมม์ไปเถอะค่ะ พอดีเฟิร์นจะไปเลือกซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงคงจะเลือกนานเดี๋ยวพี่ภีมม์จะกร่อยเปล่า ๆ แล้วเฟิร์นก็ไม่อยากเกร็งหรืออึดอัดตอนเลือกเสื้อผ้าด้วย”
นี่ฉันพูดตรงจนเกินไหมเนี่ย ฉันเห็นพี่ภีมม์ทำสีหน้าเหมือนไม่ชอบใจคำพูดของฉันรอบสอง
“เอางั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่ภีมม์หิวอะไรไหมคะ จะให้เฟิร์นทำอาหารเที่ยงอะไรให้กินก่อนไหม”
ในที่สุดพอเห็นสีหน้าเขา ฉันเลยต้องถามไปตามมารยาท
“ไม่เป็นไรครับงั้นเฟิร์นไปเถอะ เดี๋ยวพี่สั่งอะไรง่าย ๆ มากินเองก็ได้”
และเขาก็คงตอบกลับตามมารยาทเช่นกัน แต่ช่างเถอะฉันไม่สนใจหรอก เพราะตอนนี้คำตอบของเขาทำให้หงุดหงิดขึ้นมากเป็นทวีคูณ คือฉันกำลังคาดหวังให้เจ้าบ่าวหมาด ๆ ของฉัน ช่วยรบเร้าว่าจะขอไปกับฉันมากกว่า แต่นี่อะไร แบบเขาจะไม่รั้งฉันซะหน่อยเหรอ แบบไม่ง้อพอเป็นพิธีงี้บ้างเลยเหรอ
ประมาณว่า
-ไม่เป็นไรครับให้พี่ไปส่งน้องเฟิร์นเลือกเสื้อผ้าดีกว่า-
หรือไม่ก็
-ไม่เป็นไรครับพี่รอน้องเฟิร์นเลือกเสื้อผ้านาน ๆ ได้-
แต่นี้คือเขาไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาเลยจะให้ฉันเข้าใจยังไงก่อน นี่เขาคงอยากจะคุยกับผู้หญิงคนนั้นนาน ๆ สินะ เอาเลยเอาให้เต็มที่ แต่ถ้าจะทำอะไรก็ช่วยรักษาหน้าของทะเบียนสมรสระหว่างฉันกับเขาบ้าง ฉันไม่เคยลืมว่าเราแต่งงานโดยไม่ได้รักกัน แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ชอบหรอกนะ ถ้าตัวเองต้องเป็นฝ่ายนอนกอดแค่ทะเบียนสมรสเปล่า ๆ แล้วปล่อยให้สามีไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยที่ไหน
สุดท้ายฉันเลยได้ออกมาช้อปปิ้งคนเดียวอย่างที่ต้องการ (แบบประชด)
จากที่เราสองคนคุยกันน้อยอยู่แล้ว พอฉันเลือกที่ยกเลิกงานฮันนีมูน รวมไปถึงออกมาช้อปปิ้งคนเดียว พอฉันกลับมาที่คอนโดทำไมฉันยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเราสองคนยิ่งคุยกันน้อยลงกว่าเก่า
พี่ภีมม์เอาแต่คลุกอยู่ในห้องทำงานจนดึกดื่น ทำอย่างกับว่าการที่เขาหยุดงานไปสองวันแล้วทำให้งานเขามากมายมหาศาล และที่ฉันยังไม่หายคาใจคือในเมื่อเขาเป็นเซลล์ขายรถธรรมดาอะไรจะต้องทำงานมากมายอะไรขนาดนี้
ส่วนฉันที่กลับมาจากช้อปปิ้งแล้วก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนเลย ถึงขนาดที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สุดท้ายแล้วเขาทำงานเสร็จตอนไหนและกลับมานอนที่ห้องตอนไหน
รุ่งเช้า“พี่ภีมม์คะ เฟิร์นไปทำงานก่อนนะคะ”ฉันผู้อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รีบหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาไว้ในมือ ส่วนพี่ภีมม์ที่อาบน้ำที่หลังเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำ“เค รอแป๊บเดี๋ยวพี่ไปส่ง”“โอ๊ยไม่เป็นไรค่ะ เฟิร์นว่าไปเองดีกว่าจะได้ดูทางแล้วกะเวลาด้วย ว่าถ้าต้องไปทำงานเองต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง”“แล้วทำไมไม่ให้พี่ไปส่ง”“แล้วพี่ภีมม์ไม่ไปทำงานเหรอคะ ก็ในเมื่อเราสองคนยกเลิกงานฮันนีมูนแล้ว พี่ภีมม์ก็กลับไปทำงานตามเดิมก็ได้นี่ค่ะ เมื่อคืนเฟิร์นเห็นพี่ภีมม์นั่งทำงานจนดึกดื่นดูท่างานของพี่ภีมม์น่าจะเยอะ”ฉันพูดคนเดียวเป็นฉาก ๆ ในขณะที่พี่ภีมม์ยังทำหน้าเดียวไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ“เอาเถอะค่ะ นี่ขนาดพี่ภีมม์หยุดสองวันงานยังเยอะขนาดนี้ ถ้าพี่ภีมม์หยุดเป็นอาทิตย์พี่จะทำงานทันเหรอ เดี๋ยวเดือนนี้ยอดขายรถก็ตกเป้าหรอก เฟิร์นไปทำงานก่อนนะคะ พี่ไม่ต้องซีเรียส สบาย ๆ ค่ะ เฟิร์นไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมากขนาดที่ต้องให้ใครมารับมาส่งขนาดนั้น บ้าย บายนะคะ เจอกันตอนเย็นนะคะ”ยิ่งพอเขาไม่พูดหรือแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ทำให้ฉันต้องยิ่งรีบรวดเดียวให้จบ ก่อนจะรีบชิ่งออกมาเพราะอึดอัด อีกอย่างก็ไม่ใช่อะไรนะเพราะสายตาของพ
เขาเปิดให้ฉันดูพวก Presentation งานเก่า ๆ อาทิเช่นงานเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง รวมไปถึงเปิด รีสอร์ต โรงแรม งานแต่งงาน และโชว์รูมรถยนต์พอดูมาถึงการเปิดตัวรถยนต์ ฉันก็อดคิดไปถึงพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันที่เขาเป็นเซลล์ขายรถ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงการขายรถก็คงต้องมีการจ้างพริตตี้ เพราะงั้นชีวิตของเขาคงจะมีสาวสวย ๆ ระดับพริตตี้เข้ามาในชีวิตมากมาย รวมถึงผู้หญิงสวย ๆ คนนั้นที่ตั้งรูปเป็นสายโทรเข้ามาเฮ้อ...ทำไมฉันถึงยังอดคิดมากในเรื่องนี้ไม่ได้นะหลังจากวันแรกที่ฉันทำงาน ผ่านมาสองอาทิตย์หลังจากที่ฉันเริ่มทำงาน ฉันสามารถปรับตัวและเรียนรู้งานใหม่ได้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ฉันได้หัวหน้างานใจดีอย่างพี่แจน และได้คนสอนงานเก่ง ๆ อย่างลีโอ รวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ดูเป็นมิตรหมดทุกคนแต่…เห็นทีจะมีเพียงแต่คนที่บ้านของฉันเท่านั้นแหละ ที่ฉันยังคงปรับตัวไม่ได้เลย เราสองคนคุยกันแทบจะนับคำ ทั้ง ๆ ที่เราสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันแต่กลับเหมือนอยู่กันคนละโลกฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ภีมม์จะไม่ค่อยพอใจอะไรฉันหรือเปล่า เพราะถ้านับจากวันที่เขาโทร
สภาพโคตรล่อแหลม เพราะหน้าของฉันอยู่ที่แผงอกเปล่า ๆ ของเขาแค่คืบ แถมพอฉันทำท่าจะผลักออกแต่ก็กลัวแผ่นหลังจะชนกับเตาเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ซ้ำพี่ภีมม์ก็ไม่ยอมขยับตัวออก“ซุ่มซ่ามเหมือนกันนะเนี่ยเรา”“พี่ภีมม์นะแหละเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง”“แต่พี่ก็ทักเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือครับ”คราวนี้ฉันเถียงไม่ออกเลยเพราะเป็นแบบที่พี่ภีมม์พูดจริง ๆ แต่ก็นั่นละ ฉันทั้งได้ยินทั้งเห็นว่าพี่ภีมม์เดินมา แต่ฉันแค่ไม่คุ้นชินกับกลายเห็นผู้ชายหล่อแบบนี้แล้วทำตัวแบบสบายเกินไปด้วยการใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาภายในบ้าน มันก็มีบ้างไหมที่วางตัวไม่ถูกนิดนึงเข้าใจแหละว่าเราต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะเราแต่งงานกันแล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตัวแบบเป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อยแต่ยังไงแล้ว พี่ภีมม์ผิดก็อยู่ดีเพราะอยู่ ๆ ก็เข้ามาใกล้ชิดฉันขนาดนี้“ก็เฟิร์นไม่ชินนี่คะ เวลาเห็นผู้ชายใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้” ฉันพูดออกไปตรง ๆ“เมื่อก่อนตอนพี่อยู่คนเดียวพี่ไม่ใส่อะไรเดินด้วยซ้ำ” เขาพูดพลางโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเล่นเอาฉันยิ่งรู้สึกเขินไปกันใหญ่ คือแหม....คนเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้
“สวัสดีครับคุณจณิสิตา พวกเราสองคนมาจากบริษัทเดอะวันออแกไนเซอร์ ผมธีรดลส่วนนี่ศนิชาเป็นตัวแทนจากบริษัทครับ” ลีโอเป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนฉันที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ ส่วนเขาก็แค่กำลังแก้สถานการณ์ให้ฉัน“ยินดีค่ะ เชิญนั่งสิคะ”เธอเอ่ยเชิญพวกเรานั่ง ส่วนฉันก็ได้แต่พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติยิ้มตอบรับแล้วพากันนั่งลง ขนาดเสียงของเธอยังหวานมาก ๆ หวานสมกับหน้าตาหวาน ๆ ของเธอเลยพวกเราคุยแนะนำตัวให้เธอฟังพอประมาณ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องงานโปรเจคที่นำเสนอ ฉันพยายามตัดเรื่องที่คุณเจนนี่กับพี่ภีมม์ว่าเป็นอะไรกันออกแล้วมีสมาธิให้กับงานมากที่สุด ที่สำคัญดูเหมือนพี่ภีมม์คงจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฉันเลยว่าเราสองคนแต่งงานให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง เพราะเธอเหมือนจะเพิ่งรู้จักฉันครั้งนี้เป็นครั้งแรก ส่วนฉันก็ได้แต่ตามน้ำแล้วมุ่งประเด็นให้อยู่แต่เรื่องงานอย่างเดียวพอเรานำเสมอโปรเจคงานเปิดตัวสาขาใหม่ให้เธอเสร็จ ดูเธอจะพอใจกับงานที่ฉันนำเสนอมาก ก่อนที่เธอแจ้งว่าจะติดต่อนัดหมายเพื่อคุยเรื่องการจัดสถานที่อีกครั้ง เท่านั้นหัวใจฉันก็พองโตเหมือนว่าตัวเองเริ่มประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จนลืมใส่ใจเรื่องที่เธอเป็นอะไรกับพี่ภีมม์จนเกือ
ฉันงี่เง่ามากที่ลุกขึ้น ในขณะที่พี่ภีมม์ยังคงทำหน้างง ๆ อยู่ นี่เขาคงยังไม่รู้สินะว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร หรือว่าเขารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างนอยด์ ๆ แต่ไม่คิดว่าพี่ภีมม์จะเดินตามกลับเข้ามาด้วย ปกติเขาหลังมื้อเย็นเขามักจะคลุกอยู่แต่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา แต่วันนี้พี่ภีมม์กลับเดินตามฉันมาในห้องนอน ไม่พอยังทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ทำเอาฉันต้องรีบหันหลังแล้วนอนตะแคงไปอีกฝั่งทันที“พี่ไปทำอะไรให้เราไม่พอใจหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้เราถึงพูดกับพี่แปลก ๆ”“...” ฉันเลือกที่จะไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ ถึงจะดูไม่ค่อยเนียนก็เถอะ เพราะว่าเราเพิ่งเดินเข้าห้องมาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไป“เราเพิ่งแต่งงานกันไม่ถึงเดือนนะครับเฟิร์น อย่าเพิ่งพูดเรื่องหย่าเลยมันฟังดูไม่ค่อยดี แล้วอีกอย่างเรื่องที่เฟิร์นพูดถึงผู้หญิงคนอื่นอะไรพี่ก็ไม่มีอย่างทีเฟิร์นพูดเมื่อกี้เลยสักนิด”โห...ผู้ชายอะไรโกหกได้หน้าตายมาก ขนาดฉันรู้หมดแล้วนะ ได้ยินกับหูได้เห็นกับตาด้วย แล้วนี่คือฉันรู้แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สินะ“...”“เฟิร์นครับ หลับแล้วเหรอครับ” เขาถามย้ำฉันอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าฉันก็เลือกที่จ
ใบเฟิร์นไม่เคยคุยเรื่องรายละเอียดของงานเธอให้ผมฟังมากนัก นอกจากที่บอกว่าเธอเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี และตอนนี้เธอเพิ่งได้รับโอกาสทำโปรเจคงานใหญ่ซึ่งเธอดูมีความสุขมาก ทำให้ผมก็รู้สึกแฮปปี้ไปกับเธอด้วยผมเองก็มีความสุขเวลาที่ได้ฟังเธอเล่าเรื่องต่าง ๆ และชอบที่จะได้กลับมาทำอาหารเย็นอร่อย ๆ ไว้ให้เธอแทบทุกวันยกเว้นก็แต่วันนี้“ภีมม์คะ วันนี้เลิกงานแล้วออกมาหาเจนนี่หน่อยได้ไหมคะ เจนนี่ว่าจะปรึกษาเรื่องงานหน่อย”“ตอนเย็นเหรอ คือพอดีผมต้องรีบกลับน่ะ” ผมรีบปฏิเสธเพราะตั้งใจจะกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ภรรยาของผมทาน“โห อย่าใจร้ายกับเจนนี่สิคะ ถ้าภีมม์ไม่ช่วยเจนนี่แย่แน่ๆ นะคะ น้า น้า พี่ภีมม์นะ”เจนนี่ทำเสียงอ้อนเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือจากผม ซึ่งเธอเองก็เป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยยอมตกลงเธอแม้จะรู้สึกผิดกับใบเฟิร์นนิดหน่อยแต่...ก็แค่วันเดียวคงไม่น่าจะเป็นอะไรความจริงผมก็ว่าจะเซอร์ไพรส์ด้วยการพาใบเฟิร์นไปเปิดตัวกับเจนนี่เย็นนี้เลย ติดก็ตรงที่น่าจะไม่ค่อยเหมาะเพราะเจนนี่น่าจะอยากปรึกษาผมเรื่องงานมากกว่า ผมเลยคิดว่าไว้วันหลังผมค่อยพาใบเฟิร์นมาแนะนำตัวเป็นทางการกับเจนนี่อีกครั้ง“ใบ
รุ่งเช้าฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด โดยการทำอาหารเช้าไว้ให้พี่ภีมม์ก่อนจะไปทำงาน แม้จะรู้สึกเขินตัวเองนิดหน่อย ที่สุดท้ายแล้ว ฉันที่บอกว่าหลับไม่ลง แต่ตัวเองดันเผลอหอมกลิ่นตัวพี่ภีมม์จนเผลอนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญพอตื่นนอนขึ้นมาฉันกลับเป็นฝ่ายที่นอนกอดพี่ภีมม์ตอบอีกต่างหากงื้อ...น่าอายชะมัดเมื่อถึงที่ทำงาน เป็นเพราะงานโปรเจคใหญ่ของคุณเจนนี่ ทำให้ฉันค่อนข้างแฮปปี้กับการทำงานที่นี่ และมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นแต่ทว่าอยู่ ๆ วันนี้ พี่แจนก็เรียกฉันกับเอมี่ไปคุยที่ห้องทำงานของเขา ตอนแรกฉันก็นึกว่าแค่เรียกประเมินผลงานประจำเดือนของพนักงานใหม่ธรรมดาแต่ที่ไหนได้“เราสองคนมาก็ดีแล้ว นั่งสิ” พี่แจนพูดหน้านิ่ง ๆ ซึ่งปกติพี่แจนจะดูเป็นคนใจดีและยิ้มอ่อนโยนให้ฉันเสมอแต่หนนี้ดูสีหน้าพี่แจนดูเครียดผิดปกติ“ที่พี่เรียกเราสองคนมาวันนี้ คือจะคุยเรื่องงานคุณเจนนี่” พอได้ยินแบบนี้ฉันเลยถึงกับยิ้มออกมาเพราะคิดว่าบางทีอาจจะต้องได้รับคำชมเชยแน่ ก็ฉันตั้งใจทำงานนี้มากเลยนะ“ตกลงว่างานของใบเฟิร์นที่ทำอยู่ พี่จะเปลี่ยนไปให้เอมี่ทำแทนเรานะ”สิ้นประโยคของพี่แจน ฉันถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน“ห
และเมื่อได้เวลาเลิกงาน กลุ่มของพวกเราราวแปดคนรวมทั้งฉันด้วย ก็พากันมาร้านอาหารสไตล์กึ่งผับแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่ ฉันลังเลอยู่พักใหญ่ว่าควรจะส่งข้อความไปบอกโลเคชั่นพี่ภีมม์ดีไหม แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมส่งไปให้เพราะไม่อยากมีปัญหา อย่างน้อยเขาก็ควรรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและไม่ได้ไปทำอะไรเหลวไหลที่อื่นหัวข้อของพวกเราที่มากินเลี้ยงกัน ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นเรื่องงาน พอคุยกันถึงเรื่องนี้ก็มีทั้งหัวข้อที่สนุกสนานกับหัวข้อที่ดูเคร่งเครียด แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ถูกสั่งมากินกันไปหลายต่อหลายขวดส่วนฉันนอกจากเซ็งเรื่องงาน และยังต้องเซ็งเรื่องพี่ภีมม์กับคุณเจนนี่อีก ทำให้วันนี้รู้สึกเซ็งจัด เลยดื่มเหล้าไปไม่ยั้ง รู้ตัวอีกทีก็เริ่มจะเห็นเหมือนภาพซ้อนมองอะไรเบลอไปหมด“พวกพี่ก็รู้ว่าเฟิร์นโคตรตั้งใจกับงานนี้ ทำไมอ่ะพี่ ทำไมพี่แจนไม่เช็คให้ดีกว่านี้ล่ะว่าเฟิร์นโดยแกล้ง แม่งเอ๊ย น่าโมโห มาดื่ม ดื่มกัน” ฉันโชว์แก้วเหล้าพร้อมยกไปชนกับพวกพี่ทำงานตรงหน้า“เฟิร์นเมามากแล้วนะ” เสียงลีโอเตือนฉันอย่างเป็นห่วงอยู่ข้าง ๆ เขาดูไม่ค่อยดื่มอาจจะเพราะเป็นห่วงว่าตัวเองต้องเป็นคนขับรถกับ จ
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ
ลีโอมาส่งฉันกลับบ้าน เขาบอกกับฉันแค่ว่าตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านไปแล้ว แต่เห็นฉันยังไม่ลงมาสักทีเค้าเลยตัดสินใจนั่งรอหน้าบริษัท และที่ไม่ขึ้นไปข้างบนก็เพราะกลัวคนจะนินทาว่าเราสองคนอยู่ทำงานด้วยกันจนดึกดื่นตามลำพังแค่สองคน ดูเหมือนเขาจะพอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันมาพอสมควร“ทำไมเฟิร์นถึงไม่แก้ข่าวว่าละ ว่าผู้ชายในข่าวลือคือสามีของเฟิร์น ทำไมต้องปล่อยให้คนเข้าใจผิดว่าทำตัวแบบนั้น” ลีโอถามขึ้นมาในระหว่างทางขับรถมาส่งฉันที่คอนโด“ก็ไม่รู้จะแก้ทำไมในเมื่อไม่ใช่เรื่องจริง” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ช่างมันเถอะลีโอฉันไม่ได้สนใจนักหรอก คนมีปากก็พูดไปเรื่อยเพราะความเป็นจริงมีฉันรู้ดีที่สุด” ฉันหันไปยิ้มให้ลีโอ ทั้งที่ปากเพิ่งพูดออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงแล้วฉันแอบไปร้องไห้คนเดียวบ่อยมาก“แต่ดูเหมือนเฟิร์นกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยโอเคกันนะ ไม่งั้นคืนนั้นเฟิร์นจะโทรมาหาเราแล้วร้องไห้ทำไม” ลีโอเดาความรู้สึกทางฉันโคตรเก่ง “และนี่ก็คงทะเลาะด้วยกันใช่ไหมไม่งั้นวันนี้เขาคงมารับเฟิร์นเหมือนทุกวันแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าลีโอ ก่อนที่จะรีบเบือนหน้าหนีออกไปนอกกระจกเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมา“คว
เป็นเพราะวันนี้ฉันมาทำงานสายและใช้เวลานานกับการเข้าไปคุยกับคุณสุวัฒน์ ทำให้ช่วงบ่ายตัวเองเผลอทำงานจนไม่ได้ดูเวลาเลยว่าท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นสีส้มอมชมพูตอนไหน พอหันกลับไปมองนอกหน้าต่างแค่แป๊บเดียวด้านหลังพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ภีมม์จะกลับบ้านหรือยังนะอยู่ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา ก็นะ...ปกติพี่ภีมม์ต้องไลน์มาหาฉันแล้วว่ามารอรับอยู่หน้าบริษัท พอไม่มีไลน์มาตามเหมือนทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจแบบนี้นะพอเถอะเฟิร์นอีกไม่นานตัวเองต้องคืนอิสระให้เขาแล้ว เธอต้องค่อย ๆ ตัดใจสิ ฉันบอกตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันก็ว่าได้เพื่อนร่วมงานค่อย ๆ ทยอยกลับไปทีละคน แม้กระทั่งลีโอที่ทำท่าจะลุกหนีด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นทยอยกลับจนเกือบหมด“กลับแล้วเหรอลีโอ”ฉันพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุดด้วยการยอมเอ่ยทักทายเขาก่อน ทั้งที่วันนี้ทั้งวันลีโอยังไม่ยอมพูดกับฉันสักคำเดียว“...อืม” เหมือนตอนแรกลีโอจะไม่ยอมตอบฉันด้วยซ้ำไปแต่ที่สุดแล้วเขาก็ยอมตอบออกมา แม้จะไม่ยอมมองหน้าฉันก็ตามที“เฟิร์นขอโทษที่ทำให้นายเข้าใจผิดนะ แต่เราสองคนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันแบบเดิมได้ไห
รุ่งเช้าฉันขยับร่างกายตื่นขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นสิบกิโล แต่ทว่าเช้านี้กลับไม่มีพี่ภีมม์นอนกอดฉันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา มือที่ควานไปบนที่นอนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ทำให้ฉันรีบหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนมองหานาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบจะแปดโมง และใช่...พี่ภีมม์ทิ้งฉันไว้โดยไม่ปลุกฉันสักคำไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะใจร้ายกับฉันแบบนี้ นี่สินะ...ที่เขาบอกเอาไว้ว่าต่อไปจะไม่ใจดีกับฉันแล้วช่างมันเถอะ...เป็นฉันที่ทำตัวเองทั้งนั้นสุดท้ายฉันต้องลากสังขารมาทำงานในตอนสายเพราะว่าไม่อยากลางานโดยไม่จำเป็นบ่อย ๆ แต่กระนั้นสถานการณ์ที่ทำงานกลับดูแย่กว่าที่สถานการณ์ที่บ้านอีก เมื่อเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทมาก ๆ ลีโอ เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาโดยไม่เงยหน้ามาทักทายฉันเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ...มันอะไรกันหนักหนา โคตรน่าอึดอัดฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินผ่านโต๊ะทำงานของลีโอไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกัน ท่าทีที่เมินเฉยของคนที่เคยสนิทกันมากเวลาโดนเมินแล้วมันโคตรเจ็บ อยากจะทักทาย อยากจะคุยเล่นเหมือนเมื่อก่อน ต่อไปฉันคงทำต่อไปไม่ได้แล้วสินะที่ผ่านมาลีโอเป็นได้แ