สวมรอยครั้งที่ 01
seiya part
สายลับผู้ไร้เทียมทาน
นั่นคือฉายาของผม ฉายาที่ใครต่อใครต่างเรียกผมแบบนั้น แรกๆ มันเป็นฉายาที่น่าภูมิใจนะ สำหรับผม แต่พอหันหลังกลับไปผมถึงพบว่า คำว่าไร้เทียมทานมันแลกมาด้วยความเหงา และความโดดเดี่ยว
เพราะคำคำนี้มันเหมือนเป็นตัวยืนยันคุณภาพงานของผม แค่มีผมทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ ผมไม่เคยทำภารกิจพลาดเลยสักครั้งตั้งแต่มาเป็นสายลับ และไม่เคยร้องขอให้ใครมาช่วย ผมจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเสมอ
ปัง!
ผมยิงเหนี่ยวไกใส่จอมโจรชุดสีดำรัตติกาลที่กำลังวิ่งอยู่บนโถงทางเดินของโรงแรมหรูที่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอัญมณีล้ำค่าจากหลากหลายประเทศ
คนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำเข้มหันมายิงปืนไพ่ใส่ผมที่กำลังวิ่งตามมัน แต่ผมก็สามารถเอี้ยวตัวหลบได้
จู่ๆ ก็เกิดควันสีชมพูกระจายทั่วโถงทางเดิน ผมรีบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาปิดจมูก
มันคือควันยาสลบ หนึ่งในกลอุบายที่จอมโจรในชุดคลุมสีดำใช้
“จอมโจรไนท์บลูอยู่ตรงนั้น”
เสียงทุ้มของหนึ่งในลูกน้องของผมดังขึ้นในตอนที่ จอมโจรไนท์บลู อาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในมิลาน ณ เวลานี้ กำลังวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า มันมักจะออกปล้นร้านเพชรในช่วงเวลากลางคืนด้วยชุดคลุมสีดำ
และหน้ากากสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ เพราะแบบนั้นมันถึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมโจรไนท์บลู
“แกมาไกลได้แค่นี้แหละไนท์บลู” ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันในตอนที่ไล่ต้อนมันมาจนถึงดาดฟ้าของตึกสูงในยามราตรีที่เงียบสงบมันหันมามองผม ใบหน้าภายใต้หน้ากากสีน้ำเงินมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถึงไม่เห็นหน้า ผมก็รู้ว่ามันกำลังเหยียดยิ้มให้ผมอยู่
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกนะเซย์ยะคุง” ชื่อจริงของผมที่มีไม่กี่คนที่รู้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของมันโดยผ่านเครื่องแปลงเสียงภายใต้หน้ากากสีน้ำเงิน
“แกรู้จักชื่อฉันได้ไง” ผมถามมันอย่างแปลกใจ เพราะผมเป็นสายลับ ผมปิดชื่อจริงของตัวเองมาตลอด มีไม่ถึงสิบคนบนโลกที่รู้ชื่อของผม และหนึ่งในนั้นก็ไม่น่าจะรวมไอ้จอมโจรคนนี้ด้วย ยกเว้นว่ามันจะเป็นคนใกล้ตัวผม
“สำคัญด้วยหรือไง ไว้พบกันใหม่เซย์ยะคุง” มันว่าแล้วเตรียมตัวจะกระโดดตึกเพื่อหนีและผมจะไม่ยอมให้มันหนีได้เหมือนทุกครั้งแน่
ไวเท่าความคิดผมกระโดดจนสุดแรงเพื่อคว้าตัวมันไว้ได้ทัน ผมดึงมือมันไว้ได้ในตอนที่มันกำลังจะกระตุกเชือกเอาเครื่องร่อนมันออกมา“อย่าหวังว่าจะหนีไปได้เหมือนทุกครั้ง ไนท์บลู” ผมว่าแล้วพยายามจะดึงมันกลับในขณะที่เครื่องร่อนมันกลางออกแล้ว และในจังหวะนั่นเองที่หน้ามันเลื่อนมาใกล้ผมจนตกใจ ไม่ใช่ตกใจที่หน้าเราใกล้กัน แต่ตกใจที่รู้สึกคุ้นตาในจังหวะที่สบตากันต่างหาก รู้สึกเหมือนเคยมองดวงตาคู่นี้ เคยเจอที่ไหนมาก่อน และมันก็อาศัยจังหวะที่ผมตกใจสะบัดตัวผมออกและบินหนีไปได้ และก่อนที่มันบินหนี มันก็โยนสร้อยอัญมณีสีชมพูที่ขโมยมาใส่มือของผม
มันทำแบบนี้ทุกครั้ง เหมือนไม่ได้ตั้งใจมาขโมย เพราะทุกครั้งที่มันขโมย มันก็จะโยนทิ้งแบบนี้ ราวกับว่าไม่ใช่เป้าหมายของมัน หรือไม่มันก็ยังไม่เจออัญมณีชิ้นที่มันตามหาจริงๆ
“ทำไมครั้งนี้ถึงทำงานพลาดเซย์ยะ”
“ผมขอโทษครับหัวหน้า”
ผมก้มหน้าขอโทษหัวหน้าควบตำแหน่งผู้มีพระคุณอย่างรู้สึกผิดที่ปล่อยให้จอมโจรไนท์บลูหนีไปได้ต่อหน้าต่อตา ถึงแม้ว่าผมจะมีคำถามในใจว่าทำไมไม่ส่งคนไปช่วยผม แต่ผมก็รู้คำตอบของคำถามตัวเองดี เพราะผมคือมือหนึ่งของหน่วยข่าวกรองพิเศษในตอนนี้ เป็นอันดับหนึ่งที่แสนจะโดดเดี่ยว ทุกคนมั่นใจในฝีมือผมมากเกินไปจนกลายเป็นทุกภารกิจผมต้องทำมันคนเดียวตลอด และอาจจะเพราะคำว่าคนที่เก่งที่สุดมันค้ำคอ ทำให้ทุกคนคิดว่าผมจะต้องจับจอมโจรไนท์บลูได้แน่นอน และผมก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง
“เป็นถึงอันดับหนึ่งแต่ทำพลาดเนี่ยนะ”
“เป็นอันดับหนึ่งได้ไง”
“ก็ได้ขึ้นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นลูกเลี้ยงหัวหน้าล่ะมั้ง”
เสียงกระแนะกระแหนดังขึ้นทันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องหัวหน้า ผมดุนลิ้นตวัดสายตาไปมองพวกคนที่พูด ก่อนจะก้าวสามขุมไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกมัน
อันดับหนึ่งแล้วยังไง
อันดับหนึ่งแล้วมันพลาดไม่ได้เลยหรือไง เป็นแค่พวกปลายแถวแท้ๆ
“เมื่อกี้พวกแกว่าไงนะ” ผมเดินไปกระชากคอเสื้อไอ้ตัวเริ่มพูดก่อนเลย จำชื่อมันไม่ได้หรอกเพราะมันไม่ได้มีค่าให้ผมจำ
“ก็เรื่องจริงนี่ หรือจะเถียง” มันตอบกลับพร้อมทำหน้าอวดดีใส่ผม
“ทำไมจะต่อยพวกฉันเหรอ”
“งั้นก็ลองชิมหมัดอันดับหนึ่งดูไหม”
พลัก!!
ผมซัดหน้าไอ้ตัวการอย่างแรง และก็จบด้วยสามรุมหนึ่งอยู่หน้าห้องผู้บังคับบัญชา และแน่นอนผมชนะขาดลอย แต่ว่ามันเป็นชัยชนะที่ไม่ได้น่ายินดีสักเท่าไหร่ เพราะจุดจบมันไม่ได้สวยงาม
จดหมายพักงานสายลับ
ผมนั่งอ่านจ่าหน้าซองจดหมายที่บอกว่าเป็นจดหมายอะไร มันเป็นคำสั่งพักงานผมอย่างไม่มีกำหนดเนื่องจากทำผิดกฎคือก่อความวุ่นวายในองค์กร คำว่าไม่มีกำหนดก็ไม่ต่างจากไล่ออกหรอก แต่ผมรู้นิสัยหัวหน้าดีเขาสั่งพักงานผมเพื่อให้คนอื่นได้รู้ว่าต่อให้เป็นอันดับหนึ่งเมื่อทำผิดกฎก็ต้องโดนลงโทษเช่นกัน เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดูอะไรประมาณนั้น แต่ไม่เป็นไรได้ซัดหน้าไอ้พวกปากหมาก็คุ้มแล้ว ถือว่าได้พักผ่อนยาวๆ ดีเหมือนกันผมจะได้มีเวลาเที่ยวเล่นอย่างวัยรุ่นอายุยี่สิบเหมือนคนอื่นบ้าง เสียดายอย่างเดียวคือไม่ได้ตามจับคู่แค้น คู่อาฆาตอย่างจอมโจรไนท์บลูนี่สิ
ผมหยิบไฟแช็กขึ้นมา แต่ไม่ได้มาสูบบุหรี่เอามาเผาจดหมายสั่งพักงานทิ้งต่างหาก ผมนั่งเผากระดาษอยู่หลังผับหรูใจกลางเมืองฟลอเรนซ์ ไม่ใช่ว่าผมลงทุนนั่งรถจากเวนิสที่อยู่ของตัวเองเพื่อมาเผากระดาษใบเดียวถึงเมืองนี้หรอกนะ ก็แค่มาหาอะไรแก้เบื่อที่นี่ก็เท่านั้น แล้วบังเอิญมันติดกระเป๋ามาเลยจัดการเผาซะเลย หรือถ้าบอกตามความจริงก็คือ ยังไม่อยากให้น้องชายสุดที่รักของผมรู้ว่าผมโดนพักงานต่างหาก
“แล้วจะเอาไงต่อดีชีวิต” ลูอิส เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวและเป็นสายลับเหมือนกับผมหันมาถามในขณะที่มือกำลังคีบบุหรี่อยู่
“ไม่รู้หางานทำมั้ง”
“ไม่ไปเรียนต่อมหาลัยที่ดรอปไว้”
“ขี้เกียจ”
ผมยืนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วบอกไปตามตรง เรียนก็ต้องใช้เงิน สู้ทำงานดีกว่าได้เงินแถมไม่ต้องไปนั่งอ่านหนังสือสอบอีก น่าเบื่อจะตายไป และก็แน่นอนก็ได้สายตามองบนของเพื่อนสนิทกลับมา ใครมันจะไปขยันเท่ามันได้ เรียนไปด้วย ทำงานสายลับไปด้วย ถามจริงว่าเอาเวลาไหนไปนอนพ่อคุณ
“คนนั้นเขาดูสนใจแกนะ เห็นมองตั้งแต่เข้ามาแล้ว”
ผมหันไปตามคำบอกเล่าของลูอิสหลังจากที่พวกเราเดินกลับมาข้างในผับอีกครั้ง และก็พบกับร่างสูงเจ้าของผมสีปีกกาที่ถูกเซตขึ้นให้เข้ากับใบหน้าหล่อ ดวงตาเรียวชี้ราวกับสุนัขจิ้งจอกกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตามีเลศนัย จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากเสี้ยวจันทร์ของเขายิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้น ยิ่งมองมุมไหนเขาก็ยิ่งดูดีอย่างกับเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่พระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา และที่สำคัญเขาตรงสเปกผม
ผมยิ้มยั่วทันทีเมื่อเราทั้งคู่สบตากัน ก่อนจะแกล้งขยิบตาให้แล้วเดินไปที่ห้องน้ำและแผนง่ายๆ ก็ได้ผลเมื่อเหยื่อติดกับ เขาเดินตามผมเข้ามา ผมยิ้มแล้วเดินไปปิดประตูห้องน้ำไม่ลืมที่จะติดป้ายไว้ว่ากำลังทำความสะอาด
“Come ti chiami” เขาถามชื่อผมเป็นภาษาอิตาลีทำเอาผมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูกับสำเนียงแปลกๆ ของเขา แต่มันก็น่ารักดี
“Can speak English or Thai and Japanese if you're comfortable”
“คุณพูดไทยได้ด้วยเหรอ”
“ครับ ผมเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น แต่เกิดและโตที่นี่เลยได้สัญชาติอิตาลี”
ผมเล่าเรื่องราวทั่วไปของตัวเองที่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ออกไปอย่างไม่คิดอะไร
และมันก็ทำให้เขายิ้มออกมา
“ผมชูครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาเอ่ยแล้วเริ่มยื่นหน้ามาใกล้ผม “แล้วคุณล่ะ”
เขากระซิบถามแล้วแกล้งจูบที่คอผมเล่นเอาผมขนลุกซู่“เอาเป็นว่าถ้าผมถูกใจคุณ ผมจะบอกชื่อนะครับ”
ผมบอกอย่างท้าทาย เพราะอาชีพสายลับไม่ควรบอกชื่อจริงให้ใครรู้ เพราะแบบนั้นเวลาที่ผมจะวันไนท์กับใคร ผมก็ไม่เคยบอกชื่อจริงของตัวเองเลย
“อือ...”
ผมครางออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อตอนนี้พวกเราเริ่มบทรักกันทันทีที่มาถึงโรงแรม รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าของเราทั้งคู่ก็กองกระจัดกระจายที่พื้นด้วยฝีมือของพวกเราทั้งคู่ เราแลกลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“อ๊า...”
ผมร้องครางออกมาในตอนที่นิ้วของเขาสอดใส่เข้ามาในช่องทางรักของผมพร้อมกับเจลหล่อลื่น
ผมอ้าขาออกเพื่อให้เขาเห็นช่องทางรักของผมชัดขึ้นและยิ้มให้เขาอย่างยั่วยวน ร่างสูงผละตัวออกไปใส่ถุงยางก่อนจะกลับมากระแทกแก่นกายเข้ามาในช่องทางรักของผมอย่างแรง จนผมเชิดหน้าครางด้วยความกระสัน มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่น เพื่อระบายความเสียวซ่านในจังหวะที่แท่งร้อนขยับเข้าออกช่องทางรัก
“อ๊า แรงอีก อ๊า”
“จัดให้ตามคำขอครับ”
เขาตอบรับคำขอของผมด้วยการขยับแก่นกายเข้าออกอย่างแรงและเร็วแบบที่ผมชอบ นอกจากหน้าตาและหุ่นเขา เซ็กส์ของเขาก็เป็นแบบที่ผมชอบอีก ต้องบอกเลยว่าผู้ชายคนนี้ตรงสเปคของผมทุกข้อ จนอยากจะสานต่อ แต่ผมทำไม่ได้หรอก สายลับห้ามมีความรัก
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มี คุณต้องออกจากการเป็นสายลับ
และผมก็ไม่ใช่ประเภทที่จะทิ้งความฝันและหน้าที่ของตัวเองเพื่อความรักหรอกนะ ผมเคยเห็นมาแล้วพวกที่ทิ้งหน้าที่เพราะความรัก
จบไม่สวยสักคน และผมจะไม่มีทางเป็นแบบนั้นเด็ดขาด
“อ๊า..อื้ม ดีครับ”
ผมครางหวานในตอนที่เขาจับตัวผมไปเกาะกระจกโรงแรมหรูแล้วกระแทกช่องทางหลังเข้าออกเป็นจังหวะพร้อมกับดึงหน้าผมไปจูบ มือก็คอยชักแก่นกายผม ผู้ชายคนนี้ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะ พอจูบเสร็จเขาก็เลื่อนใบหน้าไปเล่นที่หัวนมผมจนผมครางและปลดปล่อยออกมา
และไม่รู้ว่าผู้ชายร่างสูงคนนี้ไปอดยากมาจากไหนเขาถึงได้พาผมทัวร์ทั่วห้องจับกระแทกแก่นกายของเขาเข้าออกช่องทางรักผมจนเราทั้งคู่ปลดปล่อยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มารู้ตัวอีกทีถุงยางก็หมดกล่องนั่นแหละเขาถึงได้ปล่อยให้ผมนอนเสียที
“ฝันดีครับ”
ผมพยักหน้าให้เขาแล้วหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ในขณะที่กำลังจะหลับ อยู่ดีๆ เหมือนหัวมันจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นทั้งที่เจ็บช่องทางรักจนเผลอนิ่วหน้า ส่วนต้นเหตุก็หลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้วเก็บของตัวเอง มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิด
ท้องฟ้าโทรหาผมเกือบสิบสายแต่ผมไม่ได้รับ
ผมลืมไปเลยว่าวันนี้รับปากกับน้องชายว่าจะกลับบ้าน เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมต้องรีบกลับด่วนก่อนที่น้องชายจะโมโห ได้แต่มองคนบนเตียงอย่างน่าเสียดายแต่ก็ต้องทำใจแล้วเดินออกจากห้องพักทันที
แต่ผมจะจำชื่อเขาเอาไว้แล้วกัน ผู้ชายที่ตรงสเปกผมแบบติกถูกทุกข้อขนาดนี้ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ คุณชู
“ท้องฟ้า ท้องฟ้า พี่กลับมาแล้ว”
ผมเรียกคนเป็นน้องชายร่วมสาบานของตัวเองที่ตอนนี้เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเองแล้ว แต่เรียกเท่าไหร่ท้องฟ้าก็ไม่ตอบกลับมาเสียที เดินหาอ้อมบ้านก็ไม่พบวี่แววของท้องฟ้าเลย แถมโทรไปก็ไม่รับอีก จนผมรู้สึกเป็นห่วง
ผมเดินออกมานอกบ้านเพื่อหวังที่จะลองไปกดกริ่งถามเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นแม่ของลูอิสเพื่อนสนิทผมเพื่อถามว่าเห็นท้องฟ้าไหม แต่ขณะที่กำลังจะเดินไปก็มีรถหรูขับมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านผม ผมหันไปมองอย่างแปลกใจกับรถที่ไม่คุ้นตา จนร่างของชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถ
“คุณเป็นพี่ชายของคุณท้องฟ้าใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยถามผม
“ท้องฟ้าอยู่ที่ไหน” ผมถามแล้วมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนที่ตัวเขาจะบอกผมว่าจะพาไปหาท้องฟ้า
“มันเกิดอะไรขึ้น” ผมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของท้องฟ้าที่ถูกผ้าพันแผลพันทั่วทั้งตัวพร้อมกับนอนสลบอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“คุณท้องฟ้าโดนทำร้ายครับ หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่”
“แล้วใครเป็นคนทำ”
“ไม่ทราบครับ ผมจะมาคุยกับคุณท้องฟ้า แต่ก็เห็นคุณท้องฟ้านอนสลบอยู่ทางเข้าบ้าน”
“แล้วคุณเป็นใคร”
“ผม โจเซฟครับ เป็นเลขาของพ่อคุณท้องฟ้า”
จากนั้นผู้ชายวัยกลางคนก็เริ่มเล่าให้ผมฟังว่าพ่อของท้องฟ้าต้องการให้ท้องฟ้าเข้าไปอยู่ในตระกูลก็เลยฝากฝังให้โจเซฟมารับกลับไปหลังจากที่ท่านเสียชีวิต แต่ท้องฟ้ากลับถูกทำร้ายเสียก่อน ซึ่งผมไม่รอช้ารีบกลับไปดูกล้องวงจรปิดหน้าบ้านทันที แต่ก็พบเพียงท้องฟ้าที่นอนสลบหน้าบ้าน ภาพก่อนหน้านั้นมันถูกลบไปจนหมด มีคนจงใจทำร้ายท้องฟ้าและลบข้อมูล
“คุณท้องฟ้ากำสิ่งนี้ไว้แน่นด้วยครับ” เขาบอกแล้วชูถุงซิปล็อกที่ใส่เข็มกลัดเพชรตรงกลางมีอัญมณีเม็ดสีน้ำเงินให้ผม ผมหยิบมันมาก่อนจะพิจารณาดู มันยังมีคราบเลือดของท้องฟ้าติดอยู่เลย
“นี่อาจจะเป็นของคนร้าย”
“ผมคิดว่าคนร้ายน่าจะอยู่ในคนของปริญรัตนพงษ์ครับ” ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยความสงสัย เพราะมันคือนามสกุลของพ่อท้องฟ้า
“เข็มกลัดนี้เป็นของตระกูลครับ” คุณเลขาพูดต่อ เขาบอกผมว่าทุกคนในตระกูลมีสิ่งนี้ติดตัว โดยข้างหลังจะระบุนามสกุล ปริญรัตนพงษ์ไว้อย่างชัดเจน
“แล้วถ้าผมจะเข้าไปหาตัวคนร้าย ผมต้องเข้าไปในบ้านหลังนี้ยังไง”
ผมถามพร้อมกับกำมือเข็มกลัดในมือแน่น
“เข้าไปในฐานะคุณท้องฟ้าไงครับ”
“หมายความว่าไง”
“ในบ้าน ไม่มีคนเคยเห็นหน้าคุณท้องฟ้าครับ ยกเว้นคนร้าย ส่วนผลดีเอ็นเอ ผมจะเตรียมให้เอง” คุณเลขาเล่าถึงแผนการที่เขาคิด ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย ถ้าหากไม่มีใครเคยเห็นหน้าท้องฟ้า ผมก็จะเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้ง่ายขึ้น
และที่สำคัญถ้าคนร้ายเป็นคนในบ้านหลังนี้เขาต้องมีทีท่าตกใจแน่ตอนที่เห็นหน้าของผม
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง”
ผมหันไปหาคุณเลขาและก็ได้คำตอบมาเป็นการแสดงตัวให้เหมือนท้องฟ้าที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ถูกจับได้ก่อนเจอตัวคนร้าย
ผมจะถือว่านี่เป็นภารกิจพิเศษในช่วงระหว่างพักงานก็แล้วกัน ไหนๆ
ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว อีกอย่างผมจะต้องหาตัวคนร้ายที่มันทำร้ายน้องชายผมจนเกือบตายมาให้ได้“ผมฝากคุณน้าดูแลท้องฟ้าด้วยนะครับ”
“ได้จ้า ไม่ต้องห่วง ถ้าท้องฟ้าฟื้น น้าจะรีบโทรหานะ”
ผมฝากฝังให้แม่ของลูอิสช่วยเป็นธุระคอยมาดูแลท้องฟ้าให้ผม เพราะวันนี้ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางไปที่ประเทศไทยเพื่อหาตัวคนร้ายแล้ว ผมจึงมาลาท้องฟ้าก่อน ถึงแม้ว่าน้องจะนอนนิ่งไม่ตอบสนองผมเลยก็ตาม
“พี่สัญญา ไม่ว่ามันจะเป็นใคร พี่จะจับมันเข้าคุกให้ได้”
ผมว่าก่อนจะลูบหัวน้องผ่านผ้าพันแผล จากนั้นจึงมองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหันหลังออกจากห้องพักผู้ป่วย
หลังจากนี้ผมจะกลายเป็นท้องฟ้าลูกชายนอกสมรสของ พิภพ ปริญรัตนพงษ์ ไม่ใช่สายลับอันดับหนึ่งของหน่วยข่าวกรองพิเศษอีกต่อไปแล้ว
ใช้เวลาเกือบสิบเจ็ดชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงประเทศไทยเสียที อากาศค่อนข้างที่จะร้อนจนคนขี้ร้อนอย่างผมรู้สึกไม่ชอบสักเท่าไหร่ ผมนั่งเหม่อออกไปนอกกระจกรถคันหรูที่มีคุณเลขาเป็นคนขับรถให้ เขาเตรียมเอกสารดีเอ็นเอปลอม และเอกสารปลอมอื่นๆ ไว้ให้ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผมปลอมตัวเป็นท้องฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“อีกประมาณสิบนาทีจะถึงแล้วนะครับ”
คุณเลขาหันมาบอกผมซึ่งผมก็ละสายตาจากวิวบนท้องถนนมาจัดชุดตัวเองให้เรียบร้อย พอมองไปอีกรอบวิวที่เคยเต็มไปด้วยตึกและบ้านก็กลับกลายเป็นป่าต้นสนทั้งสองข้างทาง สักพักรถคันหรูก็ขับเข้าไปในรั้วบ้านหรู ผมมองออกไปยังบ้านหรูสไตล์โมเดิร์นที่ผสมผสานกับสไตล์นอร์ดิก น่าแปลกทั้งที่บ้านหรูขนาดนี้แต่กลับมาตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา แถมมีบ้านรอบข้างไม่กี่หลังอีก
“ถึงแล้วครับ คุณท้องฟ้า”
เสียงเรียกของคุณเลขาเหมือนเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ได้เวลาที่ต้องถอดหน้ากากตัวตนของตัวเองออกไป และแสดงเป็นท้องฟ้าเต็มตัวแล้ว
สวมรอยครั้งที่ 02Shuu partเสียดายความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ผมกำลังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเขามากกว่าการมีเซ็กส์ เพราะตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่อยู่ในโรงแรมแล้ว อุตส่าห์เจอคนถูกใจตรงสเปกทุกอย่าง แถมรสนิยมเซ็กส์ของเขาก็น่าสนใจจนทำผมคลั่งทั้งคืน แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานต่อ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดายผมเก็บของเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและจากนั้นผมมักไปที่ผับเดิมตลอดสองอาทิตย์เพื่อหวังว่าจะเจอเขา แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาไม่ได้กลับมาที่ผับนี้อีกเลย แม้แต่คนตัวสูงอีกคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนเขาผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา สุดท้ายก็จนปัญญาและจบที่นั่งกินเหล้าคนเดียวเหงาๆ เหมือนกับทุกวันและเพราะถูกเรียกตัวให้กลับประเทศไทยด่วนผมจึงไม่มีโอกาสได้ตามหาตัวเขาต่อ มันยิ่งทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งกว่าเดิมอีก“ถึงบ้านแล้วครับคุณชาย”เสียงของเลขาส่วนตัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับคุณชายคนกลางของบ้านพูดขึ้นมา ทำให้ผมที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เบาะหลังต้องยันตัวลุกขึ้นก่อนจะสะบัดหัวไปมาไล่ความมึนงงในหัวของตัวเองออกไป ผมอุตส่าห์ดื่มเหล้าแล้วบอกว่าแฮงค์จะได้ไม่ต้องมาบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายก
สวมรอยครั้งที่ 02Shuu partเสียดายความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ผมกำลังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเขามากกว่าการมีเซ็กส์ เพราะตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่อยู่ในโรงแรมแล้ว อุตส่าห์เจอคนถูกใจตรงสเปกทุกอย่าง แถมรสนิยมเซ็กส์ของเขาก็น่าสนใจจนทำผมคลั่งทั้งคืน แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานต่อ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดายผมเก็บของเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและจากนั้นผมมักไปที่ผับเดิมตลอดสองอาทิตย์เพื่อหวังว่าจะเจอเขา แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาไม่ได้กลับมาที่ผับนี้อีกเลย แม้แต่คนตัวสูงอีกคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนเขาผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา สุดท้ายก็จนปัญญาและจบที่นั่งกินเหล้าคนเดียวเหงาๆ เหมือนกับทุกวันและเพราะถูกเรียกตัวให้กลับประเทศไทยด่วนผมจึงไม่มีโอกาสได้ตามหาตัวเขาต่อ มันยิ่งทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งกว่าเดิมอีก“ถึงบ้านแล้วครับคุณชาย”เสียงของเลขาส่วนตัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับคุณชายคนกลางของบ้านพูดขึ้นมา ทำให้ผมที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เบาะหลังต้องยันตัวลุกขึ้นก่อนจะสะบัดหัวไปมาไล่ความมึนงงในหัวของตัวเองออกไป ผมอุตส่าห์ดื่มเหล้าแล้วบอกว่าแฮงค์จะได้ไม่ต้องมาบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายก
สวมรอยครั้งที่ 01seiya partสายลับผู้ไร้เทียมทานนั่นคือฉายาของผม ฉายาที่ใครต่อใครต่างเรียกผมแบบนั้น แรกๆ มันเป็นฉายาที่น่าภูมิใจนะ สำหรับผม แต่พอหันหลังกลับไปผมถึงพบว่า คำว่าไร้เทียมทานมันแลกมาด้วยความเหงา และความโดดเดี่ยวเพราะคำคำนี้มันเหมือนเป็นตัวยืนยันคุณภาพงานของผม แค่มีผมทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ ผมไม่เคยทำภารกิจพลาดเลยสักครั้งตั้งแต่มาเป็นสายลับ และไม่เคยร้องขอให้ใครมาช่วย ผมจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเสมอปัง!ผมยิงเหนี่ยวไกใส่จอมโจรชุดสีดำรัตติกาลที่กำลังวิ่งอยู่บนโถงทางเดินของโรงแรมหรูที่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอัญมณีล้ำค่าจากหลากหลายประเทศคนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำเข้มหันมายิงปืนไพ่ใส่ผมที่กำลังวิ่งตามมัน แต่ผมก็สามารถเอี้ยวตัวหลบได้จู่ๆ ก็เกิดควันสีชมพูกระจายทั่วโถงทางเดิน ผมรีบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาปิดจมูกมันคือควันยาสลบ หนึ่งในกลอุบายที่จอมโจรในชุดคลุมสีดำใช้“จอมโจรไนท์บลูอยู่ตรงนั้น”เสียงทุ้มของหนึ่งในลูกน้องของผมดังขึ้นในตอนที่ จอมโจรไนท์บลู อาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในมิลาน ณ เวลานี้ กำลังวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า มันมักจะออกปล้นร้านเพชรในช่วงเวลากลางคืนด้วยชุดคลุ