สวมรอยครั้งที่ 02
Shuu part
เสียดาย
ความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ผมกำลังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเขามากกว่าการมีเซ็กส์ เพราะตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่อยู่ในโรงแรมแล้ว อุตส่าห์เจอคนถูกใจตรงสเปกทุกอย่าง แถมรสนิยมเซ็กส์ของเขาก็น่าสนใจจนทำผมคลั่งทั้งคืน แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานต่อ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย
ผมเก็บของเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและจากนั้นผมมักไปที่ผับเดิมตลอดสองอาทิตย์เพื่อหวังว่าจะเจอเขา แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาไม่ได้กลับมาที่ผับนี้อีกเลย แม้แต่คนตัวสูงอีกคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนเขาผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา สุดท้ายก็จนปัญญาและจบที่นั่งกินเหล้าคนเดียวเหงาๆ เหมือนกับทุกวัน
และเพราะถูกเรียกตัวให้กลับประเทศไทยด่วนผมจึงไม่มีโอกาสได้ตามหาตัวเขาต่อ มันยิ่งทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งกว่าเดิมอีก
“ถึงบ้านแล้วครับคุณชาย”
เสียงของเลขาส่วนตัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับคุณชายคนกลางของบ้านพูดขึ้นมา ทำให้ผมที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เบาะหลังต้องยันตัวลุกขึ้นก่อนจะสะบัดหัวไปมาไล่ความมึนงงในหัวของตัวเองออกไป ผมอุตส่าห์ดื่มเหล้าแล้วบอกว่าแฮงค์จะได้ไม่ต้องมาบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายก็โดนลากมาอีกจนได้ ผมถอนหายใจออกมา มือกระชับเสื้อสูทที่เลขาเตรียมให้ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านที่ไม่ค่อยได้มาเหยียบสักเท่าไหร่ตั้งแต่เรียนจบมาสองปีแล้ว มาเหยียบล่าสุดก็คงเป็นตอนที่คุณย่าเสียชีวิตมั้ง
“พี่ชูมาแล้ว”
“มานั่งก่อนสิ”
ทันทีที่ผมเดินเข้ามาก็พบกับน้องชายฝาแฝดสองคนในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนานาชาติกำลังส่งยิ้มมาให้ผม ถัดไปคือพี่สาวคนโตของบ้านที่กำลังอยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงิน เธอทำเพียงแค่ระบายยิ้มให้กับผมและตบพื้นที่ข้างกายเพื่อให้ผมเดินเข้าไปนั่ง ทั้งสามคนคือพี่น้องร่วมสายเลือดของผม พี่เฌอเป็นพี่สาวคนโต ผมเป็นลูกชายกลาง ส่วนโชนกับชินทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ไม่บ่อยหนักที่พวกเราจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ เพราะวันนี้เป็นวันอ่านพินัยกรรมที่คุณพ่อที่เสียไปเมื่อเดือนก่อนเขียนเอาไว้ ทำให้คุณทนายเรียกทุกคนในบ้านมารวมตัวกัน รวมถึงแม่นมของพวกแฝดด้วย
“ดื่มมาอีกแล้วเหรอครับ”
“ยุ่งน่า”
ผมหันไปตอบกับชินด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักก่อนที่จะล้มตัวนั่งลงข้างๆ กับพี่สาวคนโตแล้วเอนหลังพิงโซฟาหลับตาไม่ได้สนใจสิ่งที่ทนายความของบ้านที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพูดสักนิด เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นลูกชังของพ่อ พ่อไม่มีทางที่จะให้อะไรผมอยู่แล้ว หรือให้มากสุดก็คงเงินก้อนไม่กี่ล้านละมั้ง
“ขอโทษทีมาช้านะครับ ผมจะเริ่มอ่านพินัยกรรมเลยนะครับ...”
เสียงของทนายไม่ได้เข้าโสตประสาทของผมเลยสักนิด มันทะลุหูซ้ายออกหูขวาไปทุกประโยคเลย และดูเหมือนทุกคนในบ้านก็คงชินกับสภาพผมแล้วถึงไม่มีใครพูดอะไรกับการกระทำที่ไม่สนอะไรของผม แต่เพราะหลับตาอยู่ผมถึงไม่ได้เห็นสีหน้าของพวกเขา แต่ก็พอจะนึกออกตอนที่ชื่อของพี่สาวถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับมรดกเงินห้าสิบล้านพร้อมกับบ้านหลังนี้เป็นชื่อของพี่เฌอ เธอก็คงทำหน้านิ่งพยักหน้าขอบคุณทั้งที่ในใจกำลังยิ้มอยู่เหมือนทุกที
ต่างจากสองพี่น้องฝาแฝดที่ได้มรดกเป็นเงินคนละร้อยล้านและบ้านพักตากอากาศของคนเป็นพ่อ ชินร้องตะโกนด้วยความดีใจในขณะที่โชนเอ่ยปากดุแฝดน้องเหมือนกับทุกที ต่อมาก็เป็นแม่นมของพวกแฝดที่ได้เงินห้าสิบล้านจากการดูแลพวกแฝด
“ยินดีด้วยนะครับแม่นม”
“ขอบคุณนะคะคุณหนูชิน”
เสียงของชินและแม่นมที่คุยกันด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด ทำเอาผมแสยะยิ้มออกมา คงหมดแล้วสินะ ไม่มีส่วนของผมแล้ว
เพราะหลังจากที่พูดส่วนของพี่เฌอเสร็จก็ข้ามไปหาสองแฝดและแม่นมทันที ก็ไม่แปลกหรอก เขาไม่เคยเห็นผมเป็นลูกด้วยซ้ำ
“และทรัพย์สินที่เหลือของข้าพเจ้าทั้งหมดสี่สิบล้าน และบริษัทของข้าพเจ้าขอมอบให้กับนาย ชรันลภัส ปริญรัตนาพงศ์ ลูกชายคนกลางของข้าพเจ้า แต่เพียงผู้เดียว” ผมลืมตาขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง และมองไปยังทนายด้วยความตกใจราวกับจะถามว่าเขาอ่านผิดหรือเปล่า เมื่อกี้เขาบอกว่าพ่อยกบริษัทและทุกอย่างให้กับผมเหรอ และดูเหมือนคุณทนายเองจะอ่านสายตาของผมออกเขาถึงได้ก้มลงไปอ่านเอกสารในมือต่อ
“แต่มีเงื่อนไขว่า มรดกของทุกคนจะได้รับก็ต่อเมื่อ นายภัสกร สกาเล็ต มาอยู่ในบ้านหลังนี้เท่านั้น”
“ใครเหรอครับ”
ชินเป็นคนเอ่ยปากถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนในบ้านยังมองหน้ากันด้วยความงุนงงอยู่เลยว่าเจ้าของชื่อที่คุณทนายเพิ่งพูดออกมาเป็นใคร คุณทนายหันหน้าไปหาคนสนิทของคนเป็นพ่อและพยักหน้าราวกับต้องการให้เล่าทั้งหมดแทน
“เป็นลูกของคุณท่านที่เกิดจากผู้หญิงอีกคนครับ ท่านเจอตอนไปอิตาลี ตอนนี้เขาน่าจะอายุรุ่นราวเดียวกันกับคุณชินและคุณโชน”
คนสนิทของผู้เป็นพ่อพูดขึ้นมาอย่างใจเย็นในขณะที่มือของผมกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน พ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้านเธออุ้มทารกในมือ ผมในวัยเจ็ดขวบก็แหกปากไล่และด่าทอเธอเหมือนหมูเหมือนหมา
จนโดนพ่อจับขังไว้ในห้องเก็บของในป่า ผมยังจำไม่ลืม ผู้หญิงคนนั้นอุ้มลูกของเธอเข้ามาในวันที่แม่ยังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าในระหว่างที่ผมโดนขัง มันเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนั้นหายไป และสายตาที่พ่อมองผมมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป“ผมไม่ยอมรับลูกของผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออดพร้อมกับลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป ใครจะยอมรับลูกของผู้หญิงคนนั้นก็เชิญแต่ผมไม่มีทางยอมรับ
“แต่ถ้าไม่ยอมรับ มรดกทั้งหมดจะกลายเป็นโมฆะนะครับ” คุณทนายพูดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล ผมหันไปมองดวงตาของทุกคนก่อนที่จะไปหยุดที่คุณทนาย
“แล้วมันได้อะไรหรือเปล่า” ผมกอดอกจ้องหน้าคุณทนายอย่างคาดโทษ คุณทนายก้มลงไปยังกระดาษแผ่นเดิมก่อนจะพูดขึ้น
“และสุดท้าย หากนาย ชรันลภัส ปริญรัตนาพงศ์ รังแก ทำร้าย นายภัสกร สกาเล็ต แม้แต่นิดเดียว มรดกส่วนของนายชรันลภัส จะถูกยกให้กับนายภัสกร สกาเล็ต ทั้งหมดครับ”
“ว่าไงนะ”
ผมถือวิสาสะหยิบกระดาษในมือของคุณทนายขึ้นมาดูอย่างเสียมารยาท ทุกอย่างระบุตามที่ทนายพูดทุกอย่างไม่มีตรงไหนที่ผิดแปลกไป ไหนจะลายเซ็นของคนเป็นพ่อที่ผมจำได้ดี ทุกอย่างตรงหน้าผมคือความจริง ราวกับพ่อรู้ล่วงหน้าว่าถ้าไอ้ลูกเมียน้อยมันเข้ามาในบ้านผมต้องไม่ยอมและหาเรื่องแกล้งให้มันออกไปแน่นอน ถึงได้ตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมา ถ้าผมรังแกมัน มรดกและบริษัทของปู่กับย่าก็จะตกเป็นของมันทันที ผมกำกระดาษในมือแน่นจนพี่สาวคนโตต้องจับมือแน่นเพื่อบอกให้ผมใจเย็นๆ
“แสดงว่าภัสกร ไม่เข้ามาอยู่ที่นี่ ทุกคนก็จะไม่ได้มรดกใช่ไหมครับ” โชนขยับกรอบแว่นของตัวเองแล้วหันไปถามทนายที่ยังนั่งทำหน้าไม่ถูกจากการโดนผมดึงพินัยกรรมไปต่อหน้าอยู่
“ใช่ครับ ซึ่งคุณท่านกำชับผมว่าหลังจากอ่านพินัยกรรมไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ให้พาคุณท้องฟ้า หรือคุณภัสกรเข้ามาในบ้านครับ” ทนายความตอบกลับมาแบบนั้น ซึ่งผมก็พอจะรู้ดีว่าทุกคนในบ้านคงไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ดูก็รู้ว่าทุกคนในบ้านอยากได้มรดกมากแค่ไหน คงมีแค่ผมคนเดียวที่มีปัญหา ใครจะไปยอมรับได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับมรดกของผมก็จะกลายเป็นของไอ้เด็กนั่นจนหมด ซึ่งเรื่องนั้นผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“เอาไปคิดดูนะครับคุณชู แค่ยอมให้เขาเข้ามาในบ้านแค่นั้นเอง”
“จริงด้วยพี่ชู ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพี่อยากแกล้งอะไรบอกผม ผมทำแทนเอง”
“เงียบเลยชิน”
เสียงของโชนดุชินที่กำลังยื่นข้อเสนอให้กับผมทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ทุกสายตาตอนนี้เหมือนกำลังมองผมอย่างคาดหวังอยู่
“จะทำอะไรก็ทำ”
ผมบอกพร้อมกับโยนพินัยกรรมคืนทนายไปแล้วเดินออกจากบ้านทันที จะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมก็แค่ไม่ต้องมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกจะได้ไม่เจอมันก็พอ อย่างน้อยการที่ไม่เห็นหน้ามันก็คงไม่ต้องหงุดหงิดเพิ่ม
“หงุดหงิดอะไร”
“เรื่องที่บ้าน”
ผมหันไปตอบเพื่อนสนิทพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เมื่อนึกถึงพินัยกรรมเมื่อเช้า ให้ยอมรับลูกชายที่เกิดจากเมียน้อยพ่อเนี่ยนะ พ่อนอกใจแม่ไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วยังมีหน้าให้พวกเขายอมรับมันเข้ามาอยู่ในบ้านอีกเหรอ ไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือไง
“ทำไมอีก”
หันไปหาเพื่อนสนิทอีกรอบก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยความรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ได้รับเป็นเพียงแค่การพยักหน้าและตบไหล่ให้กำลังใจ
“พ่อมึงเขาคงอยากรับผิดชอบมั้ง” ผืนป่ามันพูดออกมาหลังจากฟังในสิ่งผมเล่า ทำเอาผมถึงกับเหยียดยิ้มออกมา จะมาอยากรับผิดชอบอะไรตอนนี้หรือเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย กลัวไม่มีใครส่งเสียให้มันเรียนต่อสินะ ถึงได้เอามันมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าลับหลังแม่ทั้งตอนที่แม่อยู่และตาย พ่อก็แอบส่งเงินส่งเสียมันอยู่เรื่อย เพราะผมเคยแอบตามเขาไปจนเห็นหน้าไอ้ลูกเมียน้อยนั่นชัดเต็มสองตาเลย มันดูมีความสุขจนน่าหมั่นไส้
“มารับผิดชอบอะไรตอนนี้”
“คุณลุงก็อาจจะมีเหตุผล” มันหันมาพูดกับผม “มึงก็แค่ไม่ต้องกลับไปในบ้านหลังนั้นอีกก็พอนี่ จะได้ไม่ต้องเจอหน้า” ก่อนจะพูดหนทางที่จะแฟร์ทั้งสองฝ่าย ในเมื่อเงื่อนไขมันคือการห้ามรังแกลูกชายคนเล็กถึงจะได้มรดก ก็แค่ไม่ต้องเจอหน้ากันแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับมัน เพราะก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้พวกเราต้องเจอกันอีกแล้ว
แต่เหมือนโชคชะตาไม่ค่อยจะอยากเข้าข้างคนอย่างผมสักเท่าไหร่ถึงได้ทำให้ผมต้องกลับมาบ้านหลังนี้อีกรอบเพราะวันนั้นผมลืมเซ็นเอกสารรับมรดก แต่แทนที่คุณทนายจะจัดการเรียกผมมาเซ็นตั้งนานแล้วดันจงใจให้ผมมาเซ็นในวันที่ไอ้ลูกเมียน้อยมันจะเข้ามาอยู่ในบ้าน
“เซ็นแล้วกลับได้เลยไหมครับ” ผมถามทนายทันทีหลังจากที่เซ็นเอกสารทั้งหมดเสร็จสิ้น หวังจะออกจากบ้านก่อนที่ลูกเมียน้อยมันจะโผล่มา ไม่อยากเห็นหน้ามัน ไม่อยากรู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง ต่างจากน้องชายฝาแฝดของผมที่จดจ่อรอหน้าประตูบ้านเพราะอยากเห็นหน้าไอ้ลูกเมียน้อยนั่นเสียเหลือเกิน
“มาแล้วๆ” เสียงใสของชินดังขึ้นทำให้ผมอดที่จะจิ๊ปากไม่ได้เพราะทนายช้านั่นแหละผมถึงได้เจอหน้ามันจนได้
“สูงมาก สูงกว่าพวกเราอีกอายุ 17 จริงๆ เหรอ” ถึงจะแสร้งไม่สนใจแต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของชินก็ทำให้ผมเผลอหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ ผมหันมองไปทางประตูบ้านที่เพิ่งจะมีรถมาจอดได้ไม่นานผมมองไม่เห็นหรอกว่าไอ้เด็กนั่นหน้าตาเป็นยังไง เพราะชินและโชนยืนบังอยู่ และจากนั้นไม่นานพี่สาวของผมพร้อมกับคนใช้อีกสองคนก็เดินตรงไปที่มัน
“ดูตื่นเต้นกันจังเลยนะ” ผมอดที่จะกอดอกและพูดเหน็บไม่ได้
“เอาของไปเก็บไว้ในห้องนะ” เสียงพี่สาวของผมเอ่ยบอกกับคนใช้ก่อนที่เหล่าคนใช้จะช่วยกันถือของสมาชิกใหม่ของบ้านเข้ามา
และพากันเดินเอาไปเก็บในห้องของมันที่อยู่ชั้นสอง คงจะเตรียมห้องจัดห้องให้มันกันแล้วสินะ
“สวัสดีครับผมท้องฟ้านะครับ ฝากตัวด้วยนะครับ” แต่เสียงหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างเป็นมิตรแต่กลับคุ้นหูทำให้ผมชะงัก
“ยินดีต้อนรับ เข้ามาข้างในก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ”
ชินเดินจูงมือสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้าน ร่างเพรียวขยับไปตามแรงดึงของคนตัวเล็กกว่า ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาในยามที่คนมาใหม่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม และเขาเองก็มองมาที่ผมด้วยใบหน้าตกใจเช่นกัน ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความรู้สึกตกใจ และไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้าสวยเจ้าของดวงตาสุกใสราวกับลูกกวางน้อยที่ยังชัดอยู่ในความทรงจำของผม ริมฝีปากเรียวสวยที่คลี่ยิ้มจนเห็นเคี้ยวสวยผมยังจำไม่ลืม
เป็นไปไม่ได้
คำคำนี้แล่นเข้ามาในหัวของผมทันที ไม่มีทาง ไม่มีทางที่จะเป็นคนคนนี้ คนตรงหน้าไม่มีทางเป็นน้องชายของผมได้หรอก
“พี่ท้องฟ้า อะไม่สิเราอายุเท่ากัน ท้องฟ้าฉันชินนะ ส่วนนี่โชน แล้วก็พี่เฌอเป็นพี่สาวคนโต แล้วก็พี่ชูเป็นพี่ชายคนรอง” ชินเอ่ยปากแนะนำทุกคนในบ้านให้กับคนมาใหม่และทุกคนก็ส่งยิ้มและทักทายให้กับน้องชายคนใหม่ของบ้านอย่างเป็นมิตร ยกเว้นผมที่ยังคงนิ่งค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ขาทั้งสองข้างเผลอก้าวถอยห่างออกมาจนเกือบชิดโซฟา ตัวผมในตอนนี้แทบจะล้มทั้งยืน
จะให้ผมเชื่อได้ยังไง
ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคนนี้ๆ คือน้องชายของผม
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
แต่น้ำเสียงของเขาราวกับเป็นค้อนที่ทุบลงมากลางใจของผม เหมือนต้องการให้ผมยอมรับความจริง ความจริงที่ว่าเราเป็นพี่น้องกัน ทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกับตัวเอง แต่คนตรงหน้าผมกับทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องคืนนั้นสักนิด ไม่ได้สนใจว่ามีอะไรกับพี่ชายตัวเอง จะว่าเขาจำมันไม่ได้ก็คงจะไม่ใช่
“เคยเจอกันแล้วเหรอ”
“อื้มเคยแล้ว”
เขาหันไปตอบชินด้วยรอยยิ้มจนตาปิดก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้กับผม ในขณะที่ผมเริ่มทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าออกไปแบบไหนตกใจ ช็อก หรือว่ากำลังรังเกียจตัวเอง ภาพในคืนนั้นฉายชัดเข้ามาในความทรงจำของผมราวกับเครื่องเล่นวิดีโอที่ไม่มีปุ่มหยุดเล่น ผมจำมันได้ดีทุกอย่างในคืนนั้น แล้วทำไมคนตรงหน้าที่ยกยิ้มราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งที่เราทั้งคู่เพิ่งจะมีอะไรกันไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน หรือมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่น้องผม ใช่ เขาต้องไม่ใช่น้องผมอยู่แล้วสิ เพราะถ้าเขาคือท้องฟ้าผมต้องจำได้ตั้งแต่คืนนั้นแล้ว
“มานี่”
ผมลากตัวเขาไปที่ข้างบ้านท่ามกลางสายตาตกใจของทุกคน และผมก็ไม่สนใจเสียงของพี่เฌอที่ตะโกนห้ามผมไม่ให้รังแกเขาสักนิด ตอนนี้ช่างเรื่องมรดกก่อน
“โอ๊ย เจ็บนะคุณ” เขาร้องเสียงหลงแต่ใบหน้ากับฉายแววเจ้าเล่ห์และตั้งใจยียวนผมชัดๆ
“คุณมาที่นี่ได้ไง” ผมกดเสียงต่ำถามเขาเพื่อเค้นเอาคำตอบ
“ก็ผมเป็นน้องชายคุณไง ก็บอกไปแล้วว่าผมคือท้องฟ้า”
เขาว่า แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่ท้องฟ้า ถึงแม้ว่าคนในบ้านจะเชื่อก็ตาม แต่ผมไม่เชื่อ เพราะคนในบ้านไม่มีใครเคยเห็นหน้าท้องฟ้า ยกเว้นผม ผมจำหน้ามันได้
“ท้องฟ้าจะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นได้ไง ทั้งที่แม่เป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี พ่อเป็นคนไทย” ผมถามอย่างจับผิด เพราะจำได้ว่าคืนนั้นที่เราเจอกันเขาบอกว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น
“เหรอ ผมเคยพูดเหรอ คืนนั้นผมคงเมามั้ง” เขาลอยหน้าลอยตาพูดเหมือนไม่ได้เกรงกลัวสายตาจับผิดผมสักนิด
“ต้องการอะไรกันแน่ นายไม่ใช่ท้องฟ้า นายเป็นใครกันแน่” ผมบีบไหล่ของเขาทั้งสองข้างแน่นแล้วกดเสียงต่ำถามเพื่อเค้นคำตอบ แต่ใบหน้าเขากลับเรียบนิ่ง
“อีกอย่างคืนนั้นนายไม่ได้เมา” ผมจำได้คืนนั้นถึงเขาจะดื่ม แต่ผมรู้เขามีสติครบถ้วนเลยแหละ
“คุณชู ทำอะไรครับ”
“เจ็บ” อยู่ดีๆ คนที่ใบหน้าเรียบนิ่งก็ตีหน้าเศร้าน้ำตาคลอทันทีที่เห็นเลขาและคนอื่นๆ เดินเข้ามาดูพวกเรา ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ชายอย่ารังแกผมสิครับ เดี๋ยวก็ไม่ได้มรดกหรอก” ประโยคหลังเขาจงใจพูดให้เราได้ยินกันสองคนทำเอาผมรู้สึกโมโหยิ่งกว่าเดิม มือที่บีบแขนทั้งสองข้างเพิ่มแรงกดมากกว่าเดิม แต่เขากลับมองผมอย่างท้าทาย และเหมือนกับว่าสงครามประสาทระหว่างเรามันกำลังจะเริ่มขึ้น
“คุณชู ปล่อยได้แล้วครับ” โจเซฟ เลขาคนสนิทของพ่อเดินมาดึงตัวผมกับเขาแยกกัน
“แน่ใจนะครับว่าพามาถูกคน” ผมหันไปถามเลขาของคนเป็นพ่อที่เป็นคนพาเขามา
“ถูกครับ ผมตรวจสอบแล้ว”
คำตอบที่เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองมันสั่นจนไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป ความรู้สึกหลากหลายตีกันอยู่ในหัวจนอยากจะควบคุม นี่ผมเผลอไปมีอะไรกับน้องชายต่างแม่ตัวเองจริงๆ เหรอ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมา แต่อีกใจมันก็ร่ำร้องว่าไม่มีทาง คนที่ไม่เหมือนกับท้องฟ้าสักนิดจะกลายเป็นไอ้เด็กน้องฟ้านั่นได้ยังไงกัน
“นี่ผล DNA ครับ” เอกสารในมือเลขาถูกยื่นให้กับเขา แต่ผมเลือกที่จะไม่อ่านมัน เพราะเกรงว่าถ้าผลมันออกมาอย่างที่คิด ผมอาจจะช็อกตายตรงนี้เลยก็ได้
ใครจะอยากยอมรับว่าเผลอมีอะไรกับคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับตัวเองครึ่งหนึ่งได้
แต่ผมก็มั่นใจเช่นเดียวกันว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ท้องฟ้า เขาไม่ใช่น้องชายต่างแม่ของผมแน่ ทั้งใบหน้า น้ำเสียง และการที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นอีก
และที่สำคัญถึงจะผ่านไปแค่เจ็ดปีที่ผมเห็นหน้าท้องฟ้าครั้งแรก แต่ผมก็จำเอกลักษณ์ของมันได้อยู่ เพราะมันมีไฝที่ใต้ตาเหมือนพ่อของผม แต่คนที่อ้างตัวว่าเป็นท้องฟ้ากลับไม่มี
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกรอบนะครับพี่ชาย” คนตรงหน้าพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหนำซ้ำยังชูผล DNA มาไว้ตรงหน้าผมอีก
“หรือถ้ายังไม่แน่ใจ ดูรูปนี้ก็ได้นะครับ” เขาชูรูปถ่ายของเด็กคนหนึ่งที่พ่อของผมอุ้มอยู่ ซึ่งมันหน้าเหมือนกับเขาในตอนนี้ไม่มีผิด ทุกคนในบ้านคนอื่นต่างมองและคุยเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นตัวจริงไม่ผิดแน่
ก็แน่สิ นั่นคือความคิดของคนที่ยังไม่เคยเจอหน้าท้องฟ้าตัวจริง
พวกเขาต้องเชื่อหลักฐานตรงหน้าอยู่แล้ว
แต่ผมไม่เชื่อ
จริงอยู่ว่าเด็กในรูปคือเขาไม่ผิดแน่ ผมไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายตรงหน้าถึงมีรูปถ่ายกับพ่อผม แล้วทำไมผลดีเอ็นเอถึงตรงกัน แต่ในฐานะคนที่เคยเห็นหน้าท้องฟ้าตอนเด็กผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
แต่ผมจะต้องหาหลักฐานและพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาไม่ใช่ตัวจริง และมาที่บ้านหลังนี้เพื่อหวังอะไร แล้วหลังจากนั้นผมก็จะไล่เขาออกจากบ้านไปซะ
TBC
สวมรอยครั้งที่ 01seiya partสายลับผู้ไร้เทียมทานนั่นคือฉายาของผม ฉายาที่ใครต่อใครต่างเรียกผมแบบนั้น แรกๆ มันเป็นฉายาที่น่าภูมิใจนะ สำหรับผม แต่พอหันหลังกลับไปผมถึงพบว่า คำว่าไร้เทียมทานมันแลกมาด้วยความเหงา และความโดดเดี่ยวเพราะคำคำนี้มันเหมือนเป็นตัวยืนยันคุณภาพงานของผม แค่มีผมทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ ผมไม่เคยทำภารกิจพลาดเลยสักครั้งตั้งแต่มาเป็นสายลับ และไม่เคยร้องขอให้ใครมาช่วย ผมจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเสมอปัง!ผมยิงเหนี่ยวไกใส่จอมโจรชุดสีดำรัตติกาลที่กำลังวิ่งอยู่บนโถงทางเดินของโรงแรมหรูที่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอัญมณีล้ำค่าจากหลากหลายประเทศคนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำเข้มหันมายิงปืนไพ่ใส่ผมที่กำลังวิ่งตามมัน แต่ผมก็สามารถเอี้ยวตัวหลบได้จู่ๆ ก็เกิดควันสีชมพูกระจายทั่วโถงทางเดิน ผมรีบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาปิดจมูกมันคือควันยาสลบ หนึ่งในกลอุบายที่จอมโจรในชุดคลุมสีดำใช้“จอมโจรไนท์บลูอยู่ตรงนั้น”เสียงทุ้มของหนึ่งในลูกน้องของผมดังขึ้นในตอนที่ จอมโจรไนท์บลู อาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในมิลาน ณ เวลานี้ กำลังวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า มันมักจะออกปล้นร้านเพชรในช่วงเวลากลางคืนด้วยชุดคลุ
สวมรอยครั้งที่ 02Shuu partเสียดายความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ผมกำลังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเขามากกว่าการมีเซ็กส์ เพราะตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่อยู่ในโรงแรมแล้ว อุตส่าห์เจอคนถูกใจตรงสเปกทุกอย่าง แถมรสนิยมเซ็กส์ของเขาก็น่าสนใจจนทำผมคลั่งทั้งคืน แต่กลับไม่มีโอกาสได้สานต่อ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดายผมเก็บของเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและจากนั้นผมมักไปที่ผับเดิมตลอดสองอาทิตย์เพื่อหวังว่าจะเจอเขา แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาไม่ได้กลับมาที่ผับนี้อีกเลย แม้แต่คนตัวสูงอีกคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนเขาผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา สุดท้ายก็จนปัญญาและจบที่นั่งกินเหล้าคนเดียวเหงาๆ เหมือนกับทุกวันและเพราะถูกเรียกตัวให้กลับประเทศไทยด่วนผมจึงไม่มีโอกาสได้ตามหาตัวเขาต่อ มันยิ่งทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งกว่าเดิมอีก“ถึงบ้านแล้วครับคุณชาย”เสียงของเลขาส่วนตัวที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับคุณชายคนกลางของบ้านพูดขึ้นมา ทำให้ผมที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เบาะหลังต้องยันตัวลุกขึ้นก่อนจะสะบัดหัวไปมาไล่ความมึนงงในหัวของตัวเองออกไป ผมอุตส่าห์ดื่มเหล้าแล้วบอกว่าแฮงค์จะได้ไม่ต้องมาบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายก
สวมรอยครั้งที่ 01seiya partสายลับผู้ไร้เทียมทานนั่นคือฉายาของผม ฉายาที่ใครต่อใครต่างเรียกผมแบบนั้น แรกๆ มันเป็นฉายาที่น่าภูมิใจนะ สำหรับผม แต่พอหันหลังกลับไปผมถึงพบว่า คำว่าไร้เทียมทานมันแลกมาด้วยความเหงา และความโดดเดี่ยวเพราะคำคำนี้มันเหมือนเป็นตัวยืนยันคุณภาพงานของผม แค่มีผมทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ ผมไม่เคยทำภารกิจพลาดเลยสักครั้งตั้งแต่มาเป็นสายลับ และไม่เคยร้องขอให้ใครมาช่วย ผมจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเสมอปัง!ผมยิงเหนี่ยวไกใส่จอมโจรชุดสีดำรัตติกาลที่กำลังวิ่งอยู่บนโถงทางเดินของโรงแรมหรูที่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอัญมณีล้ำค่าจากหลากหลายประเทศคนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำเข้มหันมายิงปืนไพ่ใส่ผมที่กำลังวิ่งตามมัน แต่ผมก็สามารถเอี้ยวตัวหลบได้จู่ๆ ก็เกิดควันสีชมพูกระจายทั่วโถงทางเดิน ผมรีบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาปิดจมูกมันคือควันยาสลบ หนึ่งในกลอุบายที่จอมโจรในชุดคลุมสีดำใช้“จอมโจรไนท์บลูอยู่ตรงนั้น”เสียงทุ้มของหนึ่งในลูกน้องของผมดังขึ้นในตอนที่ จอมโจรไนท์บลู อาชญากรที่เลวร้ายที่สุดในมิลาน ณ เวลานี้ กำลังวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า มันมักจะออกปล้นร้านเพชรในช่วงเวลากลางคืนด้วยชุดคลุ