เพี๊ยะ!
ฉันรู้สึกชาวาบที่ใบหน้าด้าน เพี๊ยะ! ฉันรู้สึกชาวาบที่ใบหน้าด้านซ้าย น้ำตาไม่แม้แต่จะไหลออกมาด้วยซ้ำ เพราะฉันไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บเลยสักนิด เพราะใจของฉันมันชาด้านไปหมดแล้ว ฉันค่อยๆ หันหน้ากลับมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไร “มิริน...แม่...” แม่เฌอรีนพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียนของแม่ “พูดจบแล้วใช่ไหมคะ มิรินจะได้พักผ่อน” ฉันเอ่ยพูดกับผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชา แล้วค่อยๆ หันหลังให้ก่อนจะก้าวเดินขึ้นมายังห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาแตะพื้นห้องนอนอันแสนคุ้นเคยของตัวเอง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เราพึ่งจะเริ่มคบกันเองนะ ทำไมต้องมีอุปสรรคด้วย ฉันยังไม่อยากเลิกกับโต้ง ฉันควรจะทำอย่างไรดี เช้าวันรุ่นขึ้น.... ไม่รู้ว่าฉันเผลอหลับไปตอนไหน แต่ที่รู้ๆ ก็คือฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนหลังจากที่ทะเลาะกับแม่เฌอรีน ไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนเลยเฮะ ฉันลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อชำระร่างกาย ใช้เวลายี่สิบนาทีฉันก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เมื่อฉันเดินมายังประตูห้องนอนของตัวเองก็พบว่า...ประตูเปิดไม่ออก มันถูกล็อกจากด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอกนะ เปิดประตูให้มิรินหน่อย” ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดใดกลับมา นี่มันอะไรกัน ฉันถูกขังงั้นเหรอ แม่ทำเกินไปแล้วนะ ฉันหันตัวกลับเดินมายังเตียงนอนเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ แต่ว่า...หาเท่าไรก็ไม่เจอ อย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือของตัวเองเลย โทรศัพท์บ้านก็ถูกถอดออกไปเหมือนกัน ฉันเดินกลับมายังบานประตูอีกครั้ง พร้อมกับใช้กำปั้นทุบที่บานประตูจนรู้สึกเจ็บระบมไปหมด “แม่!! มิรินรู้นะ ว่าแม่อยู่ด้านนอก แม่ทำแบบนี้ทำไม แม่ใจร้ายเกินไปแล้วนะ!!” ปัง!! ปัง!! ฉันยังพยายามทุบประตูไม่หยุด “หยุดโวยวายซะ มิริน เพราะแม่จะส่งแกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” เสียงแม่ตอบกลับมาจากอีกฟากของประตู “มิรินไม่ไปไหนทั้งนั้น!! มิรินจะอยู่ที่นี่!! คุณตาค่ะ!! ช่วยมิรินด้วย!!” เมื่อคุยกับผู้เป็นแม่แล้วไร้ประโยชน์ฉันจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณตาแทน ซึ่งไม่รู้ว่าคุณตาจะได้ยินหรือเปล่า “คุณตาไม่อยู่หรอก ท่านไปพักผ่อนกับเพื่อน ไม่มีใครช่วยได้ทั้งนั้น ยังไงแกก็ต้องไป” ฉันอยากจะอ้าปากเถียงกลับเหลือเกิน แต่ว่าก้อนสะอึกมันดันขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ มันทำให้ฉันไม่สามารถเอ่ยคำใดใดออกไปได้ ฉันหันหลังพิงบานประตูก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นอย่างหมดแรง ทำไมแม่ต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย การที่ฉันคบกับโต้งมันผิดอะไรนักหนา ทำไมต้องกีดกันขนาดนี้ด้วย ฉันนั่งกอดขาตัวเองก่อนจะซุกหน้าลงกับหน้าขาเพื่อปล่อยให้น้ำตาได้ไหลออกมาอย่างไม่คิดจะปิดกั้นมันอีกต่อไป โต้ง ผมเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของตัวเอง พร้อมกับมองที่หน้าจอมือถืออย่างสงสัย ว่าทำไม มิรินถึงไม่ยอมเปิดเครื่องสักทีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้าแบตโทรหมดมันก็ควรจะชาตเต็มได้แล้วมั้ง วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้า กะว่าจะโทรไปถามมิรินสักหน่อยว่าเธอมีเรียนหรือเปล่า ผมจะได้เข้าไปรับที่บ้านจะได้ไปเรียนพร้อมกัน แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังติดต่อมิรินไม่ได้สักที ผมทนไม่ไหวแล้ว ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมมิรินถึงไม่ยอมเปิดเครื่องสักที ผมเดินออกมาจากห้องของตัวเองก่อนจะไปเคาะบานประตูห้องของราเรซ ซึ่งห้องมันอยู่ติดกับผม “ไงมึง” ราเรซเปิดประตูออกมาถามด้วยสีหน้า งงๆ “กูติดต่อมิรินไม่ได้” “แค่เนี้ย!! อาการหนักนะมึง” ราเรซยกยิ้มอย่างชอบใจ มันกำลังคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าขำ “พอกูกลับมาจากบ้านของมิริน ก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย” ราเรซมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที มันเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ซึ่งผมก็เดินตามมันเข้าไปด้วย ราเรซเดินไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา พร้อมกับกดโทรออก คาดว่ามันน่าจะโทรหามิริน “ปิดเครื่อง” ราเรซบอก “ก็ใช่ไง ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” “มีเรื่องอะไรวะ มึงถึงได้ดูร้อนรนขนาดนี้” ราเรซเดินนำหน้าผมมายังโซฟาตัวยาวที่ห้องนั่งเล่นของมัน “ดูเหมือนว่า แม่ของมิรินจะไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เจอหน้ากู” ผมบอกเพื่อนพร้อมกับถอนหายใจแรงหนึ่งที “ทำไมว่ะ มึงไปทำอะไรให้แม่เฌอรีนไม่พอใจหรือเปล่า” “ไม่รู้ดิ กูก็พึ่งจะเคยเจอกับแม่ของมิรินเอง ไม่รู้ว่าท่านไม่พอใจอะไร” หลังจากที่ต้นหลิวกลับที่พักของเธอไปแล้ว ผมก็กลับมาคิดเรื่องแม่ของมิรินทั้งคืน คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำอะไรไม่ดีให้ท่านเห็นหรือเปล่า “ไปบ้านพี่มิรินกัน” ราเรซเอ่ยขึ้น ซึ่งผมก็พยักหน้าให้เพื่อนทันทีอย่างเห็นด้วย ไม่ลงไม่เรียนมันแล้วครับวันนี้ ถึงไปเรียนผมก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะภายในใจตอนนี้มันว้าวุ่นไปหมด ผมเป็นห่วงมิรินมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมิรินหรือเปล่า ใช้เวลายี่สิบนาทีในการขับรถมาที่บ้านของมิริน ผมมารถของราเรซเพราะคิดว่าถ้าหากเอารถตัวเองมา แม่ของเฌอรีนอาจจะไม่ยอมให้เข้ามาในบ้านก็เป็นได้ เมื่อราเรซขับรถเข้ามาจอดยังบริเวณบ้านของมิริน ผมก็เห็นรถยนต์หรูสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว ผมจำมันได้แม่น เพราะมันคือรถของไอ้พี่เฟย “รถไอ้พี่เฟยนี่ มันมาทำอะไรวะ” ราเรซหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าสงสัย “ไม่รู้วะ แต่คิดว่า กูมีเรื่องแน่ๆ” ผมตอบตามความรู้สึก เพราะมีลางสังหรณ์ว่า...จะเป็นแบบนั้น เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเสียงหนึ่งเป็นเสียงแม่เฌอรีนแม่ของมิริน ส่วนอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของคนที่เป็นเจ้าของรถที่จอดอยู่ด้านหน้าบ้านนั่น เสียงไอ้เฟย.. และอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของผู้หญิงสูงอายุคาดว่าน่าจะเป็นแม่ของไอ้เฟย “คุณราเรซ มาหาคุณหนูเหรอคะ” เสียงแม่บ้านทักขึ้น “ครับ พี่มิรินอยู่ไหม” “อยู่บนห้องค่ะ” แม่บ้านตอบก่อนที่เธอจะแสดงสีหน้าเศร้าออกมา “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามขึ้นทันที แม่บ้านมองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งที นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมแม่บ้านต้องมีสีหน้าเศร้าแบบนั้นด้วย เกิดอะไรขึ้นกับมิรินกันแน่ “คุณหนู...” แม่บ้านกำลังจะเอ่ยพูดบางอย่างออกมาก็มีเสียงมารพูดขัดขึ้นมาซะก่อน “อ้าว!! สองหนุ่ม มาทำอะไรกันเหรอ” เสียงไอ้พี่เฟยทักขึ้นจากด้านหลังของแม่บ้าน ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินหลบไปในครัวอย่างรวดเร็ว “เรซก็มาหาพี่สาวคนสวยของเรซสิครับ แล้วพี่เฟยล่ะ มาทำอะไร” ราเรซหันไปฉีกยิ้มกวนๆ ให้ก่อนตอบ “พี่เอาหนังสือเดินทางมาให้มิรินนะ” ไอ้เฟยตอบราเรซ แต่ว่าสายตาของมันกลับจงใจจ้องมองมาที่ผมอย่างเยาะเย้ย หัวใจของผมกระตุกวูบอย่างน่าใจหาย “พี่มิรินจะไปไหน” ราเรซถามขึ้นทันที ในขณะที่ผมยังมึนงงกับคำพูดของไอ้เฟยอยู่เลย เธอจะไปไหนมิริน เธอจะทิ้งผมอย่างนั้นเหรอ ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ “แม่จะส่งมิรินไปเรียนต่อที่ลอนดอนพร้อมพี่เฟยนะ” แม่เฌอรีนเดินเข้ามาพูดแทรกขึ้น คำตอบที่ออกมาจากปากของแม่เฌอรีน มันทำให้ใจของผมแทบจะหยุดเต้นซะตอนนี้ ร่างกายที่คิดว่ามันแข็งแรงและมั่นคง กลับรู้สึกโรยแรงแทบยืนต่อไม่ไหว ผมมองหน้าแม่ของมิรินด้วยความไม่เข้าใจและสีหน้าเป็นเครื่องหายคำถามอย่างต้องการคำอธิบาย . . . ซ้าย น้ำตาไม่แม้แต่จะไหลออกมาด้วยซ้ำ เพราะฉันไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บเลยสักนิด เพราะใจของฉันมันชาด้านไปหมดแล้ว ฉันค่อยๆ หันหน้ากลับมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไร “มิริน...แม่...” แม่เฌอรีนพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียนของแม่ “พูดจบแล้วใช่ไหมคะ มิรินจะได้พักผ่อน” ฉันเอ่ยพูดกับผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชา แล้วค่อยๆ หันหลังให้ก่อนจะก้าวเดินขึ้นมายังห้องนอนของตัวเอง ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาแตะพื้นห้องนอนอันแสนคุ้นเคยของตัวเอง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เราพึ่งจะเริ่มคบกันเองนะ ทำไมต้องมีอุปสรรคด้วย ฉันยังไม่อยากเลิกกับโต้ง ฉันควรจะทำอย่างไรดี เช้าวันรุ่นขึ้น.... ไม่รู้ว่าฉันเผลอหลับไปตอนไหน แต่ที่รู้ๆ ก็คือฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนหลังจากที่ทะเลาะกับแม่เฌอรีน ไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนเลยเฮะ ฉันลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อชำระร่างกาย ใช้เวลายี่สิบนาทีฉันก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เมื่อฉันเดินมายังประตูห้องนอนของตัวเองก็พบว่า...ประตูเปิดไม่ออก มันถูกล็อกจากด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอกนะ เปิดประตูให้มิรินหน่อย” ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดใดกลับมา นี่มันอะไรกัน ฉันถูกขังงั้นเหรอ แม่ทำเกินไปแล้วนะ ฉันหันตัวกลับเดินมายังเตียงนอนเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ แต่ว่า...หาเท่าไรก็ไม่เจอ อย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือของตัวเองเลย โทรศัพท์บ้านก็ถูกถอดออกไปเหมือนกัน ฉันเดินกลับมายังบานประตูอีกครั้ง พร้อมกับใช้กำปั้นทุบที่บานประตูจนรู้สึกเจ็บระบมไปหมด “แม่!! มิรินรู้นะ ว่าแม่อยู่ด้านนอก แม่ทำแบบนี้ทำไม แม่ใจร้ายเกินไปแล้วนะ!!” ปัง!! ปัง!! ฉันยังพยายามทุบประตูไม่หยุด “หยุดโวยวายซะ มิริน เพราะแม่จะส่งแกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” เสียงแม่ตอบกลับมาจากอีกฟากของประตู “มิรินไม่ไปไหนทั้งนั้น!! มิรินจะอยู่ที่นี่!! คุณตาค่ะ!! ช่วยมิรินด้วย!!” เมื่อคุยกับผู้เป็นแม่แล้วไร้ประโยชน์ฉันจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณตาแทน ซึ่งไม่รู้ว่าคุณตาจะได้ยินหรือเปล่า “คุณตาไม่อยู่หรอก ท่านไปพักผ่อนกับเพื่อน ไม่มีใครช่วยได้ทั้งนั้น ยังไงแกก็ต้องไป” ฉันอยากจะอ้าปากเถียงกลับเหลือเกิน แต่ว่าก้อนสะอึกมันดันขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ มันทำให้ฉันไม่สามารถเอ่ยคำใดใดออกไปได้ ฉันหันหลังพิงบานประตูก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นอย่างหมดแรง ทำไมแม่ต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย การที่ฉันคบกับโต้งมันผิดอะไรนักหนา ทำไมต้องกีดกันขนาดนี้ด้วย ฉันนั่งกอดขาตัวเองก่อนจะซุกหน้าลงกับหน้าขาเพื่อปล่อยให้น้ำตาได้ไหลออกมาอย่างไม่คิดจะปิดกั้นมันอีกต่อไป โต้ง ผมเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของตัวเอง พร้อมกับมองที่หน้าจอมือถืออย่างสงสัย ว่าทำไม มิรินถึงไม่ยอมเปิดเครื่องสักทีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้าแบตโทรหมดมันก็ควรจะชาตเต็มได้แล้วมั้ง วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้า กะว่าจะโทรไปถามมิรินสักหน่อยว่าเธอมีเรียนหรือเปล่า ผมจะได้เข้าไปรับที่บ้านจะได้ไปเรียนพร้อมกัน แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังติดต่อมิรินไม่ได้สักที ผมทนไม่ไหวแล้ว ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมมิรินถึงไม่ยอมเปิดเครื่องสักที ผมเดินออกมาจากห้องของตัวเองก่อนจะไปเคาะบานประตูห้องของราเรซ ซึ่งห้องมันอยู่ติดกับผม “ไงมึง” ราเรซเปิดประตูออกมาถามด้วยสีหน้า งงๆ “กูติดต่อมิรินไม่ได้” “แค่เนี้ย!! อาการหนักนะมึง” ราเรซยกยิ้มอย่างชอบใจ มันกำลังคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าขำ “พอกูกลับมาจากบ้านของมิริน ก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย” ราเรซมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที มันเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ซึ่งผมก็เดินตามมันเข้าไปด้วย ราเรซเดินไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา พร้อมกับกดโทรออก คาดว่ามันน่าจะโทรหามิริน “ปิดเครื่อง” ราเรซบอก “ก็ใช่ไง ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” “มีเรื่องอะไรวะ มึงถึงได้ดูร้อนรนขนาดนี้” ราเรซเดินนำหน้าผมมายังโซฟาตัวยาวที่ห้องนั่งเล่นของมัน “ดูเหมือนว่า แม่ของมิรินจะไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เจอหน้ากู” ผมบอกเพื่อนพร้อมกับถอนหายใจแรงหนึ่งที “ทำไมว่ะ มึงไปทำอะไรให้แม่เฌอรีนไม่พอใจหรือเปล่า” “ไม่รู้ดิ กูก็พึ่งจะเคยเจอกับแม่ของมิรินเอง ไม่รู้ว่าท่านไม่พอใจอะไร” หลังจากที่ต้นหลิวกลับที่พักของเธอไปแล้ว ผมก็กลับมาคิดเรื่องแม่ของมิรินทั้งคืน คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำอะไรไม่ดีให้ท่านเห็นหรือเปล่า “ไปบ้านพี่มิรินกัน” ราเรซเอ่ยขึ้น ซึ่งผมก็พยักหน้าให้เพื่อนทันทีอย่างเห็นด้วย ไม่ลงไม่เรียนมันแล้วครับวันนี้ ถึงไปเรียนผมก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะภายในใจตอนนี้มันว้าวุ่นไปหมด ผมเป็นห่วงมิรินมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมิรินหรือเปล่า ใช้เวลายี่สิบนาทีในการขับรถมาที่บ้านของมิริน ผมมารถของราเรซเพราะคิดว่าถ้าหากเอารถตัวเองมา แม่ของเฌอรีนอาจจะไม่ยอมให้เข้ามาในบ้านก็เป็นได้ เมื่อราเรซขับรถเข้ามาจอดยังบริเวณบ้านของมิริน ผมก็เห็นรถยนต์หรูสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว ผมจำมันได้แม่น เพราะมันคือรถของไอ้พี่เฟย “รถไอ้พี่เฟยนี่ มันมาทำอะไรวะ” ราเรซหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าสงสัย “ไม่รู้วะ แต่คิดว่า กูมีเรื่องแน่ๆ” ผมตอบตามความรู้สึก เพราะมีลางสังหรณ์ว่า...จะเป็นแบบนั้น เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเสียงหนึ่งเป็นเสียงแม่เฌอรีนแม่ของมิริน ส่วนอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของคนที่เป็นเจ้าของรถที่จอดอยู่ด้านหน้าบ้านนั่น เสียงไอ้เฟย.. และอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของผู้หญิงสูงอายุคาดว่าน่าจะเป็นแม่ของไอ้เฟย “คุณราเรซ มาหาคุณหนูเหรอคะ” เสียงแม่บ้านทักขึ้น “ครับ พี่มิรินอยู่ไหม” “อยู่บนห้องค่ะ” แม่บ้านตอบก่อนที่เธอจะแสดงสีหน้าเศร้าออกมา “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามขึ้นทันที แม่บ้านมองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งที นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมแม่บ้านต้องมีสีหน้าเศร้าแบบนั้นด้วย เกิดอะไรขึ้นกับมิรินกันแน่ “คุณหนู...” แม่บ้านกำลังจะเอ่ยพูดบางอย่างออกมาก็มีเสียงมารพูดขัดขึ้นมาซะก่อน “อ้าว!! สองหนุ่ม มาทำอะไรกันเหรอ” เสียงไอ้พี่เฟยทักขึ้นจากด้านหลังของแม่บ้าน ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินหลบไปในครัวอย่างรวดเร็ว “เรซก็มาหาพี่สาวคนสวยของเรซสิครับ แล้วพี่เฟยล่ะ มาทำอะไร” ราเรซหันไปฉีกยิ้มกวนๆให้ก่อนตอบ “พี่เอาหนังสือเดินทางมาให้มิรินนะ” ไอ้เฟยตอบราเรซ แต่ว่าสายตาของมันกลับจงใจจ้องมองมาที่ผมอย่างเยาะเย้ย หัวใจของผมกระตุกวูบอย่างน่าใจหาย “พี่มิรินจะไปไหน” ราเรซถามขึ้นทันที ในขณะที่ผมยังมึนงงกับคำพูดของไอ้เฟยอยู่เลย เธอจะไปไหนมิริน เธอจะทิ้งผมอย่างนั้นเหรอ ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ “แม่จะส่งมิรินไปเรียนต่อที่ลอนดอนพร้อมพี่เฟยนะ” แม่เฌอรีนเดินเข้ามาพูดแทรกขึ้น คำตอบที่ออกมาจากปากของแม่เฌอรีน มันทำให้ใจของผมแทบจะหยุดเต้นซะตอนนี้ ร่างกายที่คิดว่ามันแข็งแรงและมั่นคง กลับรู้สึกโรยแรงแทบยืนต่อไม่ไหว ผมมองหน้าแม่ของมิรินด้วยความไม่เข้าใจและสีหน้าเป็นเครื่องหายคำถามอย่างต้องการคำอธิบาย . . .“ทำไมครับ ทำไม...” ผมเผลอก้าวเดินเข้าไปหาแม่ของมิรินด้วยท่าทีคุกคาม จนท่านถึงกลับก้าวถอยหลังไปด้วยความตกใจ“แกจะทำอะไรนะ!!” ไอ้เฟยเดินเข้ามาขว้างหน้าผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับก้างแขนออกปกป้องแม่เฌอรีนอย่างวีรษุร“ไอ้โต้ง” ราเรซรั้งแขนผมไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปถึงตัวของแม่เฌอรีน“เป็นเพราะผมใช่ไหม” ผมไม่แม้แต่จะหลบสายตา ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงของท่านอย่างต้องการคำตอบ“มาคุยกันหน่อย”แม่ของมิรินบอกกับผมก่อนที่ท่านจะเดินนำไปยังสวนด้านหลังของบ้าน ผมรีบเดินตามท่านไปในทันที ท่านเดินเข้าไปนั่งในศาลาริมน้ำของสวนหลังบ้าน พร้อมกับส่งสายตาบอกให้ผมนั่งลงตรงกันข้ามกับท่าน“ทำไมต้องส่งมิรินไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยครับ” ผมเปิดประเด็นถามก่อนด้วยความร้อนใจ“ฉันอยากให้มิรินไปเรียนในที่ดีๆ สังคมดีๆ และอยู่กับคนดีๆ” แม่เฌอรีนจ้องหน้าบอกด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง“เธอเองอายุก็ยังน้อย ยังมีโอกาสที่จะได้เจอคนใหม่ๆ อีกเยอะ”“แล้วไงครับ”“มิรินเป็นหลานสาวของตระกูลผู้ดีเก่า ฉันก็อยากจะให้ลูกสาวเจอคนที่ดีและเหมาะสมกัน ครอบครัวขอ
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน...“ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกินผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด“ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด“ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...”ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้“เธ
“เราเลิกกันเถอะ มิริน” ผมกลั้นใจพูดประโยคที่ไม่เคยคิดที่จะพูดมันออกมาเลย มันทำใจได้ยากเหลือเกิน มันอ่อนแรงแทบยืนไม่ไหว ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะพูดคำนี้ออกมาได้ ถ้าสำหรับคนที่หมดรักกันแล้ว ก็คงพูดออกมาได้ไม่ยาก แต่สำหรับผม...คนที่รักมิรินหมดหัวใจ มันยากเหลือเกิน... “ไม่เอา!! มิรินไม่เลิก ทำไมโต้งถึงพูดแบบนี้ แม่ใช่ไหม แม่บังคับให้โต้งพูดใช่ไหม” เสียงมิรินโวยวายดังมาจากด้านในห้องนอนของเธอ ผมสงสารมิรินเหลือเกิน ผมรู้ดีว่าคำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจมิรินเพียงใด และมันส่งผลต่อผมด้วย มันบาดใจผม จุกจนพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าตัวผมเอง จะเป็นคนทำร้ายมิริน ผมมันเลวที่สุด “ไม่มีใครบังคับโต้งได้ มิรินก็รู้นิ อะไรที่โต้งไม่อยากทำ โต้งจะไม่ทำ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกใดใด “ทำไมล่ะโต้ง ทำไมต้องเลิกกันด้วย ฮือออ มิรินทำอะไรผิด ฮือออ มิรินขอโทษ...” ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้แต่เอื้อมมือหนาขึ้นลูบที่บานประตู อยากจะบอกเธอเหลือเกิน ว่าเธอไม่ผิด ผมผิดเองที่ดีไม่พอ ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มิรินต้องถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ “เธอไม่ผิดหรอก... ฉันแค่ เบื่อเธอแล้ว” พูดจบผมก
“นะ..อุ๊บ!!”ฉันยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกริมฝีปากหนาช่วงชิ่งประกบปิดปากฉันไว้ซะก่อน ลิ้นชื้นแทรกผ่านกรีบปากบางเข้ามากวาดต้อนเอาทุกอย่างไปจนหมด ก่อนจะป้อนความหวานเข้ามาอย่างอ่อนนุ่ม ฉันรู้สึกวูบโวงไปทั่วท้องน้อยอย่างปั่นป่วนเมื่อโดนร่างสูงรุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัว“แฮ่ก...” เสียงหายใจหอบแรงจากร่างสูงเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก เขาจ้องมองหน้าฉัน แววตาดูไหวสั่นเหมือนคนร้องไห้ฉันมองหน้าเขาด้วยความตกใจป่นความไม่เข้าใจ ฉันมึนงงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้จูบฉันแบบนี้ คนเลิกกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ“ทะ ทำไม..” ฉันเอ่ยถามร่างสูงอย่างตะกุกตะกัก เพราะยังตกใจไม่หาย“ออกไปได้แล้ว” โต้งไม่ตอบฉันแต่กลับไล่ให้ฉันออกไปฉันก้มหน้ามองพื้นด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรดี ฉันเลื่อนมือบางขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะดีใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วยิ้มอยู่ในใจ“หูหนวกหรือไง”ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงโกรธไปแล้วที่เขาพูดจาขวานผ่าซากแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกช
“วันนี้ไปไหนดีแก” เสียงพูดหญิงคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น ฉันทำทีเป็นไม่สนใจแกล้งแต่งหน้าแต่งตาไปพลางอย่างเนียนๆ“วันนี้ผู้ชายนัดฉันไปเที่ยวที่เอสทีผับอ่ะ” ผู้หญิงที่ดันลอนผมเป็นวอลุ่มพูดขึ้น“ใครเหรอ ถ้าเป็นลูกคนรวยแต่หน้า เ...ย ฉันไม่เอาแล้วนะ เสียของหมด” ผู้หญิงผมสั้นออกแนวทอมบอยพูดขึ้นเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ดูจากการแต่งตัวของเธอแล้วนี่ ดูเปรี้ยวใช่ย่อย เธอใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่าขึ้นมาถึงขาอ่อนแถมแวกข้างอีกต่างหาก“ไม่หรอก ยัยเปรี้ยว คนนี้เนี้ยนะ เป็นทายาทเจ้าของห้างฯนี้ด้วย แถมหล่อเฟ่ออีกต่างหาก” ทายาทเจ้าของห้างนี้งั้นเหรอ ก็ต้องเป็นเลโอสิ พวกนี้รู้จักเลโอด้วยเหรอ แต่ก็ไม่แปลกหรอก รายนั้นก็นะ ว่านเสน่ห์เป็นว่าเล่น“ฉันไม่เชื่อแกหรอก ยัยโบวี่ สายตาการมองผู้ชายของแกนะมันแย่ คราวที่แล้วก็บอกหล่อๆ เป็นไง อย่างกะพวกสัมภเวสีดีๆ นี่เอง”“เออนั่นดิแก ไหนเอารูปมาดูก่อนดิ ถ้าไม่หล่อจริง ฉันไม่ไปนะ” เสียงผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเอ่ยขึ้น“แกอยากดูรูปเหรอแคล อ่ะนี่” ผู้หญิงที่ชื่อโบวี่ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้เพื่อนดู“อุ๊ยแก... คนนี้
“มาแล้วเหรอโบวี่ มานั่งข้างเรามา..” เลโอบอกกับผู้หญิงผมยาวดัดลอน ซึ่งเธอเองก็ส่งยิ้มหวานไปให้เลโอทันที มันจะรู้ตัวบ้างไหมว่าได้ทำให้สาวสวยที่นั่งอยู่ข้างมันอีกคนไม่พอใจ แต่ผู้หญิงที่ชื่อโบวี่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินไปนั่งข้างเลโอทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นลูบอกเลโอเบาๆ อย่างเอาใจ“นั่งด้วยคนนะ” แม่สาวผมสั้นเดินมานั่งข้างผมทันทีโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผม“เราชื่อเปรี้ยวนะ เธอล่ะ” ใครกันชั่งตั้งชื่อให้เธอได้เหมาะเจาะขนาดนี้“เธอคงรู้ชื่อฉันอยู่แล้วล่ะ เพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันคงบอกเธอหรือไม่ก็เพื่อนเธอไปแล้วที่เกี่ยวกับฉัน”“ก็รู้แค่ว่า... ชื่อโต้ง มีนิสัยที่หยิ่งมาก ใช่หรือเปล่า”“ตามนั้น” ผมตอบโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเธอ ก่อนจะเอื้อมมือไปยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว“น่าสนใจจัง” เปรี้ยวเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแก้วของเธอขึ้นมาดื่มบ้าง“ชื่อแคลนะคะ นั่งด้วยคนสิ” เพื่อนของเปรี้ยวอีกคนหันไปพูดกับราเรซ ซึ่งราเรซมันก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นั่งได้Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrในระหว่างที่พวกผมนั่งดื่มเหล้าปาร์ตี้กันอยู่นั้น
“ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ โต้ง”ในขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีให้มิรินยอมกลับบ้านแต่โดยดี เปรี้ยวก็เดินเข้ามาชิดตัวผมพร้อมกับลูบไล้บริเวณอกแกร่งอย่างเอาใจ สายตาของมิรินจ้องเขม็งมาที่มือของเปรี้ยวก่อนจะหันไปกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว ผมรู้ว่ามันให้มิรินโกรธแต่ผมก็แอบคิดว่า วิธีนี้อาจจะทำให้มิรินยอมกลับบ้านก็ได้“ขอตัวนะ” ผมเอ่ยพูดกับมิรินก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันไปโอบไหล่เปรี้ยว“ทำไมเป็นนี้ เจ็บมากนะ รู้ไหม..” มิรินไม่ได้หันมามองหน้าผมในระหว่างที่เธอพูด แต่มิรินกลับจ้องมองแก้วเหล้าในมือตาเขม็งพร้อมกับบีบมันแน่นจนมือบางสั่นไหว“มิรินจะปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร จะพยายามโอเครกับทุกๆ อย่างให้ได้มากที่สุด” มิรินหันมามองหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มที่เธอพยายามปั้นมันออกมาเหมือนยินดี“เมาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวโต้งไปส่ง” ผมผละตัวออกจากเปรี้ยวแล้วเดินไปยืนข้างมิริน ผมเอื้อมมือหนาไปจับมือบาง แต่ปรากฏว่า...ผมถูกมิรินปัดมือออกอย่างแรง“จะไปทำอะไรกันก็ไปสิ เชิญ!!” มิรินพูดโดยที่ไม่ยอมหันหน้ามามองผม โกรธจริงๆ แล้วสินะ“หยุดกินได้แล้ว
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม
รถยนต์หรูจอดสนิทที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกคูหาสามชั้น ข้างๆ ตึกนั้นมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียมอยู่หลายสนามซึ่งก็ใหญ่โตพอสมควร ฉันลงมายืนอยู่ข้างรถแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาบ้านของโต้ง รู้สึกประหม่าจังแฮะ พ่อแม่ของเขาจะชอบฉันหรือเปล่านะ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ“ป่ะ เข้าบ้านกัน” โต้งเดินมาจับมือฉันแล้วเดินนำเข้าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกคูหา“ม๊า” โต้งเอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเช็ดตู้กระจกอยู่“อ้าว โต้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” โต้งเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเขาพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด เวลาอยู่กับแม่นี่ เป็นหมาน้อยเชียวนะ“สาวสวยคนนี้ คือมิรินใช่ไหม” แม่ของโต้งหันมามองฉัน“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ท่านทันที“สวยจังเลย มิน่าล่ะ ตาโต้งถึงได้ตามหวงนักหวงหนา ถึงขนาดโทรไปขู่ต้นหลิวให้ส่งบอดี้การ์ดไปค่อยดูแลให้เนะ!” แม่ของโต้งพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย นี่แม่เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ฉันแอบส่งสายตาดุไปให้โต้ง แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกแถมยังยิ้มหวานกลับมาให้อีก โต้งยิ้มหวานเหมือนแ
“สวัสดีครับ ผมธนาธร บรรณาลักษณ์ หรือจะเรียกว่า โต้ง ก็ได้ครับ”“คุณธนาธร ยังเด็กอยู่เลยนะครับเนี้ย” มีเสียงหนึ่งจากผู้ร่วมประชุมเอ่ยขึ้น“จะไม่เด็กได้ไง มันยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ” พี่เฟยพูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์“จริงเหรอครับ แล้วแบบนี้ คุณจะทำงานได้เหรอ”“ผมยังเรียนไม่จบก็จริงครับ แต่ผมก็สามารถทำงานร่วมกับทุกคนได้ ซึ่งผมก็พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้ว ในช่วงสามปีที่ผ่านมา” โต้งหันไปตอบคำถามจากผู้ร่วมประชุม“ยังไงก็...ช่วยเป็นคุณครูสอนวิชาให้ผมเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ผมเรียนจบ ผมก็ยังต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเยอะ เพราะในตำรากับชีวิตจริงมันต่างกัน จริงไหมครับ ท่านรองประธาน” โต้งพูดกับผู้ร่วมประชุมด้วยท่าทีสุภาพ และท้ายประโยคนั้นได้หันมาพูดกับแม่เฌอรีน พร้อมรอยยิ้มแม่เฌอรีนถึงกลับพูดไม่ออก ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเชิงเป็นคำถามว่า ฉันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ฉันจึงส่ายหน้าตอบกลับแม่ไปตามความจริง“นี่มันอะไรกันค่ะ คุณพ่อ!!”เมื่อการประชุมจบลง แม่เฌอรีนรีบเดินมาหาคุณตาที่ห้
“ถ้าคิดว่าทำให้ถอยได้ก็ลองดูสิ”“โต้ง อือออ”ใบหน้าคมโน้มลงมาซุกไซร์ซอกคอฉันทันทีพร้อมกับที่มือบางถูกมือหนาตรึงไว้กับเตียงนอนที่ข้างหัว ทำให้ฉันไม่สามารถขัดขืนเขาได้ ใจอยากจะต่อต้านเขาเหลือเกินแต่เรี่ยวแรงกลับมีไม่พอที่จะผลักไสเขาออกไป ร่างกายของฉันถูกมือหนาถอดเสื้อผ้าออกไปทีล่ะชิ้นจนไม่เหลือสิ่งใดปกปิด ทุกส่วนบนร่างกายถูกริมฝีปากหนาครอบครองและทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้ทุกที่ที่ริมฝีปากสัมผัส“คิดถึงโต้งหรือเปล่า หื้อ..” ริมฝีปากหนากระซิบถามพร้อมกับงับเข้ากับติ่งหูอย่างหยอกล้อ“คิดถึง..อืออออ” ฉันถึงกลับครางเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างถูกนิ้วร้ายล่วงล้ำเข้าไปสร้างความปั่นป่วนอย่างวาบหวิว“อยากกลับมาหาโต้งไหม..อ่า..” ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดอยู่บริเวณดอกบัวคู่งาม ชวนให้ขนกายรุกชันไปทั่วร่าง“อยากสิ... อ๊ะ!!” ช่วงล่างบิดเร่าตามจังหวะจากมือหนา“ยังรักโต้งอยู่ไหม..” ฉันเลือนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับตาคมอย่างแน่วแน่“มิรินรักโต้ง...” โต้งยกยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ“ขอกินหน่อยนะ” โต้งถอดนิ้วเรียวออกจากส่วนนั้นแล
“จริง ถ้าเธอไม่เชื่อ ถามไลลาดูก็ได้ เพราะตอนที่มิรินบอกกับฉันไลลาก็อยู่ด้วย”ผมหันไปมองหน้าแม่ไลลาที่ผมรักและเคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆ ซึ่งเมื่อผมหันหน้าไปหาแม่ไลลา ท่านก็พยักหน้าให้เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่แม่เฌอรีนพูด ว่ามันคือเรื่องจริง“ทำไมครับ ทำไมมิรินถึงอยากไป” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี และยังต้องการคำตอบที่มากกว่านี้ ผมยังไม่ปักใจเชื่อ“ฉันขอโทษนะ ที่ผิดคำพูดกับเธอ แต่มันคือความต้องการของมิริน ซึ่งฉันเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ มิรินก็ดื้อดึงไม่ว่าจะทำอย่างไร มิรินก็ไม่ยอมไป แต่ครั้งนี้ มิรินเป็นคนขอไปเอง”“มันเป็นความต้องการของคุณน้าอยู่แล้วนี่ครับ คงจะสมใจแล้วล่ะซิ” ผมจ้องหน้าแม่เฌอรีนตาเขม็งด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“ไอ้โต้ง ใจเย็น” ราเรซเดินเข้ามาจับไหล่ผมไว้ เมื่อผมเผลอก้าวเดินเข้าหาแม่เฌอรีนอย่างลืมตัว“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดอีกต่อไป”“นั้นก็แล้วแต่เธอ” แม่เฌอรีนตอบกลับมาด้วยใบหน้าและท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านคงคิดว่า การที่ส่งมิรินไปไกลผมแบบนั้น คิดว่าผมจะตามไปไม่ได้ล่ะสิ“ผมขอบอก
“แม่ค่ะ”“มิริน”ฉันเดินเข้าไปหาแม่ทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับแม่เฌอรีน พร้อมกับสวมกอดแม่อย่างแนบแน่น ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามจะบอกฉันแล้ว“เป็นอะไรไปล่ะ หื้อออ” แม่ลูบผมฉันอย่างอ่อนโยน“มิรินขอโทษนะคะ ที่มิรินดื้อกับแม่” ฉันเงยหน้ามองผู้เป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้ว่า...ลึกๆ แล้วฉันจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม แต่ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย”“มิรินตัดสินใจแล้วค่ะ”“อะไรลูก”“มิรินจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน”“จริงเหรอลูก” แม่สวมกอดฉันกลับอย่างดีใจฉันไม่อาจทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาก็มีคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรออีกต่อไป เรื่องของฉันกับโต้ง มันคงจบแล้วจริงๆ ฉันไม่อาจทนเห็นเขาไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนอื่นได้ เพราะฉันทำใจไม่ได้จริงๆหนึ่งอาทิตย์ต่อมา.... ณ สนามบิน“ทำไมมันเร็วแบบนี้อ่ะแก แล้วฉันจะอยู่ยังไง...” เสียงบัวตองพูดด้วยร้องไห้ไปด้วย ซึ่งด้านหลังของเธอก็มีพี่ยูคอยดูแลไม่ห่าง“
“นี่เธอ...”ผมถึงกลับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเจอกับแม่เฌอรีนพร้อมทั้งแม่ไลลา ราเรซและมิริน ผมจึงยกมือไหว้แม่ๆ ทั้งสองซึ่งแม่ไลลาเองก็ส่งยิ้มมาให้อย่างใจดีเหมือนอย่างเคย ส่วนแม่เฌอรีนนั้น ไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มองจิกผมอย่างเอาเรื่องเลยล่ะ ผมนึกว่าพากันกลับไปแล้วซะอีก ซวยแล้วไหมล่ะ ท่านต้องเดาออกแน่ๆ ว่าเมื่อคืนนี้มิรินอยู่กับผมไม่ใช่ราเรซ“เธอพักอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” แม่เฌอรีนมองหน้าผมด้วยสายตาดุร้าว ก่อนจะหันมองหน้ามิรินอย่างจับผิด“ครับ” ผมพยายามซ่อนความตื่นกลัวเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ใครๆ ก็มองว่าหยิ่งนี้“แสดงว่า....”“รอด้วยสิ โต้ง!!” ท่านกำลังจะถามอะไรผมต่อ ก็มีเสียงของต้นหลิวตะโกนขึ้นมาขัดซะก่อน“อุ๊ย!! ขอโทษค่ะ มีแขกอยู่เหรอ” ต้นหลิวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันมาถามผมอย่างสงสัย“เปล่าหรอก ไปกันเถอะ” ผมคว้ามือต้นหลิวกำลังจะพาเธอเดินออกจากตรงนี้ แต่ว่า.. ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของแม่เฌอรีน“อยู่กับแฟนนี่เอง”“อ้อ ไม่ชะ....” ต้นหลิวกำลังจะปฏิเสธ ผมจึงพูดขัดขึ้นทันที เพราะถ้าห
โต้ง“จำไว้นะ ไม่มีใครแทนที่มิรินได้”ผมเอ่ยพูดกับร่างบางที่กำลังค่อยๆ หลับตาลงอย่างหมดแรง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้มิรินจะได้ยินหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่า ผมได้ทำให้เธอสลบคาอกไปแล้วความจริงยาที่ผมกินเข้าไปไม่ได้รุนแรงอะไรมากหรอก ผมพอจะควบคุมมันได้อยู่ แต่ยัยตัวเล็กนี้สิ ดันมายั่วผมสะงั้น แล้วใครมันจะไปทนได้ล่ะครับ บอกให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับอีก ก็เลยโดนจัดหนักเข้าให้จริงๆ แล้วคงเป็นเพราะผมคิดถึงมิรินมากกว่า ผมหยุดไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกไหม ไหนๆ ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามของผมมันก็อุตส่าห์ช่วยขนาดนี้แล้วจะทำให้พวกมันผิดหวังได้ไงผมรู้ทันพวกมันสามตัวดี โดยฉะเพราะบิ๊กไบค์มันรู้ว่าในแก้วเหล้านั้นมียาปลุกเซ็กส์อยู่และที่มันไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกเพราะมันอยากให้ผมกับมิรินได้มีช่วงเวลานี้ด้วยกันบิ๊กไบค์ถึงได้ยุยงให้ผมดื่มแทน เพราะถ้าหากมิรินดื่มเข้าไป เธออาจจะเป็นอันตรายได้ ก็อ่อนแอซะขนาดนั้นน่ะนะ แต่จะอย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณในความฉลาดของไอ้บิ๊กไบค์ เพราะมันผมถึงได้อยู่กับมิรินในคืนนี้ ถ้าหากผมไม่ดื่มสิ่งนั้
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม