ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
View Moreปีพุทธศักราช ๒๓๐๘
อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’
เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี
“ย๊าก.....”
“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน
“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนสิ ไอ้พวกข้าศึกมันจะพากันบุกมาถึงเพลาใดก็หารู้ไม่” สตรีรูปร่างอวบอัดแต่ทว่ามีกล้ามเนื้อราวกับบุรุษเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คำเอื้อยเป็นหญิงสาวชาวบ้านบางระกำวัยสิบเจ็ดปีที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้านบางระกำนับตั้งแต่ที่ข้าศึกบุกเข้ามา นางฝึกฝนการฟันดาบและศิลปะการต่อสู้จนเก่งกาจ
“โถ่!!! นังคำเอื้อย เอ็งก็ให้ข้าพักเสียบ้างเถิด ถึงเพลาที่ไอ้พวกข้าศึกบุกมา พวกเราก็ต้านมันได้ทุกครามิใช่หรือเยี่ยงไร”
นายดู่ถอนหายใจให้กับหญิงสาวที่มีใจกล้าเฉกเช่นเหล่าบุรุษ ไม่ว่าข้าศึกจะมามากเพียงใด นางก็ไม่เคยหลบลี้หนีหน้าไปไหน นางมักจะถือดาบประจันหน้ากับพวกมันเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเสมอ
“พี่ดู่จ๊ะ ไอ้ผุดบอกว่าเสบียงของหมู่บ้านเราเริ่มจะร่อยหรอเสียแล้ว เหตุการณ์ภายนอกเมืองก็มิค่อยจะดีเท่าใดนัก แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีล่ะจ๊ะ”
แก้ว หญิงสาวในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คอยดูแลเสบียงอาหารกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าให้คนออกไปหาเสบียงด้านนอกหมู่บ้าน ก็คงไม่พ้นได้พบเจอกับพวกทหารของพม่าเป้นแน่
“เดี๋ยวข้าจะพาพวกออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเองจะ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”
คำเอื้อยบอกออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากเสบียงอาหารร่อยหรอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะใช้ชีวิตอยู่กันด้วยความลำบาก
“ข้าไปด้วย”
นายอ้นรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากปล่อยให้คำเอื้อยพาพวกออกไปแล้วเจอกับพวกศัตรู เขาจะได้ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับนาง
“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราไปเตรียมตัวกันเถิด ออกไปสักสิบคนก็พอ หากออกไปมากนักจะทำให้พวกข้าศึกรู้ตัวเอาได้”
“ไม่รู้ว่าเพลานี้ข้าศึกมันอยู่ทิศทางใดกัน เหตุใดพักนี้หมู่บ้านของพวกเราถึงได้ดูเงียบจนแปลกประหลาดยิ่งนัก” นายชดเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ให้มันพักกันเสียบ้างเถิด หากพวกมันหมั่นเข้ามาโจมตีพวกเราคงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่” ทองกล้ากล่าวออกมาพลางใช้ผ้าเช็ดดาบเล่มยาวของตน
“ถ้าเช่นนั้นเอาตามนี้แหละจ้ะ ข้า ไอ้อ้น แม่จำปี แม่ลำดวน พี่คล้าว พี่เข้ม พี่คม พี่เสือ พี่ผา และก็พี่ชิด พวกเราทั้งสิบจะออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเอง” คำเอื้อยหันไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลุงทองเย็น
ผู้อาวุโสไม่ห้ามปรามอันใดเพราะหากไม่มีผู้ที่เสียสละตนออกไป ชาวบ้านทุกคนจะต้องพากันอดตายก่อนที่จะตายด้วยน้ำมือของพวกข้าศึก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวและมาพร้อมกันในเพลานัดพบ นายดู่และนายชดจะคอยดูแลหมู่บ้านในยามที่ทั้งสิบคนไม่อยู่ คำเอื้อยและสหายร่วมรบทั้งเก้าคนจึงวางใจ
บุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งเจ็ดและสตรีอีกสามคนที่แต่งกายเยี่ยงชายชาตรี ในมือทั้งสองข้างถือดาบประจำกายพากันเยื้องย่างออกไปทางด้านหลังของหมู่บ้านในเพลากลางคืน เพื่อมิให้ข้าศึกภายนอกได้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านออกไป พวกคำเอื้องจึงต้องออกไปเพลานี้ เพลาที่ทิวาได้ลาลับนภาไป
เสียงนกแสกและนกฮูกร้องดังไปทั่วทั้งแนวป่าหลังหมู่บ้าน กลุ่มบุรุษและสตรีหาญกล้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ถูกข้าศึกตีจนแตกพ่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านบางระกำสองชั่วเพลาในการเดินทาง เพื่อลองหาเสบียงที่น่าจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ในระหว่างทางทุกคนเดินไปด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ข้าศึกได้ยินเสียงฝีเท้า
หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนในที่สุดเหล่าผู้กล้าทั้งสิบคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายจากการรุกรานของข้าศึก ภาพของชาวบ้านที่นอนตายอยู่ทั่วหมู่บ้าน ทำให้คำเอื้องรู้สึกเจ็บแค้นใจโดยเฉพาะพวกหญิงสาวที่ถูกพวกมันข่มเหงรังแกจนตาย หากชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่รอความช่วยเหลือจากพวกทหาร หมู่บ้านนี้ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“คงจะเพิ่งถูกตีพ่ายไปไม่ได้นาน ศพชาวบ้านบางคนตัวยังอุ่นอยู่เลย พวกเอ็งระวังตัวเองกันด้วยล่ะ”
นายคล้าวตะโกนบอกสหายร่วมรบทั้งเก้าคนหลังจากที่เขาก้มลงไปจับชีพจรของชาวบ้านที่น่าจะเพิ่งถูกฆ่าตายได้ไม่นาน
“รีบหาเสบียงที่พอจะนำกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อนเถิด ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพราะไม่รู้ว่าพวกข้าศึกจะยังอยู่แถวนี้หรือว่าจากไปแล้ว”
คำเอื้อยร้องบอกทุกคนในขณะที่นางเดินไปสำรวจตามเรือนชานที่เสียหายจากการถูกไฟไหม้ ร่องรอยนั้นราวกับเพิ่งจะเกิด ชาวบ้านที่ล้มตายก็ยังเนื้อกายอุ่นอยู่ นางจึงคิดว่าพวกมันคงเพิ่งจะบุกมาทำลายหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก
จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร
ณ จวนตระกูลซิ่ว เมืองถิงฮวาศาลาริมน้ำด้านหลังจวน ใต้เท้าซิ่วยืนตระหง่านมองผิวน้ำที่แน่นิ่ง จะไหวติงยามที่มีใบไม้ร่วงหล่นลงไป หรือไม่ก็พวกแมลงที่ตกลงไปให้ปลาในน้ำได้กินเท่านั้น เขากำลังแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา ทันทีที่ได้ทราบข่าวจากลูกน้องคนสนิท ว่าไม่อาจกำจัดหลานสาวที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีได้ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะกำจัดนาง ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจไยดีนาง ทว่ายามนี้กลับเรียกหานาง อยากให้นางกลับเข้ามาในตระกูลซิ่ว เขาเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการที่จะกำจัดนาง แต่ทว่ายามนี้นางได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีไปทั่วทั้งเมืองถิงฮวาแล้ว และคนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือนางในครานี้ก็คงจะเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่น“เพราะเจ้าผู้เดียว หากเจ้าไม่หลงเหลือทายาทไว้ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เขาพึมพำกล่าวโทษผู้เป็นน้องชายที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะเผากระดาษแผ่นเล็กที่ถูกลูกน้องคนสนิทส่งผ่านทางนกสื่อสารมา“จากนี้นางคงจะระวังตัวยิ่งขึ้นเป็นแน่ขอรับท่านใต้เท้า” บ่าวรับใช้คนสนิทแสด
“คารวะคุณชายเฉียว… ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ แล้วนี่คุณชายแวะมาที่หมู่บ้านซานฉีหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยคำนับเขาอย่างถ่อมตน พลางเอ่ยถามออกมา“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ของข้าอยากกินขนมเซาปิงที่ท่านยายของเจ้าทำ ข้าเลยแวะมาซื้อไปฝากนาง”“อ่อ… ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเข้าไปข้างในก่อนหนาเจ้าคะ”นางรู้ดีว่าคุณชายเฉียวนั้นเอ็นดูชิงเหมยในอดีต เพราะเขาคอยช่วยเหลือชิงเหมยในยามที่นางต้องพบเจอกับความยากลำบาก ยามที่นางถูกลูกหลานขุนนางที่อาศัยในหมู่บ้านซานฉีรังแก เขาก็มักจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือชิงเหมยอยู่เสมอ“เอ่อ… ที่สำนักศึกษาไม่ได้มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่” คุณชายหนุ่มที่ไม่ค่อยได้พบหน้าเด็กหญิง อยากจะรั้งนางให้อยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้อีกสักนิดจึงเอ่ยถามนางออกมา“ไม่เลยเจ้าค่ะ ที่สำนักศึกษาหวุนซีเป็นสำนักศึกษาที่ให้ความเท่าเทียมกับศิษย์ทุกคน ไม่แบ่งแยกชนชั้นใด พวกลูกหลานขุนนางก็มีน้อยกว่าสำนักศึกษาหลี่ซางเจ้าค่ะ” ชิงเหมยถึงกับงุนงงที่วันนี้เขาชวนนางคุยมากกว่าเดิมนางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยามที่พูดคุยกับเขา ต่างจากยามที่นางนั้นได้พูดคุยกับท่านพี่ชาง พี่ชายแปลกหน้าในวันแรกจนยามนี้กลายเป็นพี่ชายที่นางไม่
กำหนดการเดินทางกลับเมืองถิงฮวาของเยว่อู๋ชางต้องล่าช้าออกไปหลังจากนี้หนึ่งวัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่นางน้อยชิงชิงทำให้คุณชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เยว่อู๋ชางนั้นรู้สึกเป็นห่วงนางเพราะถึงแม้ว่านางจะฝึกฝนศิลปะวิชาการป้องกันตัว แต่นางก็ยังถือว่ายังเยาว์วัยยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายก็อรชรบอบบางเสียเหลือเกิน เขาอยากจะรู้ยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีผู้มาลอบทำร้ายนางเช่นนี้“คราวนี้เจ้าจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดชายชุดดำเหล่านั้นถึงได้มารังแกเจ้าได้” หลังจากที่เด็กหญิงบดสมุนไพรประคบบาดแผลให้แก่คนสนิทของเขาเสร็จ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยถามออกมา“ข้าได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าท่านลุงของข้าที่อยู่ในเมืองถิงฮวาเป็นผู้ส่งพวกเขามาให้พาข้ากลับไป พอข้าไม่ยอมพวกเขาจึงได้บังคับข้า” ชิงเหมยตอบออกมาตามตรง เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าพี่ชางนั้นเป็นผู้มีพระคุณของนาง อีกทั้งพี่ซู่ก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง“เจ้ามีลุงอยู่ที่เมืองถิงฮวาด้วยรึ”“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านยายของข้าไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของข้าให้ฟัง แต่ข้าเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสของรองแม่ทัพที่ตายในสนามรบเมื่อสิบสองปีก่อน”ชิง
ในระหว่างทางกลับเมืองถิงฮวา เยว่อู๋ชางกับจิ้นซู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนไม่น้อยกว่าสี่ตัวกำลังวิ่งมาเบื้องหน้า ชายป่าแห่งนี้เป็นทางลัดจากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดแต่ทว่าชายเหล่านี้กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นเดียวกันทั้งสี่ จิ้นซู่คอยระวังให้กับคุณชายรอง แต่ทว่าชายกลุ่มนี้กลับควบม้าผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคน นั่นก็หมายความว่าชายกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกส่งให้มาทำร้ายคุณชายรอง“พวกคนเหล่านั้นคือคนของผู้ใดน่ะ” เยว่อู่ชางเอ่ยถามจิ้นซู่หลังจากชายชุดดำทั้งสี่ควบม้าผ่านเขาไปแล้ว“ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเหมือนกันขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านซานฉี” หัวใจของเยว่อู๋ชางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าชิงชิงกลับเรือนของนางไปแล้วหรือยัง เพราะเส้นทางนี้ต้องไปเจอกับลานกว้างหลังหมู่บ้านก่อนที่ใด และนั่นก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้พบกับเด็กหญิงหากนางยังไม่กลับไป“จิ้นซู่ กลับไปหมู่บ้านซานฉีเดี๋ยวนี้” สั่งบ่าวข้างกายเสร็จม้าก็ถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทางทันทีเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กังวลใจเช่นนี้ แต่เขาได้แต่คิดว่าชิงชิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย จิ้นซู่ไม่ทั
หลังจากได้พบกับคุณชายหนุ่มที่มีนามว่าชานในวันนั้น ชิงเหมยก็ได้ฝึกฝนขี่ม้าและยิงธนูกับเขาอยู่แทบทุกวัน จนใกล้ถึงกำหนดการกลับเมืองถิงฮวาของพี่ชาย ชิงเหมยจึงได้ลงมือเย็บปักถุงหอมให้แก่เขา เพื่อเป็นการขอบน้ำใจที่หลายวันที่ผ่านมา เขาได้ถ่ายทอดวิชาขี่ม้าและยิงธนูให้แก่นาง อีกทั้งยังให้พี่ซู่ที่เป็นคนสนิทของเขาช่วยประลองฟันดาบกับนางอีกด้วย แม้ดาบที่ใช้นั้นจะเป็นดาบที่ทำมาจากไม้ก็ตาม“เหมยเอ๋อร์… ทำอันใดอยู่ลูก” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวที่กำลังนั่งเพ่งเล็งผ้าสีฟ้าอยู่แทบไม่ละสายตา“ท่านยาย… หลานไร้ฝีมือในการเย็บปักยิ่งนักเจ้าค่ะ” หากจะไปหาซื้อถุงหอมที่ตลาดก็ย่อมได้ แต่ทว่านางกลับอยากลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า“หืม… เหตุใดถึงอยากจะทำถุงหอมขึ้นมาเสียได้ล่ะ” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมายิ้มๆ“เอ่อ… คือหลานอยากจะทำเป็นที่ระลึกให้แก่สหายน่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับท่านยายว่านางกำลังจะทำถุงหอมเพื่อให้แก่บุรุษ“แล้วเหตุใดมิไปซื้อที่ร้านถุงหอมของท่านป้าเจียงเอาล่ะ เช่นนั้นไม่ง่ายกว่าหรือ” ซุนฉีรู้ดีว่าหลานสาวไร้ฝีมือในการเย็บปัก แม้นางจะมีสติปัญญาดีก็ตาม แต่ทว่านางกลับใจไม่เย็นดังเช่นสตรีทั่วไป
“ท่านอายุสิบห้าแล้วหรือเจ้าคะ”“ข้าดูไม่เหมือนคนที่อายุสิบห้าเช่นนั้นรึ” ชิงเหมยหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมาจิ้นซู่มองหน้าคุณชายรองสลับกับแม่นางน้อยตรงหน้าไปมาด้วยความงุนงง เพราะทั้งสองคนพูดคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยผู้นี้ยังใช้ไม้จี้ที่คอคุณชายรองของเขาอยู่เลย หากเป็นผู้อื่นบังอาจล่วงเกินคุณชายรองเช่นนี้ คุณชายรองของเขาคงจะไม่ปล่อยเอาไว้เป็นแน่ แต่กับแม่นางน้อยผู้นี้คงจะเป็นคนแรกที่ถูกยกเว้น เพราะนางเป็นคนที่คุณชายรองสนใจกว่าผู้ใด“จากนี้ไปให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชางก็พอ เข้าใจหรือไม่” เยว่อู๋ชางบอกเด็กหญิงออกมาหลังจากได้รู้ว่านางเยาว์วัยกว่าเขาเพียงสามปี“เจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราไปฝึกกันเถิดหนาเจ้าคะ เพราะข้าอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว" ชิงเหมยรับคำพลางชวนพี่ชายแปลกหน้าออกมา เยว่อู๋ชางรู้ดีว่าเด็กหญิงใช้เวลาฝึกอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้เพียงหนึ่งชั่วยามต่อวัน และนี่ก็คงจะล่วงเลยเข้าไปครึ่งชั่วยามแล้ว“เอาสิ วันนี้ข้าจะช่วยสอนเจ้ายิงธนูเอง” จิ้นซู่รีบวิ่งกลับไปยังม้าที่พวกเขาผูกเอาไว้ไม่ไกลจากลานกว้างนี้เท่าใดนัก ก่อนที่จะวิ่งกลับมาพร้อมกับธนูสองคันชิงเหมยรู้สึก
ลานกว้างหลังหมู่บ้านซานฉี หญ้าที่เคยขึ้นรกสูงยาวเท่าขาถูกถางให้เตียนเป็นวงกว้าง หญ้าแห้งถูกนำมาทำเป็นหุ่น ชิงเหมยเพิ่งจะได้พบกับลานแห่งนี้หลังจากเดินออกกำลังในยามว่าง วันนี้สำนักศึกษาปิดนางจึงมีโอกาสมาถากถางเตรียมสถานที่เพื่อใช้ฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวของตน เพราะพื้นที่ในเรือนที่นางและท่านยายอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างคับแคบ ทำให้นางไม่อาจเก็บซ่อนอาวุธลับของนางจากท่านยายได้ นางจึงต้องมองหาสถานที่ลับเผื่อเอาไว้“พี่หญิงชิงเหมยเจ้าคะ ท่านถางหญ้าตรงนี้มานานเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว ท่านไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของน้องสาวข้างเรือนที่อ้อนขอติดตามมาด้วยดังขึ้น“เหนื่อยสิ แต่ก็ถือเสียว่าได้ออกกำลัง” ชิงเหมยหันไปตอบเด็กหญิงที่นั่งกินขนมที่นางห่อมาอยู่อย่างเอร็ดอร่อย“ข้าขอช่วยท่านก็ไม่ยอม มิเช่นนั้นคงจะเสร็จไปนานแล้ว” ขนมหมดปากก็บ่นออกมา ชิงเหมยยิ้มเพียงเล็กน้อย มองเด็กหญิงด้วยแววตาเอ็นดู นางบอกแล้วว่าไม่ต้องตามมาแต่ทว่าหลิ่วหริ่งก็ไม่ยอมฟัง“เสร็จแล้ว… พี่ก็บอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องตามมา เพราะที่พี่กำลังทำนั้นหาใช่เรื่องสนุกสนานไม่”“ก็ถ้าท่านให้ข้าช่วยข้าก็จะได้สนุกสนาน แต่นี่ท่านให้ข้าเ
Comments