“ที่เขาบอกว่าเจ้าสลบไปสามคืนแล้วตื่นมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนี่คงไม่ใช่เรื่องโป้ปดสินะ” คุณหนูสกุลชิวเอ่ยถามออกมา
“ข้าน้อยมิได้เปลี่ยนไปหรอกเจ้าค่ะคุณหนู เพียงแต่ข้าน้อยได้เติบโตขึ้นเท่านั้นเอง” คำตอบของชิงเหมยเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี “คิกๆๆ เติบโตอันใดกัน เจ้าก็วัยเดียวกับพวกข้าที่ต้องเล่นสนุกสิ โอ้…ใช่สิ เจ้าดูอวบอ้วนขึ้นนะชิงเหมย หรือว่าเจ้ากินเยอะจนยายของเจ้าต้องบังคับให้เจ้าทำงานตอบแทนนาง” “ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ นี่ก็ถึงยามที่ข้าน้อยต้องถึงเรือนแล้ว แต่ว่าข้าน้อยยังคงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ ข้าน้อยยังมีงานที่ต้องทำ” ซุนเหมยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กๆ เหล่านี้ นางคำนับลาบรรดาคุณชายและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ก่อนที่นางจะรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทางกลับเรือนของท่านยายโดยที่ไม่ได้รั้งรอฟังคำอนุญาตจากเด็กๆ เหล่านี้อีก เด็กทุกคนมองตามนางไปด้วยสายตางุนงงและรู้สึกไม่สนุกด้วยที่เด็กหญิงที่เคยเป็นเด็กอ่อนแอยอมให้พวกตนรังแก วันนี้กลับไม่เกรงกลัวพวกตนเช่นทุกครา “ไม่สนุกเลย หาคนใหม่มาเล่นด้วยเถิด” คุณชายสกุลเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นั่นสิ!! มิจำเป็นต้องไปเล่นกับนางหรอก ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นยังมิรู้จักเจียมตน” คุณหนูรองสกุลจุนแสดงความคิดเห็นก่อนที่จะมองหาเด็กวัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด แม้จะมีสาวรับใช้และบ่าวรับใช้คอยติดตามดูแล แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าตำหนิคุณชายและคุณหนูของพวกตน เรือนของซุนฉีเดินจากตลาดซานฉีไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึง ชิงเหมยเดินไปยังโรงครัวแล้วหยิบจานชามที่ยังไม่ได้ล้างนำมาล้างจนสะอาด จากนั้นจึงเก็บเข้าที่แล้วออกจากโรงครัวมาอาบน้ำ นางรู้สึกเบื่อหน่านกับชีวิตวัยเยาว์เช่นนี้ เพราะหากนางตัวโตกว่านี้นางก็จะสามารถดูแลท่านยายได้ อีกทั้งเด็กเหล่านั้นไม่รู้ว่าจะกลับมาหาเรื่องแกล้งนางอีกคราใด “เหมยเอ๋อร์… น้าหลิงเอาปลามาให้” เสียงเคาะประตูหน้าเรือนดังขึ้น เด็กหญิงที่อาบน้ำแต่งกายเสร็จแล้วกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ใกล้ประตูเรือนจึงได้ยินเสียงของผู้มาเยือน นางจึงรีบลุกไปเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอกครั้นได้รู้ว่าคือเสียงของผู้ใด “ขอบน้ำใจท่านน้าหลิงยิ่งนักเจ้าค่ะ” ชิงเหมยรับปลาที่ท่านน้าจินหลิงที่เป็นเพื่อนบ้านกันส่งให้นาง “ขอบน้ำใจอันใดกัน ท่านยายของเจ้าก็แบ่งปันขนมให้หริ่งเอ๋อร์อยู่บ่อยครา” จินหลิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “แล้วนี่ท่านยายของเจ้ายังมิกลับมาจากตลาดอีกหรือ” “ยังเจ้าค่ะ นางให้ข้ากลับมาก่อน เพราะพรุ่งนี้ข้าจะต้องไปสอบเข้าสำนักศึกษาหวุนซีเจ้าค่ะ นางเลยให้ข้ามาอ่านตำรา” นางตอบหลิ่วจินหลิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ครั้นได้นึกว่าจะได้มีวิชาความรู้จากการได้ไปสำนักศึกษาภายในใจนางก็รู้สึกมีแต่ความยินดี “น่าเสียดายที่หริ่งเอ๋อร์เยาว์วัยกว่าเจ้า มิเช่นนั้นน้าจะให้นางไปสอบเข้าสำนักศึกษาพร้อมกับเจ้าแล้ว” หลิ่วหริ่งยามนี้วัยเพียงแปดปีซึ่งห่างจากชิงเหมยถึงสองปี ชิงเหมยยิ้มจางๆ ออกมา น้องหริ่งเอ๋อร์นั้นเป็นน้องสาวข้างเรือนที่นางเอ็นดู ตั้งแต่นางฟื้นมาในชีวิตนี้ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นมิตรที่ดีของชิงเหมยอย่างแท้จริง แม้นชีวิตนี้จะมีญาติมิตร คนใกล้ชิดหรือสหายเพียงน้อยนิด แต่ชีวิตการเป็นชิงเหมยนี้ก็ดีไม่น้อย เพราะที่นี่นั้นสงบปราศจากศึกสงครามต่างจากแผ่นดินที่นางจากมายิ่งนัก หลังจากท่านน้าหลิ่วจิงหลิงกลับไปได้ไม่นาน ท่านยายของชิงเหมยก็เดินทางกลับมาจากขายของที่ตลาดซานฉี ชิงเหมยอ่านตำราจนจดจำได้ทุกอย่าง ชาตินี้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีสติปัญญาดียิ่งนัก อ่านสิ่งใดหรือเรียนรู้อันใดก็จดจำได้หมด หรืออาจจะเป็นเพราะชิงเหมยคนเก่าเป็นเด็กที่มีสติปัญญาดีมาตั้งแต่เกิดแต่ขาดการสนับสนุนก็เป็นได้ “หนึ่งก้านธูปก่อนที่ท่านยายจะกลับมาถึงเรือน ท่านน้าหลิงนำปลามาฝากเจ้าค่ะ” เสียงเล็กบอกซุนฉีขณะที่นางเข้ามาในเรือนแล้วเห็นหลานสาวกำลังรดน้ำดอกไม้ที่นางปลูกไว้อยู่ “งั้นหรือ… แล้วนี่เจ้าอ่านตำราเข้าใจแล้วหรือถึงได้มารดน้ำดอกไม้ให้ยายอยู่นี่” “ข้าจดจำทุกอย่างในตำราได้แล้วเจ้าค่ะท่านยาย” ถึงแม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลานสาวแต่ซุนฉีก็ไม่อยากบังคับหลานสาว วัยนี้เป็นวัยที่กำลังเล่นสนุกแต่ทว่าชิงเหมยกลับดูเติบโตเกินวัย “ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้ยายทำปลาเปรี้ยวหวานให้กินเป็นมื้อเย็นดีหรือไม่” ชิงเหมยพยักหน้า ท่านยายนั้นทำอาหารได้รสเลิศยิ่งนัก หากเปิดร้านอาหารนางก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อย แต่ด้วยทรัพย์สมบัติของพวกนางจึงทำได้แค่เปิดร้านขายขนมเล็กเพียงเท่านั้น ซุนฉียิ้มให้หลานสาวก่อนที่นางจะเดินไปยังโรงครัว ชิงเหมยเข้าไปช่วยท่านยายของนางก่อไฟเพราะนางทำได้เพียงเท่านี้ แม้นางจะได้มาเกิดใหม่แต่ฝีมือการทำอาหารของนางนั้นก็ยังไม่ได้เรื่องเช่นชาติภพก่อน และชิงเหมยที่จากไปตั้งแต่เยาว์วัยก็คงจะทำอาหารไม่เป็นเช่นกัน หลังจากทำอาหารเสร็จสองยายหลานก็นั่งกินมื้อเย็นร่วมกัน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากซุนฉีที่เป็นยายของนางทำให้ชิงเหมยรู้สึกมีความสุข ชาติภพก่อนของนางนั้นต้องคอยหวาดระแวงกับการบุกมาของข้าศึก ทำให้ไม่อาจมานั่งกินข้าวอย่างสบายใจได้ ยามที่นางสิ้นใจนั้นนางไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นคนที่ร่ำรวยหรือเป็นลูกหลานของพวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ นางเพียงหวังว่าชีวิตใหม่ของนางจะมีคนที่รักนาง เอ็นดูนาง นั่งกินข้าว พูดคุย หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกัน เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว… ชีวิตใหม่นี้ก็ดีไม่น้อย แม้ต่อไปจะมีอุปสรรค นางก็จะฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อรักษารอยยิ้มของสตรีตรงหน้า จนกว่าจะสิ้นวาสนาต่อกันเสียงตีฆ้องร้องบอกยามเหม่าดังขึ้น ปลุกให้ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีลุกขึ้นจากที่นอน เสียงนกที่ร้องเรียกพวกพ้องให้ออกไปหากินดังก้องไปทั่วท้องนภาแม้ว่าแสงจันทรายังไม่ลาลับไปก็ตาม ผู้คนต่างก็ตื่นนอนหุงหาอาหารกันเฉกเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันสำคัญของชิงเหมย เพราะเป็นวันที่สำนักศึกษาหวุนซีจะเปิดรับศิษย์ที่สามารถผ่านการทดสอบของสำนักศึกษา ชิงเหมยนั้นเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในปีนี้ไป“อาบน้ำแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกมากินข้าวเถิดเหมยเอ๋อร์…”น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของท่านยายที่ดังมาจากด้านนอกทำให้ชิงเหมยยิ้มกว้างออกมา ท่านยายของนางนั้นช่างดีต่อนางยิ่งนัก ถึงแม้นจะไม่มีบิดามารดานางกลับไม่รู้สึกว่าตนเองโหยหาความรักเลย“เจ้าค่ะท่านยาย” ชิงเหมยที่กำลังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ที่ท่านยายเป็นผู้ตัดเย็บให้นางเพื่อไปสอบในวันนี้ตอบกลับทันทีไม่ถึงหนึ่งเค่อเด็กหญิงในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนก็เดินออกมาจากห้องนอน โต๊ะอาหารกลางเรือนมีอาหารสามถึงสี่อย่างวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งผัดผัก เกี๊ยวผัก และไก่สับหน่อไม้ฉีก ซุนฉีตักข้าวให้หลานสาวก่อนที่นางจะตักให้ตนเองเช่นกัน สองยายหลานนั่งกินมื้อเช้าร่วมกัน ก
แต่ลำดับที่สิบทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่สิบคือชิงเหมย หลานสาวเพียงคนเดียวของซุนฉี แม่ค้าขายขนมในตลาดเมืองซานฉีที่เป็นที่รู้จักว่าทำขนมได้รสเลิศ แม้ฐานะของซุนฉีจะไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่นางก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวได้อดอยาก ภาพที่เห็นจนชินตาของชาวบ้านซานฉีก็คือภาพที่ชิงเหมยช่วยยายของนางขายขนมที่ร้าน และเป็นผู้ลงมือปั้นซาลาเปาเองกับมือ“ท่านยาย… ข้าสอบได้ลำดับที่สิบเจ้าค่ะ ข้าได้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหวุนซีแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความตื้นตันใจที่ความพยายามของนางไม่สูญเปล่า“หลานยาย… ยายภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”ซุนฉีกล่าวออกมาทั้งน้ำตาครั้นได้ยินหลานเดินมาบอกลำดับที่นางสอบได้ในครานี้ แม้นนางจะไม่คาดหวังว่าหลานจะสอบได้ลำดับดีๆ แต่พอได้ยินว่าหลานสาวสอบติดอันดับสิบก็ทำให้นางรู้สึกยินดีจนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองยายหลานสวมกอดกันด้วยความดีใจ“ข้ายินดีกับเจ้าด้วยเหมยเอ๋อร์” หนึ่งในแม่ค้าที่พาบุตรหลานมาสอบเข้าที่สำนักศึกษาแห่งนี้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มยินดี“ขอบน้ำใจท่านน้าซุ่ยหรูเจ้าค่ะ”“สอบได้ลำดับที่สิบนี่มิใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ลานหน้าเรือนจวนหลง ภายในสำนักศึกษาหวุนซีศิษย์ใหม่ทั้งชายและหญิงนับร้อยกำลังยืนรอคอยท่านอาจารย์มาแบ่งห้องให้แก่พวกตน และดูเหมือนว่าชิงเหมยจะได้รับความสนใจจนถูกรุมล้อมจากศิษย์ใหม่หลายๆ คน เพราะนางมีชื่อเสียงตั้งแต่วันที่ประกาศผลการสอบเข้าสำนักศึกษา ในฐานะที่นางเป็นเด็กหญิงหนึ่งเดียวที่สอบติดหนึ่งในสิบ"เจ้ามีนามว่าชิงเหมยใช่หรือไม่""ใช่… ข้ามีนามว่าชิงเหมย" ชิงเหมยตอบกลับพลางมองใบหน้าเล็กของอีกฝ่ายที่ดูเป็นมิตร"ข้ามีนามว่าหลูซิน เป็นลูกสาวเจ้าของร้านเหลาในตลาดซานฉี ข้าเคยเห็นเจ้าไปช่วยยายของเจ้าขายขนมอยู่บ่อยครา แต่ข้ามิอาจไปทักทายเจ้าได้ เพราะข้าเองก็ต้องช่วยท่านพ่อท่านแม่ขายอาหารในร้านเช่นกัน" เด็กหญิงที่มีนามว่าหลูซินแนะนำตัวเองพลางกล่าวถึงเรื่องที่นางเคยได้พบเจอกับสหายใหม่ออกมา"อ๋อ... ข้าเคยเห็นเจ้าเช่นกัน ร้านของพ่อแม่เจ้ามีลูกค้าไปเยือนมิเคยขาด รสชาติอาหารคงจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใช่หรือไม่"ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชิงเหมยนั้นสำรวจรอบตลาดจนนางนั้นพอจะจดจำทุกร้านได้ และร้านเหลาที่มีลูกค้าแน่นร้านทุกวันก็คือร้านของตระกูลหลิว ซึ่งเป็นตระกูลของหลูซินสหายใหม่นางนี้นี่เอง"อื้อ... ท่านแ
“ชิงเหมย ข้าเห็นเจ้าทักทายผู้นั้นผู้นี้ตลอดทางที่พวกเราเดินกลับมาจากสำนักศึกษาเลย เจ้ารู้จักพวกเขาด้วยหรือ”“ข้าก็รู้จักไม่ทุกคนหรอก แต่ว่าหากพวกเขาทักทายข้ามา ข้าก็มิมีเหตุผลอันใดให้ต้องเมินพวกเขานี่ เจ้าว่าจริงหรือไม่” หลูซินพยักหน้าเห็นด้วยแต่ที่นางไม่เข้าใจคือนางก็ทำงานช่วยท่านพ่อท่านแม่ของนางขายของอยู่ภายในร้านเหลา ลูกค้าก็มีมากมายไม่ต่างจากร้านขนมของยายชิงเหมย ทว่าเหตุใดผู้คนถึงมิได้ทักทายนางมากเช่นเดียวกับสหาย หรืออาจจะเป็นเพราะคนพวกนี้จดจำใบหน้าของนางมิได้“อาจจะเป็นเพราะข้าเรียกลูกค้าให้ท่านยายอยู่หน้าร้านบ่อยๆ คงจะทำให้พวกเขาจดจำข้าได้แหละมั้ง รีบไปกันเถิด” หลิวหลูซินเข้าใจได้ในทันทีที่สหายบอกคงจะเป็นเช่นนั้นเพราะถึงนางจะช่วยท่านพ่อท่านแม่ขายของที่ร้าน นางก็มิได้ออกมารอต้อนรับลูกค้าที่ด้านหน้าร้าน หรือเรียกลูกค้าเข้าร้านเช่นเดียวกับชิงเหมย เด็กหญิงทั้งสองหยุดพูดคุยกันแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปยังตลาดซานฉีซึ่งเป็นที่ทำมาหากินของตระกูลของพวกนางซุนฉีกำลังเตรียมผสมแป้งเพื่อที่จะปั้นซาลาเปาและขนมเซาปิงอีกรอบ เพราะที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นนางได้ขายไปจนหมดแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะหยิบแป้งมาเ
ควันที่ลอยโขมงขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนในยามเช้า บ่งบอกว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นได้ตื่นนอน และเริ่มที่จะหุงหาอาหารในเช้าวันใหม่แล้ว ร่างอวบอิ่มของสตรีวัยสี่สิบปลายๆ กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ด้านหน้าเตาไฟ ซุนฉีหันไปมองร่างเล็กของหลานสาวที่ถึงแม้จะได้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาแล้ว แต่ทว่านางยังคงไม่ละทิ้งหน้าที่ที่นางเคยทำตลอดมา ใบหน้าเล็กเปื้อนแป้งที่ข้างแก้มเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นยายได้ไม่ยากนัก“ดูซิ… หน้าตามอมแมมหมดแล้วเหมยเอ๋อร์…” บอกพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางขึ้นมาเช็ดใบหน้าให้หลานสาวอย่างทะนุถนอม“ท่านยาย วันนี้มื้อกลางวันหลานอยากกินหมูราดน้ำแดงเช่นเดียวกับเมื่อวานเจ้าค่ะ ก่อนไปสำนักศึกษาท่านยายช่วยทำให้หลานสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ”“ได้สิเหมยเอ๋อร์... หมูราดน้ำแดงนั้นทำไม่ยาก ถ้าเช่นนั้นเจ้าปั้นแป้งกับยัดไส้ซาลาเปารอยายก่อนเถิด ประเดี๋ยวยายจะรีบไปทำมื้อเช้า กับหมูราดน้ำแดงสำหรับมื้อกลางวันให้เจ้า”“เจ้าค่ะ”ชิงเหมยยิ้มออกมาครั้นท่านยายยินดีที่จะทำอาหารที่นางอยากกินให้ด้วยความเต็มใจ นางรักท่านยายซุนฉีเหลือเกิน และรู้สึกว่านางนั้นยังมีโชคอยู่บ้างที่ได้มาเกิดใหม่ในชาติภพนี้ เพราะนอกจากไม่มีข้าศึกมารุ
หลังจากเลิกเรียนศิษย์ทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับเรือนของตนเฉกเช่นทุกวัน ชิงเหมยกลับไปพร้อมกับหลูซินเพราะนางจะต้องแวะไปช่วยท่านยายที่ตลาด ครั้นไปถึงตลาดแล้วท่านยายของนางกลับบอกให้นางกลับเรือนไปก่อน เด็กหญิงจึงยินยอมที่จะทำตามความต้องการของท่านยายแต่โดยดี จะได้อาศัยช่วงยามที่ท่านยายยังอยู่ตลาด ฝึกฝนเพลงดาบของนางอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ด้วย“เหมยเอ๋อร์… กำลังจะกลับเรือนหรือ” ในระหว่างทางขณะที่นางกำลังเยื้องย่างกลับเรือน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้านค้าข้างทางก็เอ่ยทักทายนาง“เจ้าค่ะท่านน้า… วันนี้ขายดีหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยหันไปตอบพลางทักทายด้วยใบหน้าที่สดใสสมวัย“ก็พอขายได้… อะนี่เอาไปกินสิ กว่าท่านยายของเจ้าจะกลับเรือนก็อีกตั้งหนึ่งชั่วยาม” ห่อมันเผาถูกส่งมาให้ ชิงเหมยคำนับ“ขอบน้ำใจท่านน้ายิ่งนักเจ้าค่ะ อันที่จริงท่านยายก็เอาซาลาเปามาให้ข้าเช่นกัน” เด็กหญิงกล่าวออกมายิ้มๆ“เจ้าน่ะ… อยู่ในวัยกำลังโต ต้องกินให้มากๆ หน่อย จะได้แข็งแรง” เสวียอี๋บอกชิงเหมยด้วยน้ำเสียงเอ็นดูนางเห็นเด็กหญิงมาตั้งแต่เด็ก ชิงเหมยนั้นขยันเป็นเด็กดีและเชื่อฟังท่านยายของนางเป็นอย่างดี เสวียอี๋ยังนึกเสียดายที่เด็กหญิงไม่ได้เติบ
กลิ่นหอมของอาหารลอยมาจากในโรงครัวในยามโหย่วแทนที่กลิ่นของควันไฟ ชิงเหมยเดินเข้าไปดูท่านยายของนางที่กำลังทำอาหารจนส่งกลิ่นหอมออกมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะของนาง ยามที่นางกลับมาจากสำนักศึกษา นางก็ได้กินแค่เพียงซาลาเปากับมันเผาเท่านั้น จึงทำให้ยามนี้รู้สึกหิวอยู่ไม่น้อย“ท่านยาย… มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามซุนฉีออกมา“อืม… เจ้าช่วยยกอาหารพวกนี้ออกไปวางที่โต๊ะรอยายก่อนก็แล้วกัน เหลืออีกหนึ่งอย่างก็จะเสร็จแล้ว” ซุนฉีหันไปตอบหลานสาว ชิงเหมยมองกับข้าวในจานก็ถึงกับกลืนน้ำลาย ท่านยายของนางมีฝีมือการทำอาหารไม่แพ้ผู้ใด หากเปิดร้านเหลาแทนการเปิดร้านขนมนางก็คิดว่าคงจะขายดีไม่แพ้กันสองยายหลานนั่งกินมื้อเย็นท่ามกลางแสงของโคมไฟที่รายล้อมรอบบริเวณโต๊ะที่พวกนางใช้นั่งกินอาหารร่วมกัน ชิงเหมยกินข้าวไปถึงสองชาม ซุนฉียิ้มออกมาด้วยความพอใจที่หลานสาวเป็นเด็กที่ชอบกิน แต่ถึงแม้ว่าชิงเหมยจะกินมากถึงเพียงใด ร่างกายของนางก็ไม่อ้วนท้วมเสียที ที่เขาว่ากันว่าเด็กวัยนี้เป็นเด็กกำลังโตคงจะไม่เกินจริง“เหมยเอ๋อร์…เจ้าไปสำนักศึกษาวันนี้มีเรื่องอันใดมาเล่าให้ยายฟังหรือไม่”คำถามเช่นเดียวกับทุกวันตั้งแ
“ไม่มีผู้ใดที่จะเก่งตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ใดกันเล่าที่จะจดจำบทกวีเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ อาจารย์เชื่อว่าพวกเจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่เกินกว่าครึ่งนั้นมิอาจจดจำบทกวีที่อาจารย์สั่งให้ไปท่องจำได้หมดทุกบท อาจารย์พูดถูกหรือไม่” อาจารย์ลู่อวิ๋นกล่าวสั่งสอนศิษย์ที่กำลังหัวเราะให้สหายร่วมห้องออกมาให้ได้คิด“พวกศิษย์ขออภัยเจ้าค่ะ” ผู้ที่หัวเราะกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ชิงเหมย ซูฉี และหลูซินไม่ได้หัวเราะกับสหายร่วมห้อง พวกนางจึงนั่งเงียบๆ“เอาล่ะ ชีโยว วันนี้อาจารย์ถือว่าเจ้าทำได้ดีแล้วล่ะ นั่งลงได้" อาจารย์ลู่อวิ๋นหันไปบอกลูกศิษย์ที่ยังคงยืนอยู่“เจ้าค่ะท่านอาจารย์” ชีโยวศิษย์คนแรกของเรือนเหมยฮวาตอบพลางคำนับท่านอาจารย์แล้วนั่งลงและก็เป็นดังเช่นที่อาจารย์ลู่อวิ๋นได้กล่าวเอาไว้ เพราะมีทั้งผู้ที่สามารถท่องบทกวีออกมาได้จนจบบท และมีทั้งผู้ที่ท่องออกมาได้เพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ เขาไม่ได้คาดหวังกับศิษย์ใหม่เหล่านี้มากนัก เพราะเพิ่งจะเข้ามาสำนักศึกษาได้ไม่นาน บางคนก็มีพื้นฐาน บางคนก็เพิ่งจะเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับบทกวี แต่ทว่าเขากลับรู้สึกคาดหวังกับชิงเหมยเพราะจากที่สังเกตดูนางเมื่อวาน นางนั้นท่องได้เป
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร
ณ จวนตระกูลซิ่ว เมืองถิงฮวาศาลาริมน้ำด้านหลังจวน ใต้เท้าซิ่วยืนตระหง่านมองผิวน้ำที่แน่นิ่ง จะไหวติงยามที่มีใบไม้ร่วงหล่นลงไป หรือไม่ก็พวกแมลงที่ตกลงไปให้ปลาในน้ำได้กินเท่านั้น เขากำลังแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา ทันทีที่ได้ทราบข่าวจากลูกน้องคนสนิท ว่าไม่อาจกำจัดหลานสาวที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีได้ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะกำจัดนาง ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจไยดีนาง ทว่ายามนี้กลับเรียกหานาง อยากให้นางกลับเข้ามาในตระกูลซิ่ว เขาเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการที่จะกำจัดนาง แต่ทว่ายามนี้นางได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีไปทั่วทั้งเมืองถิงฮวาแล้ว และคนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือนางในครานี้ก็คงจะเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่น“เพราะเจ้าผู้เดียว หากเจ้าไม่หลงเหลือทายาทไว้ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เขาพึมพำกล่าวโทษผู้เป็นน้องชายที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะเผากระดาษแผ่นเล็กที่ถูกลูกน้องคนสนิทส่งผ่านทางนกสื่อสารมา“จากนี้นางคงจะระวังตัวยิ่งขึ้นเป็นแน่ขอรับท่านใต้เท้า” บ่าวรับใช้คนสนิทแสด
“คารวะคุณชายเฉียว… ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ แล้วนี่คุณชายแวะมาที่หมู่บ้านซานฉีหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยคำนับเขาอย่างถ่อมตน พลางเอ่ยถามออกมา“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ของข้าอยากกินขนมเซาปิงที่ท่านยายของเจ้าทำ ข้าเลยแวะมาซื้อไปฝากนาง”“อ่อ… ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเข้าไปข้างในก่อนหนาเจ้าคะ”นางรู้ดีว่าคุณชายเฉียวนั้นเอ็นดูชิงเหมยในอดีต เพราะเขาคอยช่วยเหลือชิงเหมยในยามที่นางต้องพบเจอกับความยากลำบาก ยามที่นางถูกลูกหลานขุนนางที่อาศัยในหมู่บ้านซานฉีรังแก เขาก็มักจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือชิงเหมยอยู่เสมอ“เอ่อ… ที่สำนักศึกษาไม่ได้มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่” คุณชายหนุ่มที่ไม่ค่อยได้พบหน้าเด็กหญิง อยากจะรั้งนางให้อยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้อีกสักนิดจึงเอ่ยถามนางออกมา“ไม่เลยเจ้าค่ะ ที่สำนักศึกษาหวุนซีเป็นสำนักศึกษาที่ให้ความเท่าเทียมกับศิษย์ทุกคน ไม่แบ่งแยกชนชั้นใด พวกลูกหลานขุนนางก็มีน้อยกว่าสำนักศึกษาหลี่ซางเจ้าค่ะ” ชิงเหมยถึงกับงุนงงที่วันนี้เขาชวนนางคุยมากกว่าเดิมนางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยามที่พูดคุยกับเขา ต่างจากยามที่นางนั้นได้พูดคุยกับท่านพี่ชาง พี่ชายแปลกหน้าในวันแรกจนยามนี้กลายเป็นพี่ชายที่นางไม่
กำหนดการเดินทางกลับเมืองถิงฮวาของเยว่อู๋ชางต้องล่าช้าออกไปหลังจากนี้หนึ่งวัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่นางน้อยชิงชิงทำให้คุณชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เยว่อู๋ชางนั้นรู้สึกเป็นห่วงนางเพราะถึงแม้ว่านางจะฝึกฝนศิลปะวิชาการป้องกันตัว แต่นางก็ยังถือว่ายังเยาว์วัยยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายก็อรชรบอบบางเสียเหลือเกิน เขาอยากจะรู้ยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีผู้มาลอบทำร้ายนางเช่นนี้“คราวนี้เจ้าจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดชายชุดดำเหล่านั้นถึงได้มารังแกเจ้าได้” หลังจากที่เด็กหญิงบดสมุนไพรประคบบาดแผลให้แก่คนสนิทของเขาเสร็จ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยถามออกมา“ข้าได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าท่านลุงของข้าที่อยู่ในเมืองถิงฮวาเป็นผู้ส่งพวกเขามาให้พาข้ากลับไป พอข้าไม่ยอมพวกเขาจึงได้บังคับข้า” ชิงเหมยตอบออกมาตามตรง เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าพี่ชางนั้นเป็นผู้มีพระคุณของนาง อีกทั้งพี่ซู่ก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง“เจ้ามีลุงอยู่ที่เมืองถิงฮวาด้วยรึ”“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านยายของข้าไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของข้าให้ฟัง แต่ข้าเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสของรองแม่ทัพที่ตายในสนามรบเมื่อสิบสองปีก่อน”ชิง
ในระหว่างทางกลับเมืองถิงฮวา เยว่อู๋ชางกับจิ้นซู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนไม่น้อยกว่าสี่ตัวกำลังวิ่งมาเบื้องหน้า ชายป่าแห่งนี้เป็นทางลัดจากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดแต่ทว่าชายเหล่านี้กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นเดียวกันทั้งสี่ จิ้นซู่คอยระวังให้กับคุณชายรอง แต่ทว่าชายกลุ่มนี้กลับควบม้าผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคน นั่นก็หมายความว่าชายกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกส่งให้มาทำร้ายคุณชายรอง“พวกคนเหล่านั้นคือคนของผู้ใดน่ะ” เยว่อู่ชางเอ่ยถามจิ้นซู่หลังจากชายชุดดำทั้งสี่ควบม้าผ่านเขาไปแล้ว“ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเหมือนกันขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านซานฉี” หัวใจของเยว่อู๋ชางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าชิงชิงกลับเรือนของนางไปแล้วหรือยัง เพราะเส้นทางนี้ต้องไปเจอกับลานกว้างหลังหมู่บ้านก่อนที่ใด และนั่นก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้พบกับเด็กหญิงหากนางยังไม่กลับไป“จิ้นซู่ กลับไปหมู่บ้านซานฉีเดี๋ยวนี้” สั่งบ่าวข้างกายเสร็จม้าก็ถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทางทันทีเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กังวลใจเช่นนี้ แต่เขาได้แต่คิดว่าชิงชิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย จิ้นซู่ไม่ทั
หลังจากได้พบกับคุณชายหนุ่มที่มีนามว่าชานในวันนั้น ชิงเหมยก็ได้ฝึกฝนขี่ม้าและยิงธนูกับเขาอยู่แทบทุกวัน จนใกล้ถึงกำหนดการกลับเมืองถิงฮวาของพี่ชาย ชิงเหมยจึงได้ลงมือเย็บปักถุงหอมให้แก่เขา เพื่อเป็นการขอบน้ำใจที่หลายวันที่ผ่านมา เขาได้ถ่ายทอดวิชาขี่ม้าและยิงธนูให้แก่นาง อีกทั้งยังให้พี่ซู่ที่เป็นคนสนิทของเขาช่วยประลองฟันดาบกับนางอีกด้วย แม้ดาบที่ใช้นั้นจะเป็นดาบที่ทำมาจากไม้ก็ตาม“เหมยเอ๋อร์… ทำอันใดอยู่ลูก” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวที่กำลังนั่งเพ่งเล็งผ้าสีฟ้าอยู่แทบไม่ละสายตา“ท่านยาย… หลานไร้ฝีมือในการเย็บปักยิ่งนักเจ้าค่ะ” หากจะไปหาซื้อถุงหอมที่ตลาดก็ย่อมได้ แต่ทว่านางกลับอยากลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า“หืม… เหตุใดถึงอยากจะทำถุงหอมขึ้นมาเสียได้ล่ะ” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมายิ้มๆ“เอ่อ… คือหลานอยากจะทำเป็นที่ระลึกให้แก่สหายน่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับท่านยายว่านางกำลังจะทำถุงหอมเพื่อให้แก่บุรุษ“แล้วเหตุใดมิไปซื้อที่ร้านถุงหอมของท่านป้าเจียงเอาล่ะ เช่นนั้นไม่ง่ายกว่าหรือ” ซุนฉีรู้ดีว่าหลานสาวไร้ฝีมือในการเย็บปัก แม้นางจะมีสติปัญญาดีก็ตาม แต่ทว่านางกลับใจไม่เย็นดังเช่นสตรีทั่วไป
“ท่านอายุสิบห้าแล้วหรือเจ้าคะ”“ข้าดูไม่เหมือนคนที่อายุสิบห้าเช่นนั้นรึ” ชิงเหมยหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมาจิ้นซู่มองหน้าคุณชายรองสลับกับแม่นางน้อยตรงหน้าไปมาด้วยความงุนงง เพราะทั้งสองคนพูดคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยผู้นี้ยังใช้ไม้จี้ที่คอคุณชายรองของเขาอยู่เลย หากเป็นผู้อื่นบังอาจล่วงเกินคุณชายรองเช่นนี้ คุณชายรองของเขาคงจะไม่ปล่อยเอาไว้เป็นแน่ แต่กับแม่นางน้อยผู้นี้คงจะเป็นคนแรกที่ถูกยกเว้น เพราะนางเป็นคนที่คุณชายรองสนใจกว่าผู้ใด“จากนี้ไปให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชางก็พอ เข้าใจหรือไม่” เยว่อู๋ชางบอกเด็กหญิงออกมาหลังจากได้รู้ว่านางเยาว์วัยกว่าเขาเพียงสามปี“เจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราไปฝึกกันเถิดหนาเจ้าคะ เพราะข้าอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว" ชิงเหมยรับคำพลางชวนพี่ชายแปลกหน้าออกมา เยว่อู๋ชางรู้ดีว่าเด็กหญิงใช้เวลาฝึกอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้เพียงหนึ่งชั่วยามต่อวัน และนี่ก็คงจะล่วงเลยเข้าไปครึ่งชั่วยามแล้ว“เอาสิ วันนี้ข้าจะช่วยสอนเจ้ายิงธนูเอง” จิ้นซู่รีบวิ่งกลับไปยังม้าที่พวกเขาผูกเอาไว้ไม่ไกลจากลานกว้างนี้เท่าใดนัก ก่อนที่จะวิ่งกลับมาพร้อมกับธนูสองคันชิงเหมยรู้สึก
ลานกว้างหลังหมู่บ้านซานฉี หญ้าที่เคยขึ้นรกสูงยาวเท่าขาถูกถางให้เตียนเป็นวงกว้าง หญ้าแห้งถูกนำมาทำเป็นหุ่น ชิงเหมยเพิ่งจะได้พบกับลานแห่งนี้หลังจากเดินออกกำลังในยามว่าง วันนี้สำนักศึกษาปิดนางจึงมีโอกาสมาถากถางเตรียมสถานที่เพื่อใช้ฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวของตน เพราะพื้นที่ในเรือนที่นางและท่านยายอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างคับแคบ ทำให้นางไม่อาจเก็บซ่อนอาวุธลับของนางจากท่านยายได้ นางจึงต้องมองหาสถานที่ลับเผื่อเอาไว้“พี่หญิงชิงเหมยเจ้าคะ ท่านถางหญ้าตรงนี้มานานเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว ท่านไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของน้องสาวข้างเรือนที่อ้อนขอติดตามมาด้วยดังขึ้น“เหนื่อยสิ แต่ก็ถือเสียว่าได้ออกกำลัง” ชิงเหมยหันไปตอบเด็กหญิงที่นั่งกินขนมที่นางห่อมาอยู่อย่างเอร็ดอร่อย“ข้าขอช่วยท่านก็ไม่ยอม มิเช่นนั้นคงจะเสร็จไปนานแล้ว” ขนมหมดปากก็บ่นออกมา ชิงเหมยยิ้มเพียงเล็กน้อย มองเด็กหญิงด้วยแววตาเอ็นดู นางบอกแล้วว่าไม่ต้องตามมาแต่ทว่าหลิ่วหริ่งก็ไม่ยอมฟัง“เสร็จแล้ว… พี่ก็บอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องตามมา เพราะที่พี่กำลังทำนั้นหาใช่เรื่องสนุกสนานไม่”“ก็ถ้าท่านให้ข้าช่วยข้าก็จะได้สนุกสนาน แต่นี่ท่านให้ข้าเ
“ศิษย์ทั้งสามนี้ ดูพวกนางรักใคร่กันดีนะขอรับ” อาจารย์หยวนซู่กล่าวขึ้นมาครั้นได้มองเห็นศิษย์หญิงทั้งสามสวมกอดกันกลม“มิตรภาพที่จริงใจอย่างแท้จริงนั้นหายาก ข้าเชื่อ... ถึงแม้นว่าพวกนางจะยังเด็ก แต่ก็ฉลาดพอที่จะรู้จักแยกแยะว่าผู้ใดคือมิตรแท้ ผู้ใดคือมิตรไม่แท้” อาจารย์ลู่อวิ๋นแสดงความคิดเห็นออกมา“แต่ที่ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือคุณหนูรองสกุลกวง เหตุใดนางถึงได้เป็นเด็กเช่นนั้นไปได้ ทั้งที่ตนเองนั้นสูงศักดิ์กว่าผู้ใดแท้ๆ กลับคิดทำลายสหายร่วมสำนักจากการใช้ลมปากของคน แผนการลึกล้ำเช่นนี้มันดูจะเกินวัยของนางที่จะคิดได้ด้วยตัวเองหรือไม่เจ้าคะ” อาจารย์เซียงหลินนึกสงสัย“ผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหละที่อยู่เบื้องหลังของเด็กเหล่านี้ เด็กก็เปรียบเสมือนกับผ้าขาวที่ผู้ใหญ่จะแต่งแต้มสีใดลงไปก็ได้”อาจารย์หวุนกล่าวออกมา เขาเชื่อว่านิสัยของเด็กแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับการซึมซับมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว และที่กวงชีเยว่เป็นเช่นนี้ก็คงจะเรียนรู้มาจากผู้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย“พวกเราเป็นอาจารย์ ก็คงต้องช่วยอบรมสั่งสอนพวกนางต่อไป พวกเจ้าก็คอยสอดส่องดูแลพวกนาง อย่าละเลยต่อผู้ใดล่ะ เด็กพวกนี้อยู่ในวัยกำลังเติบโ