“ท่านอายุสิบห้าแล้วหรือเจ้าคะ”“ข้าดูไม่เหมือนคนที่อายุสิบห้าเช่นนั้นรึ” ชิงเหมยหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมาจิ้นซู่มองหน้าคุณชายรองสลับกับแม่นางน้อยตรงหน้าไปมาด้วยความงุนงง เพราะทั้งสองคนพูดคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยผู้นี้ยังใช้ไม้จี้ที่คอคุณชายรองของเขาอยู่เลย หากเป็นผู้อื่นบังอาจล่วงเกินคุณชายรองเช่นนี้ คุณชายรองของเขาคงจะไม่ปล่อยเอาไว้เป็นแน่ แต่กับแม่นางน้อยผู้นี้คงจะเป็นคนแรกที่ถูกยกเว้น เพราะนางเป็นคนที่คุณชายรองสนใจกว่าผู้ใด“จากนี้ไปให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชางก็พอ เข้าใจหรือไม่” เยว่อู๋ชางบอกเด็กหญิงออกมาหลังจากได้รู้ว่านางเยาว์วัยกว่าเขาเพียงสามปี“เจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราไปฝึกกันเถิดหนาเจ้าคะ เพราะข้าอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว" ชิงเหมยรับคำพลางชวนพี่ชายแปลกหน้าออกมา เยว่อู๋ชางรู้ดีว่าเด็กหญิงใช้เวลาฝึกอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้เพียงหนึ่งชั่วยามต่อวัน และนี่ก็คงจะล่วงเลยเข้าไปครึ่งชั่วยามแล้ว“เอาสิ วันนี้ข้าจะช่วยสอนเจ้ายิงธนูเอง” จิ้นซู่รีบวิ่งกลับไปยังม้าที่พวกเขาผูกเอาไว้ไม่ไกลจากลานกว้างนี้เท่าใดนัก ก่อนที่จะวิ่งกลับมาพร้อมกับธนูสองคันชิงเหมยรู้สึก
หลังจากได้พบกับคุณชายหนุ่มที่มีนามว่าชานในวันนั้น ชิงเหมยก็ได้ฝึกฝนขี่ม้าและยิงธนูกับเขาอยู่แทบทุกวัน จนใกล้ถึงกำหนดการกลับเมืองถิงฮวาของพี่ชาย ชิงเหมยจึงได้ลงมือเย็บปักถุงหอมให้แก่เขา เพื่อเป็นการขอบน้ำใจที่หลายวันที่ผ่านมา เขาได้ถ่ายทอดวิชาขี่ม้าและยิงธนูให้แก่นาง อีกทั้งยังให้พี่ซู่ที่เป็นคนสนิทของเขาช่วยประลองฟันดาบกับนางอีกด้วย แม้ดาบที่ใช้นั้นจะเป็นดาบที่ทำมาจากไม้ก็ตาม“เหมยเอ๋อร์… ทำอันใดอยู่ลูก” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวที่กำลังนั่งเพ่งเล็งผ้าสีฟ้าอยู่แทบไม่ละสายตา“ท่านยาย… หลานไร้ฝีมือในการเย็บปักยิ่งนักเจ้าค่ะ” หากจะไปหาซื้อถุงหอมที่ตลาดก็ย่อมได้ แต่ทว่านางกลับอยากลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า“หืม… เหตุใดถึงอยากจะทำถุงหอมขึ้นมาเสียได้ล่ะ” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมายิ้มๆ“เอ่อ… คือหลานอยากจะทำเป็นที่ระลึกให้แก่สหายน่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับท่านยายว่านางกำลังจะทำถุงหอมเพื่อให้แก่บุรุษ“แล้วเหตุใดมิไปซื้อที่ร้านถุงหอมของท่านป้าเจียงเอาล่ะ เช่นนั้นไม่ง่ายกว่าหรือ” ซุนฉีรู้ดีว่าหลานสาวไร้ฝีมือในการเย็บปัก แม้นางจะมีสติปัญญาดีก็ตาม แต่ทว่านางกลับใจไม่เย็นดังเช่นสตรีทั่วไป
ในระหว่างทางกลับเมืองถิงฮวา เยว่อู๋ชางกับจิ้นซู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนไม่น้อยกว่าสี่ตัวกำลังวิ่งมาเบื้องหน้า ชายป่าแห่งนี้เป็นทางลัดจากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดแต่ทว่าชายเหล่านี้กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นเดียวกันทั้งสี่ จิ้นซู่คอยระวังให้กับคุณชายรอง แต่ทว่าชายกลุ่มนี้กลับควบม้าผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคน นั่นก็หมายความว่าชายกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกส่งให้มาทำร้ายคุณชายรอง“พวกคนเหล่านั้นคือคนของผู้ใดน่ะ” เยว่อู่ชางเอ่ยถามจิ้นซู่หลังจากชายชุดดำทั้งสี่ควบม้าผ่านเขาไปแล้ว“ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเหมือนกันขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านซานฉี” หัวใจของเยว่อู๋ชางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าชิงชิงกลับเรือนของนางไปแล้วหรือยัง เพราะเส้นทางนี้ต้องไปเจอกับลานกว้างหลังหมู่บ้านก่อนที่ใด และนั่นก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้พบกับเด็กหญิงหากนางยังไม่กลับไป“จิ้นซู่ กลับไปหมู่บ้านซานฉีเดี๋ยวนี้” สั่งบ่าวข้างกายเสร็จม้าก็ถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทางทันทีเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กังวลใจเช่นนี้ แต่เขาได้แต่คิดว่าชิงชิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย จิ้นซู่ไม่ทั
กำหนดการเดินทางกลับเมืองถิงฮวาของเยว่อู๋ชางต้องล่าช้าออกไปหลังจากนี้หนึ่งวัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่นางน้อยชิงชิงทำให้คุณชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เยว่อู๋ชางนั้นรู้สึกเป็นห่วงนางเพราะถึงแม้ว่านางจะฝึกฝนศิลปะวิชาการป้องกันตัว แต่นางก็ยังถือว่ายังเยาว์วัยยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายก็อรชรบอบบางเสียเหลือเกิน เขาอยากจะรู้ยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีผู้มาลอบทำร้ายนางเช่นนี้“คราวนี้เจ้าจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดชายชุดดำเหล่านั้นถึงได้มารังแกเจ้าได้” หลังจากที่เด็กหญิงบดสมุนไพรประคบบาดแผลให้แก่คนสนิทของเขาเสร็จ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยถามออกมา“ข้าได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าท่านลุงของข้าที่อยู่ในเมืองถิงฮวาเป็นผู้ส่งพวกเขามาให้พาข้ากลับไป พอข้าไม่ยอมพวกเขาจึงได้บังคับข้า” ชิงเหมยตอบออกมาตามตรง เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าพี่ชางนั้นเป็นผู้มีพระคุณของนาง อีกทั้งพี่ซู่ก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง“เจ้ามีลุงอยู่ที่เมืองถิงฮวาด้วยรึ”“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านยายของข้าไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของข้าให้ฟัง แต่ข้าเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสของรองแม่ทัพที่ตายในสนามรบเมื่อสิบสองปีก่อน”ชิง
“คารวะคุณชายเฉียว… ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ แล้วนี่คุณชายแวะมาที่หมู่บ้านซานฉีหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยคำนับเขาอย่างถ่อมตน พลางเอ่ยถามออกมา“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ของข้าอยากกินขนมเซาปิงที่ท่านยายของเจ้าทำ ข้าเลยแวะมาซื้อไปฝากนาง”“อ่อ… ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเข้าไปข้างในก่อนหนาเจ้าคะ”นางรู้ดีว่าคุณชายเฉียวนั้นเอ็นดูชิงเหมยในอดีต เพราะเขาคอยช่วยเหลือชิงเหมยในยามที่นางต้องพบเจอกับความยากลำบาก ยามที่นางถูกลูกหลานขุนนางที่อาศัยในหมู่บ้านซานฉีรังแก เขาก็มักจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือชิงเหมยอยู่เสมอ“เอ่อ… ที่สำนักศึกษาไม่ได้มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่” คุณชายหนุ่มที่ไม่ค่อยได้พบหน้าเด็กหญิง อยากจะรั้งนางให้อยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้อีกสักนิดจึงเอ่ยถามนางออกมา“ไม่เลยเจ้าค่ะ ที่สำนักศึกษาหวุนซีเป็นสำนักศึกษาที่ให้ความเท่าเทียมกับศิษย์ทุกคน ไม่แบ่งแยกชนชั้นใด พวกลูกหลานขุนนางก็มีน้อยกว่าสำนักศึกษาหลี่ซางเจ้าค่ะ” ชิงเหมยถึงกับงุนงงที่วันนี้เขาชวนนางคุยมากกว่าเดิมนางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยามที่พูดคุยกับเขา ต่างจากยามที่นางนั้นได้พูดคุยกับท่านพี่ชาง พี่ชายแปลกหน้าในวันแรกจนยามนี้กลายเป็นพี่ชายที่นางไม่
ณ จวนตระกูลซิ่ว เมืองถิงฮวาศาลาริมน้ำด้านหลังจวน ใต้เท้าซิ่วยืนตระหง่านมองผิวน้ำที่แน่นิ่ง จะไหวติงยามที่มีใบไม้ร่วงหล่นลงไป หรือไม่ก็พวกแมลงที่ตกลงไปให้ปลาในน้ำได้กินเท่านั้น เขากำลังแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา ทันทีที่ได้ทราบข่าวจากลูกน้องคนสนิท ว่าไม่อาจกำจัดหลานสาวที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีได้ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะกำจัดนาง ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจไยดีนาง ทว่ายามนี้กลับเรียกหานาง อยากให้นางกลับเข้ามาในตระกูลซิ่ว เขาเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการที่จะกำจัดนาง แต่ทว่ายามนี้นางได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีไปทั่วทั้งเมืองถิงฮวาแล้ว และคนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือนางในครานี้ก็คงจะเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่น“เพราะเจ้าผู้เดียว หากเจ้าไม่หลงเหลือทายาทไว้ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เขาพึมพำกล่าวโทษผู้เป็นน้องชายที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะเผากระดาษแผ่นเล็กที่ถูกลูกน้องคนสนิทส่งผ่านทางนกสื่อสารมา“จากนี้นางคงจะระวังตัวยิ่งขึ้นเป็นแน่ขอรับท่านใต้เท้า” บ่าวรับใช้คนสนิทแสด
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร
จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินมาว่ายามที่ท่านฆ่าฟันพวกศัตรู ท่านมิยอมกะพริบตาเลย จริงหรือไม่เจ้าคะ”ด้วยความที่ยังเยาว์วัย หลิวหลูซินจึงเอ่ยถามออกมาเพราะความอยากรู้ ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่พวกนักปราชญ์ที่มาเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมทั่วเมืองถิงฮวาตีความไปเองชิงเหมยสะกิดสหายของนาง เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่ชางต้องลำบากใจ รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้น แม้จะเบาบางและมีร่องรอยที่จางลง แต่ทว่าบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็คงยังอยู่ เพราะนางเองก็เคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องฆ่าผู้อื่นและสูญเสียสหายร่วมรบมาเช่นกัน ในสนามรบหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เพราะเช่นนั้นแล้ว… หากแสดงความอ่อนแอข้าศึกเห็น ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ ท่านพี่ชางจึงได้แสดงด้านที่เย็นชาออกมา ทำให้ผู้ที่มองเขาตีความเป็นเช่นนั้น“พี่ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะชิงชิง… ผู้คนก็พูดกันไป ผู้ใดจะทนไม่กะพริบตาได้กันล่ะ” ชิงเหมยถึงกับนึกขันกับคำตอบที่ติดเล่นของพี่ชาง เขายิ้มออกมาให้กับเด็กสาวทั้งสอง“แหะๆ จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิวหลูซินหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอาย“ท่านหัวหน้าขอรับ ด้านในให้ข้ามาตามท่านไปร่วมโต๊ะแ
คุณชายเฉียวเร่งฝีเท้ามาถึงร้านเหลาของสกุลหลิว เขาทันได้เห็นว่าชิงเหมยและสหายของนางยืนพูดคุยกับบุรุษร่างสูง ที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน มองดูจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นขุนนาง ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหานาง ทั้งสามคนกลับเดินหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียก่อน และมีคนรู้จักเข้ามาทักทายเขาพอดี ทำให้เขาคลาดสายตาจากพวกนางไปอย่างน่าเสียดายชิงเหมยและใต้เท้าหนุ่ม เดินตามหลิวหลูซินไปที่ศาลาริมน้ำ ที่อยู่ข้างหลังร้านเหลาของสกุลหลิว ครั้นไปถึงหลิวหลูซินก็ขอตัวออกไปช่วยพ่อแม่ของนางขายอาหารที่ร้านเหลาต่อ ทิ้งให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง เด็กสาวรู้สึกไม่คุ้นชินกับรูปโฉมที่น่ามองของพี่ชาง พี่ชายที่นางเคยพบเจอและได้รับความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองปีก่อน เขาเงียบหายไปนานถึงสองปี ทำให้นางกับเขาห่างเหินกันไป ครั้นได้มาพบหน้ากันอีกคราก็ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก“พี่ชาง… เอ่อ… ท่านใต้เท้า สบายดีนะเจ้าคะ”“เรียกพี่ว่าพี่เช่นเดิมเถิด” เสียงทุ้มน่าฟังดังออกมาจากปากของใต้เท้าหนุ่ม“พี่สบายดี แต่ปีก่อนก็ลำบากอยู่ไม่น้อย เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าพี่ไปประจำการอยู่ที่ชายแดนมา”ชิงเหมยพยักหน้าเป็นคำ
“จะดีหรือเจ้าคะ ข้าน้อยเกรงว่า ผู้อื่นจะมองว่าหลานสาวของข้าน้อยพยายามจะตีสนิทคุณชาย เพราะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียว คุณชายก็น่าจะรู้ว่า พวกชาวบ้านนั้นชอบเล่าลือกันในสิ่งที่มิใช่เรื่องจริง และผู้ที่จะเสียหายก็มิใช่ผู้ใด แต่คือหลานสาวของข้าน้อยผู้ต่ำต้อยผู้นี้”ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงหลานสาวจะมีเลือดของขุนนางอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ ชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาที่เติบโตมากับยายที่ขายขนมเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น“เอ่อ… ถ้าข้าทำให้ท่านยายและชิงเหมยลำบากใจ ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับชิงเหมยจริงๆ อืม… ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้พูดคุยกับชิงเหมยที่ในร้านนี้ได้หรือไม่”ในเมื่อออกไปเดินเล่นด้วยกันไม่ได้ คุณชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพูดคุยอยู่ที่ร้านนี้แทน เพราะเช่นนี้จะได้อยู่ในสายตาของนางซุนฉี ผู้เป็นยายของชิงเหมยด้วย ซุนฉีมองหน้าหลานอย่างชั่งใจก่อนที่จะตอบคุณชายหนุ่มไป“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้เจ้าค่ะ เหมยเอ๋อร์… หลานพาคุณชายไปนั่งคุยที่โต๊ะด้านหลังร้านของเราเถิด” ครานี้ซุนฉีไม่ปฏิเสธชิงเหมยเองก็ไม่ได้ลำบากใจอันใดที่จะต้องพูดคุยก
ควันโขมงที่ลอยขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนของสองยายหลานในยามเหม่าเป็นเรื่องปกติในทุกเช้า เพราะซุนฉีตื่นนอนตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อหุงหาอาหาร ชิงเหมยเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำไม่ต่างกันกับท่านยายของนาง เด็กหญิงวัยแรกแย้มกำลังนั่งผสมแป้งเข้าด้วยกัน ครั้นเนื้อแป้งเข้ากันแล้วนางจึงจัดการยัดไส้ซาลาเปาที่มีทั้งไส้ถั่ว ไส้หมู ไส้ผัก และไส้มัน จากนั้นก็ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าที่เป็นเด็ก“เหมยเอ๋อร์… วันนี้ทำไปให้มากหน่อยเถิด เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่เด็กๆ ไม่ได้ไปสำนักศึกษากัน ส่วนใหญ่ก็คงจะติดตามพ่อแม่มาเดินเที่ยวตลาดด้วย” ซุนฉีร้องบอกหลานสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจเตรียมซาลาเปาสำหรับขายในวันนี้“เจ้าค่ะท่านยาย ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่าน อีกอย่าง… ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ที่เมืองถิงฮวาของพวกเรา มีหัวหน้ามือปราบคนใหม่ เพิ่งจะมารับหน้าที่วันนี้เป็นวันแรก เขาต้องมาตรวจเยี่ยมตลาดที่เราค้าขายอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ” ชิงเหมยตอบรับทว่ามือของนางยังคงจดจ่ออยู่กับการปั้นแป้งซาลาเปาตรงหน้า“อืม…ยายก็ได้ยินมาเช่นกัน เห็นเขาบอกว่า หัวหน้ามือปราบที่มาใหม่วัยแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้นเอง ความสามารถของเขาคงจ
“พวกเจ้ายินดีที่จะไปอยู่กับข้าหรือไม่ ข้ามิได้ร่ำรวย แต่ข้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องอดตายเป็นแน่” เสียงหวานร้องถามเด็กสาวเหล่านี้ออกมา“หนวกหู!! แม่นางน้อย หากอยากหาสหายเอาไว้เล่นกับเจ้าก็เอาเงินมาแลก หาใช่มาขดมยกันซึ่งๆ หน้าไม่”“คิกๆๆๆ โขมยเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขัน”เสียงหัวเราะของสตรีนิรนามทำให้กลุ่มชายแปลกหน้ารู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการสตรีร่างเล็กตรงหน้า แต่ไม่ทันที่บุรุษร่างโตจะได้เข้าใกล้ร่างบาง มีดสั้นก็ลอยมาปักที่คอหอยของชายผู้นั้นจนล้มลง ตาเหลือกค้างตายไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“เฮ้ย!!! พวกเจ้ารีบไปจับตัวนังนั่นมาให้ข้าเร็วเข้า”สิ้นเสียงของหัวหน้ากลุ่ม ชายแปลกหน้าร่างโตที่เหลือสี่คนจึงรีบปรี่เข้าไปหาสตรีนิรนามตรงหน้า นางดึงดาบที่เหน็บไว้ที่เอวทั้งสองข้างออกมาแล้วตั้งรับพวกมันไม่เกรงกลัว สองฝ่ายปะทะกันเสียงดาบและเสียงกรีดร้องของเหล่าเด็กสาวดังขึ้นไปทั้งบริเวณ ร่างเล็กหลบหลีกเหล่าชายร่างโตได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังฟันพวกมันจนล้มลงทีละคน อาภรณ์สีดำอาบไปด้วยสีของโลหิตชายที่เป็นหัวหน้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลากจูงกลุ่มเด็กสา
เยว่อู๋ชางเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบฮุ่ยซื่อหลังจากที่ได้รับผ้าพันคอจากชิงเหมยเพียงสามวัน ดีที่อากาศเริ่มเย็นลงทำให้เขาสามารถใช้ผ้าพันคอผืนนี้ได้อย่างไม่เป็นที่สะดุดตานัก แต่ถึงอย่างไรก็คงมีเพียงจิ้นซู่ที่พอจะรู้ความคิดของคุณชายรอง หากเป็นของที่แม่นางน้อยชิงเหมยทำให้แล้ว คุณชายของเขาก็พร้อมที่จะใช้สิ่งนั้นอย่างไม่ลังเลแม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาดก็ตามที คิดแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“หัวเราะอันใดจิ้นซู่” ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทที่นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามเขามาไม่ห่าง“ฮ่าๆๆ ฮึบ… มิได้หัวเราะอันใดขอรับ” จิ้นซู่กลั้นขำพลางตอบคุณชายรอง“หึ!! มัวแต่ชักช้า ข้านำไปก่อนล่ะ”คุณชายหนุ่มรู้สึกเขินเพราะรู้ดีว่าบ่าวรับใช้คนสนิทกำลังหัวเราะในเรื่องอันใด จิ้นซู่มองตามคุณชายรองก่อนที่เขาจะควบม้าเร่งความเร็วติดตามคุณชายไปสองนายบ่าวควบม้าเกือบหนึ่งชั่วยามจึงพักมาที่โรงเตี๊ยมริมทาง ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองถิงฮวาและเมืองหลวง ถือโอกาสนี้ให้ม้าได้พักเหนื่อยเสียหน่อย และให้คนได้พักกินอาหารด้วย เสี่ยวเอ้อร์รีบออกมาต้อนรับคุณชายหนุ่มและผู้ติดตาม“ยินดีต้อนรับขอรับ ขอเชิญแข
ครั้นเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รู้สึกกังวลกับสิ่งที่นางบอกเล่าให้ฟัง หลิ่วหริ่งจึงรีบนำบทความของท่านอาจารย์อวิ๋นที่นางเขียนมาให้ท่านพี่หญิงชิงเหมยได้ดู มือเล็กรับกระดาษมาจากหลิ่วหริ่งก่อนที่นางจะอ่านและทำความเข้าใจกับบทความตรงหน้า เพราะเป็นเรื่องราวที่นางเคยศึกษามาก่อนหน้า ชิงเหมยจึงสามารถอธิบายให้หลิ่วหริ่งฟังจนเด็กหญิงเข้าใจหลิ่วหริ่งอยู่กับชิงเหมยเกือบหนึ่งชั่วยามจึงขอลากลับเรือนของนาง และหลังจากนั้นไม่นานนักท่านยายซุนฉีของชิงเหมยก็กลับมาจากตลาดซานฉี พักนี้นางกลับเรือนเร็วกว่าเมื่อก่อนเพราะนึกเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องอยู่ที่เรือนตามลำพัง นางเกรงว่าฝ่ายพ่อของหลานสาวที่ไม่เคยมาเหลียวแลจะมาพาตัวหลานไป“ท่านยาย… เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยนำน้ำมาให้ท่านยายของนางได้กิน“ขอบน้ำใจนะลูก ยายไม่เหนื่อยเลย ว่าแต่ยาย…เจ้าล่ะไปสำนักศึกษาวันนี้มาเป็นเช่นไรบ้าง” ซุนฉีรับแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะเอ่ยถามหลานสาวออกมา“ก็เหมือนกับทุกวันเจ้าค่ะ อ่อ.. วันนี้หริ่งเอ๋อร์มาให้หลานสอนตีความหมายบทความของท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นด้วยเจ้าค่ะ"“หืม… หริ่งเอ๋อร์น่ะหรือ อืม… ดีแล้วล่ะลูก เรือนเคียงกันหยิบยื่นน้ำใจให้ความช่วยเหล
จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร